บุหลันเคียงรัก - บทที่ 148 ขออย่าทิ้งข้า (ตอนปลาย)
เสียงลมพัดเอื่อยแว่วเข้ามาในโสต เหมือนกับมีเสียงฝนตกกระทบใบไม้ด้วย ฝูชางขยับตัวน้อยๆ และลืมตาขึ้นอย่างมึนงง ภาพที่เข้ามาสายตาคือม่านปักลายเมฆาที่คุ้นเคย เสี่ยวจิ่วพาเขากลับมาที่วังเทพบูรพาแล้วหรือ
เขายันตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง เพิ่งจะขยับตัวบาดแผลที่ท้องก็เจ็บแปลบขึ้นมา เขาขมวดคิ้วแล้วเลิกผ้าห่มออก ชุดคลุมยาวสีเขียวอมน้ำเงินของเขาที่คลายออกไหลลงไปกองที่เอวนานแล้ว เขาอึ้งงันไปเมื่อพบว่ารอยแผลบนร่างทั้งใหญ่น้อยจางลงไปมากแล้ว และยังมีแผลเล็กหลายแผลที่ขจัดไอขุ่นมัวหมดแล้วด้วย
เขาคงไม่ได้หลับไปนานสิบกว่าวันอีกหรอกนะ
ฝูชางมองไปข้างเตียงทันที กระบี่ฉุนจวินยังคงวางอยู่ข้างหมอน เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างอดไม่อยู่ ไม่ดีแล้ว เขากลับขังองค์หญิงมังกรไว้ในกระบี่ฉุนจวินนานขนาดนี้
เขาท่องคาถาแล้วปล่อยนางออกมา ใครจะรู้ว่าท่องคาถาไปสองครั้ง ฉุนจวินกลับยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร เขาขมวดคิ้วมุ่นกว่าเดิม ฝ่ามือลองหยั่งเชิงบนฉุนจวินดู นางไม่อยู่ด้านในหรือ
ความทรงจำวุ่นวายตอนที่หมดสติไปก่อนหน้านี้กลับเข้ามาในหัว เหมือนว่าเขาหมดสติไปพักหนึ่งแล้วได้สติขึ้นมา เกรงว่านางจะถูกขังอยู่ในฉุนจวินจนอึดอัด จึงปล่อยนางออกมา หลังจากนั้นเขาก็หมดสติและหลับไปอีกจนกระทั่งตอนนี้
นางไปไหนอีกแล้ว
ฝูชางหน้าเครียดพลิกตัวลงจากเตียง คิดไม่ถึงว่ากลับเหยียบลงไปบนรองเท้าหุ้มข้อนุ่มนิ่มคู่หนึ่ง พอก้มหน้ามอง รองเท้าสีแดงราวกับเปลวเพลิงคู่นี้ยังประดับอัญมณีไว้บนนั้นด้วย งดงามมาก
เป็นรองเท้าขององค์หญิงมังกร นางยังอยู่
ฝูชางดึงชุดคลุมยาวแล้วรีบเดินออกไปด้านนอก หางตาพลันเหลือบเห็นชุดนักรบสีแดงสดของนางถูกทิ้งไว้บนพื้น กล่องไม้มุมกำแพงเองก็ถูกเปิดออก ชุดของเขาวางพาดระเกะระกะอยู่ตามกล่อง เขาชะงักค้างไปครู่หนึ่งแล้วเดินออกไปนอกห้อง ถูกรื้อค้นจนยุ่งเหยิงไปหมดจริงๆ กระดาษสีขาวถูกลมพัดเสียจนกระจายเต็มพื้น ประตูเปิดอยู่ ด้านนอกมีเสียงฝนตกลงมา น้ำฝนถูกลมพัดเข้ามาด้านใน กระดาษสีขาวมากมายต่างก็เปียกชื้นไปหมด
บนระเบียงไม้คดที่เปียกชื้นมีเงาร่างเพรียวบางร่างหนึ่งนั่งอยู่ ผมยาวสยายไปด้านหลัง สวมชุดคลุมปักลายเมฆาที่เขาใส่เมื่อนานมาแล้วอยู่ ไม่รู้เหม่อลอยอะไร เท้าวาดไปที่พื้นเป็นวงหลายต่อหลายวง สุดท้ายคิดว่าคงรู้สึกสกปรกแล้ว จึงลุกขึ้นยืนแล้วปล่อยให้น้ำฝนชะล้างดินโคลนบนนั้นไป
ฝูชางพลันรู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เขาเกิดมาที่รู้สึกว่าเรือนที่เงียบเหงาของเขาดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา ดูแล้วเจริญตายิ่งนัก
เขาค่อยๆ ย่องเดินเข้าไปทีละก้าว ราวกับได้ยินเสียง องค์หญิงมังกรจึงรีบหันกลับมา มองเห็นเขา นางก็ร้อง “ไอหยา” ออกมาแล้วโถมเข้ามาหาราวกับผีเสื้อที่โผเข้าหาดอกไม้ นางมาข้างกายเขา นิ่งเงียบไม่กล่าวอะไร เพียงแต่เบิกตากว้างมองพิจารณาเขาขึ้นๆ ลงๆ
คราบเลือดเต็มใบหน้าและร่างกายนางก่อนหน้านี้ไม่มีแล้ว คิดว่าเจ้าโจรตัวน้อยไม่เพียงแต่จะรื้อของวุ่นวายเท่านั้น ยังคลำทางไปอ่างอาบน้ำได้ด้วย หนำซ้ำยังใช้มันอย่างไม่เกรงใจอีก
ฝูชางจับไหล่นางเอาไว้แล้วจับนางให้ยืนตรงๆ เขามองพิจารณาสีหน้าของนาง ใบหน้าซีดขาวของนางในทะเลหลีเฮิ่นตอนนี้เป็นปกติขึ้นมามากแล้ว ดูแล้วน่าจะไม่มีปัญหาอะไร เขาวางใจลง ปลายนิ้วหนีบชุดคลุมปักลายเมฆที่หลวมโคร่งบนร่างของนางไว้ “…ขโมยชุดข้ามาใส่หรือ”
เสวียนอี่หันไปชี้เขตแดนเมฆ ฝักกระบี่ฉุนจวินกลายเป็นมังกรทองแล้วไปขดตัวอย่างดุดันอยู่ตรงนั้น นางเข้าไปใกล้มันมันก็จะกัดนาง วิชาเวทที่โหดเหี้ยมอย่างนี้มองก็รู้แล้วว่ามีแต่ฝูชางเท่านั้นที่คิดขึ้นมาได้
“ท่านหลับไปสองวัน” นางปั้นหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก “ข้าก็ออกไปไม่ได้”
องค์หญิงผู้สูงศักดิ์เมื่อสงบใจลงแล้ว ก็เริ่มจะจุกจิกเรื่องมากขึ้นมาทันที นางจะยอมให้ทั้งร่างเต็มไปด้วยรอยเลือดแห้งกรังได้อย่างไร เมื่ออาบน้ำแล้วนางจะต้องเปลี่ยนชุด พลิกดูทั้งห้องแล้วก็ยังหาชุดที่เหมาะกับนางไม่ได้ จึงได้แต่เอาชุดที่ถือว่าเล็กอยู่บ้างที่เขาเคยใส่เมื่อนานมาแล้วออกมาใส่ไปก่อนชั่วคราว แต่ก็ยังไม่พอใจอย่างมากอยู่ดี
ฝูชางประหลาดใจ ไอขุ่นมัวที่บาดแผลเขาหายเร็วขนาดนี้เลยหรือ จากไอขุ่นมัวที่บ้าคลั่งของทะเลหลีเฮิ่นแล้ว อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลานานถึงหลายเดือนกว่าจะขจัดไปได้หมด เขานอนหลับไปเพียงสองวันไอขุ่นมัวบนร่างกลับเบาบางลงได้ขนาดนี้แล้วหรือ
เขาคิดไม่ตก จึงไม่ไปคิดถึงมันก่อนชั่วคราว เห็นเสวียนอี่กำลังจะเหยียบลงไปบนเบาะนั่งด้วยเท้าที่เลอะโคลน เขาก็ขมวดคิ้วแล้วย่อตัวลงคว้าขาของนางไว้พร้อมกับอุ้มนางขึ้นมา ใครสั่งใครสอนให้นางเหยียบเบาะนั่งกัน
เมื่อใช้แขนเสื้อเช็ดเท้านางจนสะอาดแล้ว ฝูชางก็มองไปยังห้องที่รกระเกะระกะไปทั่ว ไม่รู้ว่าจะถอนใจหรือหัวเราะดี “เจ้าหัวขโมย รื้อค้นห้องข้าเสียจนรกไปหมดแล้ว”
นางยังคงชี้ไปยังมังกรสีทองตัวนั้นโดยคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก
ฝูชางลุกขึ้นโดยไม่กล่าวอะไรแล้วลากนางเข้าห้อง เขายังมีเรื่องอีกมากที่จะต้องสั่งสอนและตักเตือนนาง จะยอมปล่อยให้นางหนีไปง่ายๆ ได้หรือ
ดีดปลายนิ้วครั้งหนึ่ง กระดาษสีขาวเต็มพื้นก็ลอยขึ้นกลับไปอยู่บนโต๊ะหนังสือ และถูกที่ทับกระดาษทับไว้อย่างดี บานประตูปิดลง ขวางลมฝนด้านนอกเอาไว้ ฝูชางเกี่ยวเอาเบาะที่นั่งมาอันหนึ่งแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “นั่งลง ข้ามีเรื่องต้องถามเจ้า”
ทำไมรู้สึกเหมือนเขากำลังจะระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างนั้น เสวียนอี่นั่งลงบนนั้นอย่างรีๆ รอๆ เห็นเขาเดินไปยกชามาจากในห้อง นางก็แอบเป่าลมไปเปิดหน้าต่างวงเดือนออก ทำอย่างนี้เวลาเขาระเบิดอารมณ์ออกมานางจะได้วิ่งหนีได้
ฝูชางยกโต๊ะชาออกมา สีหน้าราบเรียบ มองไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เขาเอาถ้วยชาวางตรงหน้านางด้วยท่าทีสง่า ตระกูลหวาซวีที่เน้นในเรื่องพิธีและมารยาทนั่นกลับมาอีกแล้ว “ไม่มีชาใหม่ ขออภัยด้วย”
กล่าวจบก็งอปลายนิ้วครั้งหนึ่ง หน้าต่างวงเดือนที่นางเพิ่งจะเป่าให้เปิดออกก็ปิดสนิท
เสวียนอี่ขมวดคิ้วแล้วก้มลงดื่มชา ยังคงจืดชืดไร้รสชาติ บ้านเขาดื่มชาอะไรกัน รออยู่นาน ไม่เห็นเขากล่าวอะไร นางก็กระแอมไอ “อาการบาดเจ็บท่านเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
ฝูชางใช้นิ้วมือไล้ไปตามลวดลายสีน้ำเงินที่ขอบแก้ว แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่ถึงตาย”
เสวียนอี่รู้สึกนั่งไม่ติดที่ ขนที่หลังลุกชันขึ้นมา สายฝนตกลงบนต้นไม้ใหญ่สูงเทียมฟ้าของเรือนประสานกับเสียงลม กลับยิ่งทำให้เงียบสงบอย่างน่าประหลาดยิ่งขึ้น และความเงียบงันนี้เองที่ทำให้นางยิ่งลุกลี้ลุกลนมากขึ้นเรื่อยๆ
นางได้แต่ยกชาที่ทั้งจืดชืดและไร้รสชาตินั่นขึ้นมาดื่มอีกคำ
ฝูชางจ้องนางอยู่นาน นางสวมใส่ชุดคลุมลายปักเมฆาที่เขาใส่เมื่อนานมาแล้ว แต่ก็ยังดูหลวมโคร่งอยู่มาก ราวกับกำลังจะลอยขึ้นไปแล้วอย่างนั้น อารมณ์อ่อนหวานเพิ่งจะเอ่อล้นขึ้นมาเต็มอก ไม่นานก็ตกกลับลงมาใหม่ ความเอาแต่ใจและดื้อรั้นของนางเหล่านั้น ความคิดที่จะไปตามลำพังนั่น คือความเห็นแก่ตัวที่จะทิ้งความเจ็บปวดทรมานไว้ให้คนเบื้องหลัง เป็นสิ่งที่เขาเกลียดที่สุดจริงๆ
พยับเมฆอึมครึมพลันก่อตัวขึ้นในดวงตา ผ่านไปนานเขาถึงได้กล่าวเสียงต่ำว่า “ครั้งนี้ หากว่าข้าหาเจ้าไม่เจอ เจ้าตั้งใจว่าจะเอาชีวิตตัวเองไปทิ้งที่ทะเลหลีเฮิ่นหรือ”
องค์หญิงมังกรก้มหน้าลง แพขนตาสั่นไหว แต่ไม่ยอมเหลือบตาขึ้นมองเขา นิ่งไปนาน นางถึงได้เท้าคางแล้วเปลี่ยนหัวข้อเรื่องไป กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “ข้าหิวแล้ว”
ฝูชางไม่สนใจการเปลี่ยนหัวข้อของนางโดยสิ้นเชิง เขามองนางอย่างเย็นชา “ไม่คิดจะบอกกล่าวกันสักคำเลยหรือ”
ในที่สุดแพขนตาของนางก็เหลือบขึ้นมา มองเขาทั้งน้ำตาคลอ “ศิษย์พี่ฝูชาง ข้าหิวแล้วจริงๆ”
อย่าพูดถึงเรื่องพวกนี้เลยได้หรือไม่ อย่างไรปัญหาก็แก้ไขไปแล้ว พวกเราต่างก็ยังอยู่ดี นางมีพลังเต็มเปี่ยม เขาเองดูแล้วยิ่งมีมากกว่า ขังนางไว้ถึงสองวัน อย่าโมโหอีกเลย
ฝูชางหรี่ตาลง แววตายิ่งดูเย็นชาน่ากลัว เป็นอย่างทุกครั้ง มาอย่างเอาแต่ใจ ไปอย่างเอาแต่ใจ ให้เขามากมายอย่างเอาแต่ใจ สุดท้ายก็ลงดาบตัดขาดอย่างเอาแต่ใจอีกครั้ง หากว่าชอบ ทำไมถึงทำอะไรตามใจได้ขนาดนี้ เอาชีวิตไปทิ้งเพียงลำพัง หนำซ้ำยังให้เขามองนางนิ่งๆ อยู่อีกด้านอย่างนั้นหรือ เขายังต้องกล่าวชมเชยนางด้วยไหม
นางมักจะทิ้งเขาไปเสมอ
“…ก่อนหน้านี้ข้าให้เจ้าหนีไป แล้วเจ้าทำอะไร” เขากล่าวถามออกมาทีละคำ
เสวียนอี่สูดลมหายใจเข้า นางวางถ้วยชาลงแล้วลองลุกขึ้นยืน “ข้าควรจะกลับ…”
กลับหรือ มือข้างหนึ่งบีบแขนของนางไว้ เสียงของฝูชางต่ำมาก “นั่งลง ข้ากำลังถามเจ้าอยู่”
เสวียนอี่ออกแรงดิ้น ไม่รู้มือตีลงไปที่ไหน ร่างเขาสั่นน้อยๆ แผลที่ยังไม่สมานกันดีพลันมีเลือดไหลออกมาสายหนึ่ง
นางตกใจแล้วรีบหยุดนิ่งทันที