บุหลันเคียงรัก - บทที่ 147 ขออย่าทิ้งข้า (ตอนต้น)
หมอกสีดำเบาบางลงเรื่อยๆ เมื่อท้องฟ้าสีฟ้ายามรุ่งสางปรากฏเข้ามาในสายตาของฝูชาง การต่อสู้อันสะเทือนเลื่อนลั่นของเทพและมารไกลๆ ยังคงดำเนินอยู่
คิดว่าเพราะจู่ๆ สัตว์ประหลาดเหล่านั้นภายในทะเลหลีเฮิ่นออกมากะทันหัน แม่ทัพผู้คุมหน่วยอู้เฉินจึงได้ส่งสัญญาณเรียกรวมพล ห่างไปร้อยลี้ แสงรัศมีเทพปะทะกับไอขุ่นมัวสู้กันมืดฟ้ามัวดิน ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าภายในทะเลหลีเฮิ่นเกิดอะไรขึ้น
การต่อสู้นี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาแล้ว ต่อให้เขามีใจคิดจะช่วย ก็ไม่มีแรงจะไปช่วย
ฝูชางเหยียบลงไปบนค่ายกลแสง เขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยมาก กระทั่งแรงจะขี่ลมยังไม่มี ราชสีห์เก้าเศียรที่หลบอยู่ในทะเลเมฆราวกับรู้ว่าเขาออกมาแล้ว น้ำตาจึงไหลพรากห้อตะบึงมาหาทันที หัวทั้งเก้าเบียดเสียดเข้ามาในอ้อมอกเขา และร้องเสียงเล็กเสียงน้อยพร้อมน้ำตาไหลเป็นทาง
ฝูชางลูบขนอ่อนนุ่มของมัน ทิ้งรอยเลือดเอาไว้แถบหนึ่ง
ห่างออกไปไกลเงาร่างในชุดสีดำสนิทยืนนิ่งอยู่ลำพัง เขาเงยหน้ามอง กลับเห็นเซ่าอี๋ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ข้างต้นมู่ฝูหรงสีดำสนิท ดวงตาของเขาไม่ได้มองไปที่ทะเลหลีเฮิ่น และไม่ได้มองไปยังการต่อสู้ของเทพมารที่ห่างออกไปร้อยลี้ ทว่าจับจ้องไปยังแสงแห่งรุ่งอรุณสีฟ้าสลับแดงบนท้องฟ้า ดวงตากลอกไปมาไม่รู้กำลังคิดอะไร
ราวกับรับรู้ถึงสายตาของฝูชางได้ เซ่าอี๋หันกลับมา ใบหน้าของเขากลับไม่ได้มีรอยยิ้มปรากฏอยู่อย่างหาได้ยาก เขามีท่าทีนิ่งขรึมและสงบราวกับมหาเทพที่อยู่ในทะเลหลีเฮิ่นคนนั้นไม่มีผิด
“ลำบากแล้ว” เขากล่าวเสียงต่ำ เสียงของเขาลอยมาตามสายลม “ขอบคุณมาก”
แม้ว่าจะไม่เห็นว่าในทะเลหลีเฮิ่นเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าร่างนั้นถูกทำลายลงแล้ว วิญญาณของเขารับรู้ได้ถึงความผ่อนคลายสบายอย่างที่ไม่ได้มีมานาน ราวกับได้ยกเอาภาระหลายล้านปีก่อนออกไป เขาเข้าใจทันทีว่า พวกเขาจะต้องทำสำเร็จแล้วเป็นแน่
ฝูชางไม่ได้ขยับ และไม่ได้ชักกระบี่ แต่กลับกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่ต้องให้เจ้ามาขอบคุณข้า มีใจอยากจะแก้ไขหายนะ ทำไมตัวเองถึงไม่เข้าไปเอง”
เซ่าอี๋ไม่ได้ตอบ แววตากลับมองไปข้างกายเขา ที่นั่นว่างเปล่า เงาร่างงดงามสีแดงสดไม่อยู่แล้ว ดับสูญแล้วหรือ ไม่น่าใช่ หากว่านางดับสูญ ฝูชางไม่มีทางที่จะมีปฏิกิริยาเช่นนี้แน่
ไม่ดับสูญก็ดี
เขามองไปยังแสงยามรุ่งอรุณบนเส้นขอบฟ้าเงียบๆ นับจากวันที่เขาออกมาจากทะเลหลีเฮิ่นได้ ผ่านหมอกสีดำออกมา สิ่งที่เขาเห็นก็คือแสงแห่งรุ่งอรุณอย่างนี้
ถูกกักขังไว้ในทะเลหลีเฮิ่นมานานหลายปีอย่างนั้น เขามีเพียงความคิดเดียวในหัว ก็คือจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ความคิดยึดติดนี้เองที่ทำให้เขาเกิดไอขุ่นมัว และด้วยความบังเอิญหลายอย่าง ทำให้เกิดทะเลหลีเฮิ่นในทุกวันนี้ เศษแผ่นดินที่กระเด็นออกมาเหล่านั้น ก็คือผลที่ความยึดติดพยายามออกไปจากทะเลหลีเฮิ่น
เขาเคยหวังอย่างมากว่าจะสามารถออกไปจากสถานที่มืดมิดและเงียบงันผืนนั้นได้ เสียเวลาไปหลายล้านปี เสียพลังเทพตระกูลชิงหยางไปทั้งสามรุ่น ดังนั้นเขาไม่มีทางที่จะก้าวเข้าไปในนั้นอีกแน่นอน ต่อให้คนที่เข้าไปในนั้นจะเป็นนาง เป็นนางที่เข้าไปโดยเฉพาะ
เขาทำให้ทั้งสวรรค์และพิภพวุ่นวายได้ ก็สามารถทำให้สวรรค์และพิภพกลับมาสงบได้ ส่วนที่ว่าต้องใช้วิธีการอะไร หรือต้องเสียสละใครไป ถูกหรือผิด เขาไม่สนใจสักนิด
เซ่าอี๋ถอยหลังไปสองก้าว รอยยิ้มที่เคยนุ่มนวลอ่อนหวานปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นนุ่มนวลแผ่วเบา “ศิษย์น้องฝูชางกลับไปพักผ่อนรักษาอาการบาดเจ็บที่แดนเทพเถอะ วันอื่นค่อยพบกัน ยังคงเป็นเพื่อนร่วมสำนักกัน ลาก่อน”
ชุดคลุมยาวสีดำสะบัดไป แขนเสื้อกระพือราวกับปีกนก พริบตาเดียวก็หายลับไปในแสงตะวัน
วันหลังยังคงเป็นเพื่อนร่วมสำนักหรือ เขาไม่กลัวตระกูลจู๋อินแก้แค้นหรืออย่างไร ไม่กลัวความลับของทะเลหลีเฮิ่นจะถูกเปิดโปงหรือ ฝูชางยืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง เขาไม่คิดจะไล่ตามไป บาดแผลเล็กใหญ่ทั้งร่างถูกไอขุ่นมัวแทรกซึมเข้าไป เจ็บปวดราวกับถูกจับฉีก เขาหน้ามืดเป็นระยะๆ จึงรีบก้าวขึ้นหลังราชสีห์เก้าเศียรและอ้อมวนสมรภูมิรบของเทพมารที่อยู่ไกลๆไป แล้วมุ่งหน้าไปยังประตูสวรรค์ทิศใต้
ไอขุ่นมัวหนาหนักของแดนมนุษย์พัดมาทำให้ผมยาวของเขาชี้ขึ้น เสี่ยวจิ่วส่งเสียงร้องราวกับสะอื้นไห้ ฝูชางตบหลังของมันอย่างปลอบประโลม มันกลับยิ่งสะอื้นหนักกว่าเดิม เลือดบนร่างของเขาทำขนมันเปียกชุ่มไปทั้งแถบ กลิ่นหอมของเลือดเทพโชยไปตลอดทาง
เขาเรียกลมมาชะล้างเลือดบนขนของราชสีห์ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ล้างไม่สะอาด ทั้งๆที่ฟ้าสว่างแล้วแท้ๆ เขากลับรู้สึกว่ารอบด้านมืดลงเรื่อยๆ ร่างเขาไม่มีเรี่ยวแรงแม้สักนิด สุดท้ายก็ทนไม่ไหวและตัวอ่อนยวบลงไป
พริบตาเดียวฉุนจวินก็ส่งเสียงดังมาเป็นระยะ ฝูชางกำมันไว้ในมือแน่นอย่างไม่รู้ตัว
เขาไม่มีทางปล่อยมือ ไม่มีทางปล่อยอีกแล้ว
…
ผลการต่อสู้ที่ยากลำบากของหน่วยอู้เฉินกลับจบลงเร็วกว่าที่คิดไว้มาก เหล่าเทพต่างก็ทำใจไว้แล้วว่าต้องสู้ไปยาวนานหลายเดือน แต่ใครจะรู้ว่าเป็นเพราะโชคดีหรือคิดไปเอง ราชาจื่อโฉ่วกับสัตว์ประหลาดเหล่านั้นที่ออกมาจากทะเลหลีเฮิ่น พลังสมานตัวซ้ำไปมาที่ทำให้เหล่าเทพปวดเศียรเวียนเกล้ากลับอ่อนแอลงไปไม่น้อย เมื่อทุกหน่วยเรียกระดมพลมาแล้ว กลับใช้เวลาเพียงห้าวันของโลกเบื้องล่างเท่านั้นก็สามารถฆ่ามันได้
มีนักรบสายตาดีหลายคนที่พบว่า สีของทะเลหลีเฮิ่นในค่ายกลแสงดูเหมือนจะอ่อนจางลงไปไม่น้อย เหล่าเทพที่ไม่เคยพบเจอเรื่องอย่างนี้มาก่อนต่างก็ไม่กล้าผลีผลาม กลัวว่าจะมีอะไรผิดพลาดขึ้นอีก กลับกันยิ่งให้เหล่านักรบมาคุ้มกันทะเลหลีเฮิ่นแน่นหนามากขึ้น
ตอนที่มหาเทพไป๋เจ๋อมาถึงทะเลหลีเฮิ่นนั้น ก็พบว่ารอบๆค่ายกลเต็มไปด้วยนักรบเฝ้าคุ้มกันอย่างแน่นขนัด แม่ทัพผู้คุมหน่วยอู้เฉินมีสีหน้าเคร่งเครียด แล้วกล่าวถามอย่างระวังว่า “มหาเทพไป๋เจ๋อ ท่านดูสิ ตอนนี้ทะเลหลีเฮิ่นเกิดอะไรขึ้น”
เกิดอะไรขึ้นหรือ ก็พลังมืดจู๋อินที่ครอบคลุมทะเลหลีเฮิ่นนี่อยู่น้อยลงไปกว่าครึ่งแล้วน่ะสิ! สถานการณ์ง่ายๆอย่างนี้ยังจงใจไปเชิญเขาที่กำลังยุ่งอยู่ให้มาดูอีกหรือ พวกคนรุ่นหลังตอนนี้นี่จริงๆเลย!
มหาเทพไป๋เจ๋อขมวดคิ้ว แล้วพลันรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายดายอย่างนั้น พลังมืดจู๋อินนั้นไม่มีอะไรทำอะไรมันได้ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังไปพัวพันรวมกับไอขุ่นมัวและพลังเทพคืนชีวิตอีก พูดไปแล้ว หมอกสีดำที่ครอบคลุมทะเลหลีเฮิ่นอยู่ไม่ได้มีเพียงแค่พลังมืดจู๋อิน หากว่าสามารถจัดการได้ เหล่ามหาเทพหลายรุ่นก่อนหน้านี้คงจัดการไปแล้ว ทำไมจะต้องรอมาจนถึงตอนนี้อีก
ทำไมถึงได้หายไปมากขนาดนี้กัน จะเกี่ยวข้องกับการที่ฝางเฟิงซื่อและสัตว์ประหลาดเหล่านั้นออกมาจากทะเลหลีเฮิ่นหรือไม่
“ส่งนักรบมาคอยคุ้มกันต่อไป” มหาเทพไป๋เจ๋อไม่แสดงท่าทีเห็นด้วยหรือขัดแย้ง เขาคิดแล้วกล่าวว่า “หากว่ามีอะไรผิดปกติ ให้รีบรายงานเปิ่นจั้วทันที”
แม่ทัพผู้คุมถูกคำพูดคลุมเครือของเขาทำให้ตกใจจนหน้าซีด “มหาเทพหมายความว่า…ความผิดปกตินี้ หรือว่า…”
มหาเทพไป๋เจ๋อถอนหายใจ “มีอะไรต้องกลัวกัน หรือว่าจะมีราชาชือโหยวออกมาจากในนั้นแล้วจับพวกเจ้ากิน!”
เขาหมุนตัวแล้วเหาะจากไป ทิ้งแม่ทัพผู้คุมที่มีสีหน้าขาวซีดไว้ที่เดิม มีราชาชือโหยวออกมาจากในนั้นหรือ! แม่ทัพผู้คุมที่น่าสงสารนิ่งค้างไปแล้ว
มหาเทพไป๋เจ๋อรีบกลับไปยังแดนเทพ ไปเจอเข้ากับมหาเทพชิงหยวนที่ประตูสวรรค์ทิศใต้เข้าพอดี จึงรีบทักเอาไว้ “เจ้าหนูชิงหยวน เจ้ารับผิดชอบจัดสรรนักรบไปลงหน่วยต่างๆ มหาเทพจงซานและองค์ชายน้อยที่หายตัวไปมีข่าวคราวบ้างหรือยัง”
มหาเทพชิงหยวนรีบทำความเคารพ “มหาเทพพูดถึงเรื่องนี้ ข้ากำลังจะบอกท่านอยู่พอดี ทางเขาจงซานเพิ่งส่งข่าวสารมา เขาว่ามหาเทพจงซานและองค์ชายน้อยได้รับบาดเจ็บตอนที่ไปล้อมฆ่าเผ่ามาร ตอนนี้เพิ่งจะกลับถึงเขาจงซาน เมื่ออาการบาดเจ็บดีแล้วจะกลับไปยังหน่วยของตนแล้วไปฆ่าเผ่ามารต่อ”
อ้อ กลับไปแล้วหรือ
มหาเทพไป๋เจ๋อรู้สึกประหลาดใจไป เผ่ามารอะไรกันที่สามารถทำให้ตระกูลจู๋อินทั้งสองบาดเจ็บได้ ตระกูลจู๋อินบาดเจ็บหากไม่ใช้เวลานานถึงร้อยปีพันปีจะหายได้ง่ายอย่างนั้นที่ไหนกัน รอให้พวกเขาหายดีแล้ว คิดว่าการล้อมฆ่ามารนี่ก็คงจบแล้ว นอกจากนี้คำพูดคลุมเครือนี่ก็ดูน่าประหลาดมาก กลับไม่ยอมกล่าวถึงเรื่องที่หายตัวไป และยังไม่พูดด้วยว่าบาดเจ็บอย่างไร ตระกูลจู๋อินทำอะไรทำไมชอบทำอะไรประหลาดๆอยู่เสมอเลย
ขณะกำลังจมกับความคิดนั้น สายตาพลันเหลือบไปเห็นกล่องไม้ที่แปะคาถาสีชาดเอาไว้เต็มกล่องหนึ่งด้านหลังมหาเทพชิงหยวน ดวงตาเขาเป็นประกายทันที และโยนความคิดทุกอย่างทิ้งไปหมด ก่อนจะก้าวเข้าไปพลางมองซ้ายทีขวาที “ไปได้ของล้ำค่าอะไรมาจากโลกเบื้องล่างหรือ หรือจะเป็นเล็บของราชาชือโหยวอีกอัน”
มหาเทพชิงหยวนจนใจกับความคิดของเขา จึงรีบไปขวางเขาเอาไว้ไม่ให้เขาฉีกกระชากคาถาสีชาดออก “ช้าก่อนสิท่าน นี่ก็คือของล้ำค่าของจวนจูเซวียนอวี้หยาง นับตั้งแต่วันที่ทะเลหลีเฮิ่นตกลงไปโลกเบื้องล่างวันนั้น หลายปีมานี้เหล่านักรบทยอยเก็บรวบรวมกลับมาได้…เปิดไม่ได้! ของในนั้นหากเปิดออกแล้วจะต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่!”
เขาชิงเอากล่องมากอดไว้ในอกอย่างยากลำบาก แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมา “ข้าจะเอาของล้ำค่าไปให้จวนจูเซวียนอวี้หยาง ท่านไปยุ่งเรื่องของท่านเถอะ”