บุหลันเคียงรัก - บทที่ 150 เบ่งบานอย่างงดงาม (ตอนปลาย)
สายฝนถูกลมพัดจนสาดไปบนหน้าต่างวงเดือนไม่ขาดสาย ทำให้เกิดเสียงฝนกระทบดังไม่หยุด ฝนค่อยๆ หยุดลง ม่านราตรีเข้ามาปกคลุมเรือนที่เงียบสงบแห่งนี้เอาไว้
ม่านที่ปิดสนิทนั้นพลันถูกมือเรียวข้างหนึ่งเปิดออก ฝูชางเก็บเอาชุดคลุมยาวสีเขียวอมน้ำเงินที่ตกอยู่บนพื้นมาคลุมให้ดี เขาเดินเปลือยเท้าไปต้มชาใหม่ ตอนที่เขายกโต๊ะชากลับมานั้น องค์หญิงมังกรก็สวมชุดคลุมยาวเรียบร้อยแล้ว ผมยาวราวกับแพรไหมของนางปรกบนบ่า ขาเล็กที่อยู่บนเตียงยกขึ้น นางกำลังเกี่ยวลายปักเมฆาบนชายแขนเสื้อช้าๆ
นางพลันหรี่ตาจ้องเขาอย่างไม่เป็นมิตร เสียงอ่อนหวานเย็นชา “ท่านหน้าไม่อายเกินไปแล้ว”
อาศัยว่าตนเองบาดเจ็บทำให้นางไม่กล้าดิ้นรนผลักเขา ต้องโทษนางที่ใจอ่อนเกินไป น่าแปลกจริง ปกติแล้วนางมักจะใจแข็งมาก แต่เมื่อพบเขาทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปหมด
ฝูชางไม่ได้ตอบกลับ เพียงแค่รินชาถ้วยหนึ่งแล้วยื่นไปจ่อตรงริมฝีปากนาง เสวียนอี่ดื่มลงไปครึ่งถ้วยอย่างรังเกียจแล้วดันมือเขาออกไป เดิมนางมีกำลังดีอยู่ แต่ผลคือถูกการกระทำที่ชั่วร้ายของเขาทำให้ทั้งเจ็บทั้งเหนื่อย จนอดที่จะใช้แขนเสื้อปิดปากหาวออกมาไม่ได้ นางเลิกผ้าห่มแล้วมุดเข้าไปนอนตรงกลางอย่างไม่เกรงใจ ทั้งยังสั่งเขาอีกด้วยว่า “ปิดม่าน ข้าจะนอนแล้ว”
ฝูชางยังคงไม่ตอบอะไร เอาแต่จิบชาในถ้วยตน เขาเปิดม่านออกและคิดจะก้าวขึ้นไปบนเตียง นางรีบกดผ้าห่มเอาไว้แน่นทันที “เตียงเป็นของข้า”
ท่านเลิกคิดจะขึ้นมาเลย ตัวเองไปนอนบนเบาะบางๆ นั่นเสียเถอะ!
ฝูชางมองนาง แล้วข้ามผ่านร่างนางเข้าไปยังด้านในของเตียงอย่างเป็นธรรมชาติ เขาเลิกผ้าห่มออก แล้วรวบร่างนางที่ดิ้นรนไปมาเข้ามาในอ้อมอก ก้มลงมองริมฝีปากที่แดงขึ้นเล็กน้อยของนางอย่างพินิจพิเคราะห์ ถูกเขากัดจนแตกไปหน่อย เขาจับผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงของนางไปด้านหลังช้าๆ พร้อมหยิบเอาวงแหวนทองที่ร่วงลงไปอยู่มุมเตียงขึ้นมา ลูบคลำอยู่ครู่หนึ่งก็วางไว้บนตู้ไม้ข้างเตียงเบาๆ
ร่างในอ้อมอกยังกังวลกับอาการบาดเจ็บของเขา เมื่อเข้าไปใกล้ก็ไม่ดิ้นอีก ไม่นานก็ราวกับไร้กระดูก พิงซบกับอกเขาราวกับแมวตัวหนึ่ง
ความแค้นเคืองที่แล่นพล่านในอกก่อนหน้านี้ค่อยๆ ลดลงไป ความเสียใจกลับค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา เดิมเขาเพียงแค่คิดจะตำหนิติเตียนนางเท่านั้น แต่สุดท้ายกลับวู่วามจนหยุดไม่ได้ คิดว่านางคงจะเจ็บมาก ร่างนางสั่นตลอดเวลา แต่ยังคงฝืนทนไม่ร้องออกมา
เผชิญหน้ากับนางทีไร ด้านที่ชั่วร้ายของเขาเหล่านั้นมักจะออกมาทุกที
เสวียนอี่หนุนแขนเขานอน จะหลับก็ไม่หลับ เห็นผมยาวดำสนิทของเขาตกลงตรงหน้า นางก็จับขึ้นมาช่อหนึ่ง แล้วเขี่ยไปมาบนกระดูกไหปลาร้าที่โผล่ออกมานอกปกเสื้อของเขาราวกับสายน้ำไหลผ่าน ความจั๊กจี้และความอ่อนหวานที่งดงามน้อยๆ นี้ทำให้หัวใจของฝูชางเต้นเร็วขึ้นทันที เขาพลันกดมือของนางเอาไว้ นิ้วทั้งห้าประสานไปกับนาง
ท่าทีของนางดูเกียจคร้านเช่นเดียวกับร่างกาย พลันเรียกเขาเสียงอ่อนนุ่มว่า “ศิษย์พี่ฝูชาง ดอกซิ่งฮวา[1]เซียนหวาในสวนดอกไม้เหล่านั้นยังบานอยู่ไหม”
ฝูชางมาถึงขั้นที่สามารถไล่ตามความคิดอันเหนือล้ำของนางทันถึงขนาดที่ว่าไม่ต้องคิดก็ยังทันได้แล้ว “หลายปีนี้บานไปสองครั้ง คราวหน้าจะบานอีกยังต้องใช้เวลาอีกหลายพันปี”
ต้องนานขนาดนี้เลย ดวงตาของนางฉายแววเสียดายออกมา ทิวทัศน์ทางนั้นไม่เลวจริงๆ
ฝูชางจุมพิตลงบนหน้าผากของนางเบาๆ “จากนี้ไปยังมีเวลาอีกมาก เกรงว่าเจ้าจะได้เห็นจนเบื่อมากกว่า”
นางมองเขาด้วยความฉงนสงสัยและใสซื่อ ราวกับกำลังถามว่าทำไมถึงมีเวลาไปดู ใบหน้าเขาเผยรอยยิ้มออกมา แต่ไม่ได้ตอบข้อสงสัยของนาง
เสวียนอี่ก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อ ดวงตาทั้งสองมองไปยังต่างหูไข่มุกข้างนั้นที่ห้อยอยู่บนคอเขา บนนั้นมีคราบเลือดแห้งกรังเปื้อนอยู่ นางจึงรีบใช้เล็บแกะออกจนสะอาดทันที
ฝูชางมองใบหน้างดงามน่ารักของนางที่เข้ามาใกล้เขา ดวงตาดำสนิทกลอกไปมาอย่างยากจะได้เห็น นิ่งไปครู่หนึ่งถึงได้ก้มหน้าถามเสียงต่ำว่า “เจ้า…ยังเจ็บอยู่หรือไม่”
รอยแดงก่ำอันน่าหลงใหลนั่นของนางลามขึ้นมาที่ลำคอของนางอีกครั้ง นางหรี่ตาลงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ตระกูลจู๋อินจะเจ็บได้อย่างไร”
…นี่มันเกี่ยวอะไรกับตระกูลจู๋อินกัน
ฝูชางปลดท่อนล่างของชุดคลุมนางออก เดิมคิดจะมองดูว่าบาดเจ็บหรือไม่เท่านั้น ฝ่ามือเพิ่งจะสัมผัสถูกขาของนาง นางก็แข็งค้างไป พยายามดิ้นหลบเข้าไปในผ้าห่ม ให้มันบังสายตาของฝูชางไว้อยู่นาน ก่อนที่ชุดหลวมโคร่งบนร่างของนางตัวนั้นคลายออกทันที เขากดหลังนางไว้ไม่ให้นางหลบ และไม่สนใจขาที่ถีบสะเปะสะปะของนางอย่างสิ้นเชิง ปลายนิ้วสัมผัสไปยังจุดที่อ่อนนุ่มที่สุดและไร้การป้องกันที่สุดของนาง นางกำปกเสื้อเขาเอาไว้แน่น เท้าก็ยังคงสู้อยู่กับผ้าห่มถีบมันออกไปอย่างยากลำบาก
ยังเจ็บอยู่มากหรือ ฝูชางจุมพิตลงที่ใบหน้าของนางราวกับกำลังหลอกล่อและปลอบประโลม ร่างของนางที่เพรียวบางอ่อนนุ่มเช่นนี้ ไม่ควรจะกระทำอย่างหยาบกระด้างไร้ความนุ่มนวลเลยจริงๆ
เสียงหายใจของนางค่อยๆ ถี่กระชั้นขึ้น หัวคิ้วขมวดน้อยๆ แววตาพลันมีประกายน้ำเลือนรางปรากฏขึ้นมา นางไม่สนใจแล้วว่าเขาจะยังบาดเจ็บอยู่หรือไม่ มือทั้งสองออกแรงแล้วผลักเขาออกไป
ความรู้สึกตรงปลายนิ้วมือแปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลเนียนละเอียด ที่แท้ก็ไม่ได้เจ็บ ฝูชางก้มหน้าลงแล้วเลียไปบนริมฝีปากของนาง
ราวกับพบว่าเข้าไปในผ้าห่มก็ไม่มีประโยชน์อะไร เสวียนอี่เริ่มที่จะหลบไปด้านบนเหมือนครั้งแรก เขาไม่ได้ขวางนาง เกี่ยวเอาเอวบางราวกิ่งหลิวของนางไว้ แล้วใช้ปากกัดปกเสื้อให้แหวกออก ก่อนจะประทับจูบที่เมามายลงไปบนหน้าอกของนาง ไล่ลงไปตามซี่โครง แทบจะอุ้มนางขึ้นมา ลมหายใจที่ร้อนผะผ่าวนั้นพ่นรดท้องน้อยของนาง
เสวียนอี่พลันกอดหัวเขาเอาไว้แน่น นางมีเกล็ดมังกรขึ้นเต็มตัวแล้ว ร่างกายไม่รู้สึกเจ็บ แต่ว่านางกลับรู้สึกได้ชัดเจนว่าผิวที่ถูกเขาจูบนั้นเจ็บร้อนเล็กน้อยเหมือนถูกไฟเผา ความรู้สึกเจ็บปวด ชาหนึบและจั๊กจี้เช่นนี้ทำให้นางเคลิบเคลิ้มหลงใหล นางอยากให้เขาหยุด แต่ว่าสัญชาตญาณกลับเหมือนไม่หวังให้เขาหยุด นึกไม่ถึงว่าเขาจะทำให้นางมีความสุขอย่างนี้ได้ ทั้งยังคล้ายกับปลุกเรียกอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกที่สุดของนางขึ้นมา มีแต่เขาเท่านั้นที่ทำได้
ท่อนขาเปล่าเปลือยเกี่ยวกระหวัดกับร่างของเขาแล้ว เกี่ยวเอาความเย้ายวนนั่นของเขามาหาตน เหมือนว่าสุดท้ายแล้วนางก็พ่ายแพ้ให้กับสัญชาตญาณดิบของมังกร และยอมโอนอ่อนผ่อนตามการกระทำปลุกเร้าของเขาอย่างอดไม่อยู่ นางส่งเสียงหวานเย้ายวนอย่างที่ตนเองไม่เคยได้ยินมาก่อนออกมา ทันใดนั้นก็งอตัวอีก มือทั้งสองประคองใบหน้าของเขาเอาไว้มั่น เอาหน้าผากแนบไปบนนั้นพร้อมเรียกเขาว่า “ศิษย์พี่ฝูชาง”
ฝูชางพลิกตัวขึ้นทาบทับร่างนางเอาไว้ ก่อนจะก้มลงไปจูบนางอย่างลึกซึ้ง ร่างกายพวกเขาทั้งสองเกี่ยวรัดเข้าด้วยกัน แขนขาก็เกี่ยวกระหวัดเป็นหนึ่งเดียว
นางเตรียมพร้อมแล้ว ครั้งนี้จะไม่หนีอีก
อยากได้มากกว่านี้ ให้นางมากกว่านี้ เสวียนอี่จิกไหล่เขาแน่นโดยไม่รู้ตัว ไล่ตามริมฝีปากที่เหมือนจะผละออกไปของเขาราวกับไม่ยินยอม ในที่สุดเขากลับเป็นฝ่ายที่สามารถควบคุมเอาไว้ได้ การปลุกเร้าที่ลึกล้ำทำให้ลิ้นนางชาไปทั้งแถบ ร่างกายหนักอึ้ง เขากำลังดึงดันบุกเข้ามาในร่างนางอย่างไม่ยอมให้นางปฏิเสธได้ เสมือนดั่งพายุที่ไร้ทางต่อต้านและเกี่ยวกระหวัดเข้าด้วยกัน เขาพานางเข้าไปในพายุอีกครั้ง ฟ้าดินพลิกกลับ สติเลือนรางไปหมด
นางส่งเสียงที่ไม่รู้ว่าเป็นสะอื้นไห้หรือยอมแพ้ออกมา นางราวกับเมามายแล้ว ความสุขสมที่แทบทำให้นางปรารถนาแทบคลั่งอย่างหนึ่งยึดครองนางไว้ ท่ามกลางจุมพิตที่ไม่ปะติดปะต่อของเขา ร่างนางสั่นสะท้านเป็นระยะไปตามจังหวะบ้าคลั่งที่เขาควบคุมไว้
ฝูชางกุมเอวนางแล้วจับนางพลิกตัวขึ้นนั่ง เขาแหงนหน้าขึ้นแล้วประทับจูบลงไปบนแพขนตาที่สั่นเทาของนาง แล้วกล่าวคำที่มีแต่นางเท่านั้นที่ฟังเข้าใจด้วยเสียงทุ้มต่ำ เมฆหมอกสีดำสลายไป แสงจันทร์สว่างส่องเข้ามายังม่านสีเขียวอึมครึม ผมของนางราวกับกำลังส่องแสง ผิวขาวราวกระเบื้องเคลือบคล้ายกำลังส่องแสงสีขาวอ่อนจางออกมา ม่านสีเขียวสั่นไหวไม่หยุด ชุดคลุมยาวสองตัวร่วงลงไปที่พื้นอีกครั้งนานแล้ว นางราวกับเถาวัลย์ที่อ่อนนุ่มเรียวบางรัดเขาเอาไว้ หยาดเหงื่อเป็นประกายหยดลงไปบนสันจมูกของเขา
คำพูดของเขา เสวียนอี่จำไม่ได้แล้วว่าตอบไปว่าอะไร ความปีติอันเปี่ยมล้นฝังลึกถึงกระดูกกำลังรอนางอยู่ มีแค่เขาเท่านั้นที่ให้ได้ ในโลกนี้ มีเพียงเขาเท่านั้นที่ให้นางได้
ฝูชางจับแขนทั้งสองของนางมาโอบที่ร่างตน ท่อนแขนแกร่งกอดร่างเพรียวบางที่สั่นเทาของนางเอาไว้
องค์หญิงมังกรของเขา เบ่งบานเพื่อเขาสินะ
—
[1]ดอกซิ่ง คือ ดอกแอพริคอต ลักษณะคล้ายดอกท้อหรือดอกซากุระ มีสีขาว