บุหลันเคียงรัก - บทที่ 156 คล้ายเป็นข้าคล้ายไม่ใช่ข้า
“ข้า…เอาของกินมา”
เสียงของนางต่ำมากทั้งยังสั่นน้อยๆ นางจงใจยกกล่องอาหารในมือขึ้นมา ราวกับว่าทำอย่างนี้แล้วจะสามารถเรียกอะไรกลับมาได้อย่างนั้น เรียกสิ่งที่แม้แต่ตัวนางเองก็พูดได้ไม่ชัดเจนเหล่านั้นได้
เซ่าอี๋ไม่ได้กล่าวอะไร เขาค้อมตัวลงแล้วอุ้มเอวเสวียนอี่ที่แน่นิ่งไม่กระดุกกระดิกขึ้นมา พลันกล่าวต่อว่า “ศิษย์พี่หญิง ท่านไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ได้หรือไม่”
จื่อซีมองชุดคลุมยาวสีเขียวของเขาหมุนไปอย่างอึ้งงัน บอกจะไปก็ไป
อย่าไป! เขามองไม่ออกหรือว่าตอนนี้เสวียนอี่เสื่อมจากเทพกลายเป็นมารไปแล้ว กระทั่งฝูชางก็ยังใช้กระบี่แปลงเป็นมังกรมาฆ่านาง เขายังอยากจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับนางอีกหรือ รู้หรือไม่ว่าการที่เสื่อมจากเทพกลายเป็นมารนั่นเป็นเรื่องต้องห้ามขนาดไหน เพื่อเสวียนอี่แล้วเขายอมทิ้งกระทั่งชีวิตตนหรือ
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกว่าเสียงของนางแหบแห้ง “…นางเสื่อมจากเทพกลายเป็นเผ่ามารแล้ว กระทั่งศิษย์น้องฝูชางก็ยังยอมทำลายเพื่อแผ่นดิน เจ้ากลับยังไปเกี่ยวข้องกับนางอีก เจ้าไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือ”
เซ่าอี๋ไม่ได้ตอบ เขาสะบัดแขนเสื้อ แล้วเกล็ดมังกรที่ร่วงเต็มพื้นกับเลือดที่จับตัวเป็นน้ำแข็งก็พลันถูกเพลิงพินาศทำลายกลืนไปหมด
เขาจะพาเสวียนอี่ไปจริงๆ ! จื่อซีพลันถอยหลังไปหนึ่งก้าว ปลุกปลอบความชั่วร้ายและความกล้าทั้งหมดทั้งมวลนับแต่เกิดมาขึ้นมา เสียงนางกลายเป็นเข้มงวดและดุดัน “หากว่าเจ้าพานางไป ข้าจะพูดออกไป! ให้เหล่านักรบมาสังหารนางเสีย!”
เกล็ดมังกรของเสวียนอี่ยังคงร่วงลงมาเกล็ดแล้วเกล็ดเล่า ใบหน้ากึ่งหลับกึ่งตื่นของนางที่กำลังฝืนทนต่อความเจ็บปวดนั้นใสซื่อบริสุทธิ์เกินไป จื่อซีอดรู้สึกละอายใจขึ้นมาไม่ได้
แล้วจะอย่างไร ความเป็นปรปักษ์อย่างบ้าคลั่งพุ่งเข้ามาแทนความละอายใจ
เสวียนอี่คือองค์หญิงที่สูงส่ง ตนแพ้ให้นาง ตอนนี้นางกลายเป็นเผ่ามารแล้ว ตนเองกลับยังแพ้ให้นางอีก เพราะอะไรตนเองถึงต้องคอยเผชิญหน้ากับทุกอย่างด้วยความระมัดระวังเสมอ กระทั่งกับเทพที่ตนเองชอบก็ยังไม่กล้าขออะไรมาก ได้แต่หวังให้ตัวเองอยู่ในพื้นที่พิเศษในใจเขาบ้าง แต่ว่าเขากลับยอมที่จะไปเกี่ยวพันกับเสวียนอี่ที่กลายเป็นเผ่ามาร ไม่สนใจชีวิต เขาจะต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
จื่อซีหยิบยันต์คำสั่งออกมาจากในอกขึ้นมาคีบไว้ที่นิ้วพร้อมกล่าวซ้ำเสียงเข้ม “หากว่าเจ้าพานางไป ข้าจะเรียกเพื่อนร่วมหน่วยมา!”
เซ่าอี๋หมุนตัวมาช้าๆ เขามองนางนิ่ง รอยยิ้มนุ่มนวลน่าหลงใหลที่เคยอยู่บนใบหน้าของเขาหายไปหมดแล้ว เขาดูเยือกเย็นและลึกล้ำ ราวกับกลายเป็นเทพอีกองค์ที่นางไม่เคยรู้จักมาก่อน
จื่อซีพลันรู้สึกวุ่นวายใจ แล้วถอยไปด้านหลังก้าวหนึ่งอย่างอดไม่อยู่ ทันใดนั้นภาพตรงหน้าพลันลายตา กลิ่นอายร้อนผ่าวของหงส์ฟ้าเก้าสวรรค์โถมเข้ามา แค่พริบตาเซ่าอี๋ก็มาปรากฏกายต่อหน้านางแล้ว มือของเขากดบนศีรษะของนางเบาๆ ราวกับกำลังปลอบประโลมเทพธิดาตัวน้อยที่ทำผิดอย่างอ่อนโยน
…ไม่ไปแล้วหรือ จื่อซีเหลือบตาขึ้นมองอย่างขอร้องและต่อว่า ดวงตาสบเข้ากับแววตาที่สงบราบเรียบดำสนิทของเขา
พลังเทพที่ร้อนราวกับลาวาพลันส่งมาจากบนศีรษะ นางรู้สึกว่าเส้นชีพจรของนางแทบจะฉีกขาดแล้ว มันเจ็บไม่ต่างอะไรกับที่ถูกลงโทษด้วยประกายสุริยันฟาดกระหม่อมเลย เจ็บจนทำให้นางหน้ามืดตาลาย เข่าของนางอ่อนยวบลงไปกระแทกกับพื้นอย่างแรง กล่องข้าวในมือร่วงลงไป อาหารและขนมเกาลัดชุบน้ำผึ้งภายในก็กลิ้งออกมาเต็มพื้น
นางจ้องไปยังขนมที่นางจงใจเอามาเหล่านั้น หน้ามืดเป็นระยะๆ
สายตาของนางกลอกมองไปอย่างสับสน พลันสังเกตเห็นเทพธิดาองค์หนึ่งที่นอนอยู่บนพื้นไม่ไกล เสื้อผ้าของนางหลุดลุ่ยและหมดสติอยู่บนพื้น นางอดที่จะสูดหายใจเฮือกไม่ได้
เขาใช้วิธีการเดียวกันนี้มาปฏิบัติกับนาง? นางกับหญิงรอบกายเขาล้วนหมดสติล้มลงไปกับพื้นอย่างน่าอนาถเหมือนกัน
ชุดคลุมยาวสีเขียวเดินออกไปจากระยะสายตา เซ่าอี๋กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ศิษย์พี่หญิง แต่ก่อนอย่างน้อยข้าก็ยังพอจะชื่นชมท่านอยู่บ้าง”
แต่ก่อนพอจะชื่นชมอยู่บ้างงั้นหรือ ก็แค่พูดหลอกให้นางดีใจเท่านั้น! หวังว่านางจะไม่เอาเรื่องของเสวียนอี่ไปพูดล่ะสิ
อย่าไป อย่าไป เสวียนอี่กลายเป็นมารไปแล้ว ทำไมยังต้องไปเกี่ยวข้องกันนางอีก นางรู้ว่าตนเองเป็นคนตรงไปตรงมาตลอด ไม่ชอบทำอะไรอ้อมค้อม แต่ว่าเขาก็เคยปฏิบัติกับนางเช่นเดียวเทพธิดาองค์หนึ่งมาก่อน ไม่ใช่ศิษย์พี่หญิงที่น่าเคารพและหนักแน่น นักรบที่ทำอะไรรอบคอบระมัดระวัง นางจริงใจกับเขา ความชอบของนางเป็นหนึ่งไม่มีสอง ไม่เหมือนกับเสวียนอี่ ไม่เหมือนกับบรรดาหญิงที่รายล้อมรอบกายเขาด้วย แต่ทว่าเขาก็ยังคงไร้น้ำใจอยู่ดี
สายฝนที่แฝงด้วยไอขุ่นมัวอันเยือกเย็นปะทะกับใบหน้า ใครบางคนกำลังเขย่าร่างนางอย่างแรง ขณะกำลังจะร้องถามว่าอะไร จื่อซีพลันตกใจได้สติขึ้นมา จึงเห็นว่าด้านหน้านางมีแสงรัศมีเทพมากมาย เหล่านักรบหน่วยอื่นมองมาที่นางด้วยแววตาสงสัยระคนเป็นห่วงแล้วถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ ไปพบเผ่ามารหรือ ทำไมถึงได้มานอนหมดสติที่นี่ลำพังได้เล่า”
นางมองไปรอบๆอย่างงุนงง รอบด้านว่างเปล่า เซ่าอี๋กับเสวียนอี่ไม่รู้ไปที่ไหนแล้ว กระทั่งเทพธิดาที่ถูกทำให้หมดสติไปก่อนหน้านั้นก็ไม่อยู่
มีเพียงกล่องข้าวที่นางเอามาเปียกน้ำฝนอยู่ อาหารกับขนมเกาลัดชุบน้ำผึ้งเละไปหมด เหมือนกับใจของนางในตอนนี้
นางเหม่อมองไปที่กับข้าวที่เหลืออยู่ เซ่าอี๋กับเสวียนอี่เหยียบย่ำความใจดีและความชอบของนางเสียจนกลายเป็นอย่างนี้
จื่อซีเหม่อลอยไปนาน กระทั่งเหล่านักรบลาดตระเวนดึงนางขึ้นจากพื้นแล้วเขย่าไหล่นาง นางถึงได้สติกลับมาช้าๆแล้วมองไปที่พวกเขา พวกเขายังคงถามนางอยู่ว่าไปพบเผ่ามารที่ร้ายกาจอะไร
พูดออกไปสิ! เขายอมกระทั่งใช้พลังเทพที่ร้อนราวกับลาวาของหงส์ฟ้าเก้าสวรรค์มาใส่หัวนางจนนางหมดสติไป แต่ก็ยังเลือกที่จะอยู่กับเสวียนอี่ แล้วทำไมไม่ฆ่านางไปเสียล่ะ เขาคิดว่านางไม่กล้าหรือ นางจะพูด นางไม่ชอบเขาอีกแล้ว ตอนนี้สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงความแค้นเท่านั้น เขาอยากจะเอาชีวิตไปทิ้งกับเสวียนอี่ นางก็จะให้ตามประสงค์
“…มีเผ่ามาร” วิญญาณของนางราวกับลอยออกไปไกลถึงหมื่นลี้ ไม่สามารถขยับร่างกายได้ นางได้ยินเสียงกระซิบที่โหดร้ายของตนเองดังมาจากที่ไกลๆ “มีเทพที่เสื่อมจากเทพเป็นเผ่ามารที่ร้ายกาจมาก”
เหล่านักรบต่างตกอกตกใจ “อะไรนะ?! อยู่ไหน”
จื่อซีสูดลมหายใจ ปากที่อ้าออกพลันกัดไว้แน่น
นางกำลังทำอะไรอยู่ เสียงในใจนางพลันถามนางขึ้นมา ไม่ใช่เพราะหน้าที่ของเทพ แต่ว่ามาจากความริษยาที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ผลักให้องค์หญิงน้อยผู้นั้นไปสู่ทางแห่งการดับสูญ นึกไม่ถึงว่านางจะคิดทำเรื่องที่ต่ำช้าเยี่ยงนี้ได้
นางลุกขึ้นยืนกะทันหัน ไม่สนใจความเจ็บปวดที่ยังหลงเหลืออยู่ แล้วรีบร้อนถอยไปหลายก้าว พลางกล่าวเสียงต่ำว่า “ไม่มี ข้าพูดเหลวไหลไปเอง ไม่มีเผ่ามาร ข้าก็แค่ทะเลาะกับเพื่อนในหน่วยเท่านั้น ขอตัวก่อน”
นางขี่ลมขึ้น บินวนสะเปะสะปะไปหนึ่งรอบ เมื่อแน่ใจแล้วว่าเหล่านักรบลาดตระเวนเหล่านั้นไม่ได้ตามมา ถึงได้มุ่งไปทางเขาที่ห่างไกลนั้น บ้านต้นไม้หลังนั้นยังคงอยู่ น้ำแข็งสีดำสนิทก็ยังอยู่ ม่านพลังถูกทำลายแล้ว นางยังไม่ทันทำม่านพลังขึ้นมาใหม่เลย จะให้พวกเขาพบเห็นไม่ได้!
จื่อซีเข้าไปภายในเขา ยังดี ที่นี่ยังไม่มีใครพบเข้า นางกำลังยกมือเตรียมจะซ่อมแซมม่านพลัง กลับได้ยินเสียงของนักรบลาดตระเวนเมื่อครู่นี้ร้องขึ้นเสียงดังว่า “อย่าขยับ! นี่มันอะไร!”
พวกเขาปกปิดไอบนร่างแล้วไล่ตามหลังมาไกลๆ! ใจของนางดิ่งวูบลงไปต่ำสุด
เหล่านักรบลาดตระเวนเข้ามาแล้วจับนางออกไปอย่างระแวดระวัง มีนักรบเข้ามาในม่านพลังและพบว่าภายในบ้านต้นไม้ถูกน้ำแข็งจู๋อินสีดำหนากลืนกินจนหมด ไอขุ่นมัวที่บ้าคลั่งพุ่งเข้ามาปะทะหน้า
“นี่คือ…หิมะจู๋อิน?” แววตาคมกริบของเหล่านักรบจ้องไปที่จื่อซี ใบหน้าของนางซีดเผือดลงทันใด
…
ปลาดุกอุยน้อยในอ้อมอกไม่สั่นเทาแล้ว ลมหายใจหอบหนักก็ค่อยๆสงบลง
เซ่าอี๋ปล่อยแขนเสื้อแล้วมองดู บนนั้นมีเกล็ดมังกรขึ้นเต็ม ไม่นาน ก็ถูกไอขุ่นมัวฉีกจนเกล็ดมังกรกลายเป็นฝุ่นไป ไอขุ่นมัวที่กำจายออกมาเพราะเกล็ดมังกรหลุดร่วงไปยามนี้กลับลดน้อยลงไปทีละน้อย
ไกลออกไปมีแสงรัศมีเทพกำลังเคลื่อนไหว เซ่าอี๋หลีกเลี่ยงเส้นทางนั้นแล้วรีบลงไปใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง เขาสร้างม่านพลัง แล้ววางเสวียนอี่ลงบนตัก พลังเทพคืนชีวิตสีทองสลับดำบนฝ่ามือเคลื่อนไหว แล้วลองทาบทับลงไปที่หลังของนาง ไม่มีเกิดอะไรขึ้น เกล็ดมังกรถูกไอขุ่นมัวฉีกออก ขอเพียงไอขุ่นมัวยังอยู่ พวกมันก็จะไม่สามารถงอกขึ้นใหม่ได้
คิ้วของเขาค่อยๆ ขมวดเป็นปมช้าๆ อย่างอดไม่อยู่