บุหลันเคียงรัก - บทที่ 158 มลายสิ้นไปด้วยกัน (ตอนปลาย)
บนสวรรค์ทั้งสามสิบสามชั้น ใต้พิภพอย่างน้ำพุเหลืองจิ่วโยว ในโลกนี้ไม่เคยมีคำว่ารักที่สุด มีแต่รักมากกว่า
เซ่าอี๋พลันนึกไปถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้ว ตอนที่ยังอยู่ในตำหนักหมิงซิ่งและพูดเล่นกับปลาดุกอุยน้อยไปตามประสา
เพราะอารมณ์ความรู้สึกเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เหมือนกันกับตอนนี้ เขายินดีที่จะอยู่ในฝันร้ายที่มืดมิดผืนนี้ด้วยกันกับนาง แต่หากพออยู่ไปหลายร้อยปีแล้ว เขากลับไม่ยินดีขึ้นมาแล้วเล่า?
เขาสางผมที่ยุ่งเหยิงของนางด้วยนิ้วมือทั้งห้า จับมันแผ่ลงไปบนตัก พร้อมกับค่อยๆ ลูบไปทีละเส้นๆ
ทำไมนางถึงได้ไม่ดับสูญไปในทะเลหลีเฮิ่นเสีย หากเป็นเช่นนั้นอย่างน้อยในหัวใจเขาก็ยังคงจดจำนางไว้ได้ตลอดไป เวลานึกย้อนกลับไปคิดถึงความทรงจำตอนนี้ก็มีแต่เรื่องที่มีความสุข แต่ว่านางกลับมีชีวิตอยู่อย่างเข้มแข็ง คราวนี้ยังลากเอาทะเลหลีเฮิ่นที่สองมาเตรียมจะมลายสิ้นไปกับเขาอีก
ลมบริสุทธิ์เบาบางพลิ้วไหวราวกับหนอนน้อยคลาน กรีดผ่านความมืดมิดผืนนี้อย่างไร้สุ้มเสียง เซ่าอี๋หันกลับไปมอง มีม่านพลังสีทองเบาบางกำลังเข้ามาจากพลังมืดจู๋อินที่ลึกล้ำนั่น เขาหรี่ตาลงแล้วก้มลงไปมองปลาดุกอุยน้อย ในดวงตาของนางปรากฏแววตาเสียใจทว่าอ่อนโยน ทั้งยังแสดงความเด็ดขาดไร้เยื่อใยออกมาด้วย
เขามองอยู่ครู่หนึ่ง พลันเรียกนางเสียงนุ่มนวลว่า “สำหรับเรื่องขนหัวใจของท่านพ่อและท่านพี่ของเจ้า…”
เขากล่าวไปพลาง ก็เคลื่อนมือที่ปิดปากนางเอาไว้ออก นางไม่พ่นม่านพลังออกมาอีก จับจ้องมองเขาเขม็งอย่างรอให้เขากล่าวต่อไป
เซ่าอี๋หลุดยิ้มออกมา จู่ๆ ก็กำปกเสื้อนางไว้ แล้วโน้มศีรษะลงไปจูบนาง ความเยือกเย็นและร้อนแรงเกี่ยวพันกันราวกับกำลังทำร้ายกันและกัน คิดว่ารักที่สุดกับรักมากกว่าในแผ่นดินนี้ของเขา ก็คงมีแต่เพียงตัวเขาเอง แต่ก่อนนางเองก็ใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว
ปลาดุกอุยน้อยในอ้อมอกเริ่มดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง เขาจูบนางอย่างหนักหน่วง มือข้างหนึ่งค้างอยู่ที่ปกเสื้อ อีกมือกดที่ใบหน้าของนาง ราวกับกำลังบังหนอนที่ขยุกขยิกอยู่ ไม่นาน ในที่สุดร่างนางก็ค่อยๆ อ่อนยวบลงไปราวกับหมดสติไปแล้ว
เซ่าอี๋ใช้มือกดที่จมูกและปากของนางพลางกล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้าปลาดุกอุยน้อยที่ทั้งโง่งมและโหดเหี้ยม การมลายสิ้นไปด้วยกันของพวกเราจบลงเพียงเท่านี้เถอะ”
นางตัวอ่อนลงไปในอ้อมอกเขาแล้วแน่นิ่งไป ความดำมืดที่เงียบสงัดและน่าอึดอัดก็ถอยไปราวกับคลื่นน้ำ เซ่าอี๋อุ้มนางแล้วหมุนตัว ตรงหน้าคือมังกรทองตัวนั้นที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติหลายเท่าตัว ดวงตาเยียบเย็นและเต็มไปด้วยไอสังหารจับจ้องไปบนร่างของเซ่าอี๋ มันวนเวียนไปมาอย่างกระสับกระส่าย
ด้านหลังของมัน นักรบชุดขาวที่ชายเสื้อเปรอะเปื้อนรอยเลือดเป็นด่างดวง กำลังเดินมาทางนี้ทีละก้าวๆ
เหนือกว่าที่คาดไว้ ในแววตาของเขากลับไม่มีไอสังหาร มีแต่เพียงความลุ่มลึกเท่านั้น เขาหยุดเท้าลงไกลออกไปสามฉื่อและจ้องมองเขาเงียบๆ
เซ่าอี๋เอียงคอคิดแล้วเอ่ยปากว่า “สถานการณ์ของนาง ข้าไม่มีวิธีแล้ว”
ฝูชางกล่าวเสียงเรียบ “ถ้าอย่างนั้นก็ส่งนางให้ข้า”
เซ่าอี๋มองไปยังฉุนจวินที่กำลังร้อนรนอยู่ไม่สุขแวบหนึ่ง มังกรสีทองขนาดใหญ่พลันอ้าปากกว้าง และส่งเสียงคำรามไร้เสียงออกมา จากนั้นก็กลายเป็นกระบี่วิเศษสีน้ำเงินไปอย่างไม่ยินยอม กลับไปในมือของฝูชางและถูกเขาเก็บกลับเข้าไปในฝักกระบี่
เขารุดขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว ยื่นมือออกไปกุมไหล่ของเสวียนอี่เอาไว้แล้วคว้าร่างนางเข้ามา ในที่สุดนางก็กลับคืนสู่อ้อมอก ร่างทั้งร่างเต็มไปด้วยไอขุ่นมัวและบาดแผล บาดเจ็บสาหัสจนหมดสติ ถูกเขาแย่งชิงกลับมาด้วยสภาพที่ดูไม่ได้อย่างนี้
ครั้นฝูชางหมุนตัวเตรียมจะจากไปกลับได้ยินเซ่าอี๋กล่าวเสียงเบาด้านหลังเขาว่า “หากว่านางดับสูญ…”
ฝูชางกล่าวช้าๆ ว่า “นางดับสูญไปแล้ว เมื่อข้ารับช่วงเป็นมหาเทพบูรพา ก็ขอให้มหาเทพเซ่าอี๋ช่วยชี้แนะด้วย”
ราชสีห์เก้าเศียรตัวสั่นอยู่ข้างกายเขา ไม่กล้ามองเสวียนอี่ในอ้อมอกของเขา ฝูชางก้าวขึ้นไปบนหลังของราชสีห์แล้วดึงบังเหียนไว้ มันจึงได้แต่ต้องขี่ลมบินขึ้นไป หลีกหนีแสงรัศมีเทพจากที่ต่างๆ และพุ่งผ่านทะเลเมฆไปราวกับดาวตก
องค์หญิงมังกรบาดเจ็บหนักมาก แผลของนางไม่ใช่เพราะคนอื่น แต่เป็นเขาที่มอบให้นาง เป็นฉุนจวินที่ทำกับนาง
ฝูชางหยิบเอาเกล็ดมังกรที่ร่วงอยู่ในท้องของปาเสอออกมาจากในแขนเสื้อ พวกมันกลายเป็นฝุ่นไปหมดแล้ว เมื่อถูกลมที่เจือด้วยไอขุ่นมัวเป่าจึงพัดปลิวไปในอากาศ นางอิงแอบแนบกับอกของเขาราวกับไร้กระดูก ดวงตาทั้งสองปิดสนิท ริมฝีปากซีดขาวราวกับหิมะ ชุดนักรบสีแดงสดบนร่างถูกเลือดย้อมจนเปียกชุ่มไปนานแล้ว
วิถีกระบี่ของเขาเลื่อนขั้นครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อนาง คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีสักวันที่เกือบจะกลายเป็นอาวุธสังหารนางเอง
ฉุนจวินคือกระบี่วิเศษของแผ่นดินที่จักรพรรดิสวรรค์ในปัจจุบันสร้างขึ้นด้วยตนเองในการรับมือกับราชาก้งกง มันเกลียดชังไอของเทพที่เสื่อมลงไปเป็นเผ่ามารมาก ดังนั้นถึงได้มีปฏิกิริยาที่รุนแรงกับนางขนาดนั้น
ปราณกระบี่จำแลงเทพของมันช่วยนางต้านหอกจากราชาซุ่ยหู่เอาไว้ ปราณกระบี่แปลงเป็นมังกรของมัน วันนี้เอวก็กัดนางจนบาดเจ็บหนักขั้นอันตราย เหมือนกันกับเขา รักนาง แต่ทว่าคนที่ทำร้ายนางได้แท้จริงแล้วก็คือเขา
นางมักจะไม่ยอมบอกอะไรเขาเสมอ
แต่เรื่องพวกนั้นไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่บอกก็ไม่บอกเถอะ ภายนอกนางเชื่อฟังในใจกลับต่อต้าน ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง ทั้งยังฝืนยืนกรานแบกรับเรื่องทุกอย่างเอาไว้ ให้พวกเขาเป็นผู้ที่ถูกนางทิ้งเอาไว้ เรื่องพวกนั้นไม่เป็นอะไรแล้ว อย่าดับสูญเลย เป็นราชามารก็ได้ แต่อย่าดับสูญ
ฝูชางกดศีรษะของนางไว้แนบอก กอดนางเอาไว้แน่น อย่าจากเขาไปเลย
…
เสวียนอี่ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ที่มองเห็นก็คือสีเขียวมรกตเต็มตา ในชั่วขณะนั้นนางคิดว่าตนเองกลับไปที่วังเทพบูรพาแล้ว มีแต่ที่นั่นเท่านั้นที่ต้นไม้จะเขียวและเติบโตได้อย่างโอหังอย่างนี้ นางกะพริบตาปริบๆ อย่างมึนงง ถึงได้พบว่านางกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ที่มีกิ่งก้านใบรกครึ้มต้นหนึ่ง ไม่รู้เพราะอะไร กิ่งไม้ของมันถึงได้ทิ้งตัวลงมาที่พื้นราวกับน้ำตก ใบไม้ราวกับกำลังเปล่งแสงเรืองรอง
แขนที่คุ้นเคยคู่หนึ่งโอบกอดนางแน่นจากด้านหลัง ฉุนจวินที่เอวของเขากลับส่งเสียงดังสนั่นและแผ่ไอสังหารเข้มข้นออกมาทันที
เสวียนอี่นิ่งไปนาน นางดิ้นน้อยๆ ความเจ็บปวดจากเกล็ดมังกรหลุดร่วงแล่นมาจากตรงเอว เกล็ดมังกรสีดำสนิทหลายเกล็ดร่วงลงไปบนขาของเขา ไอขุ่นมัวสีดำสนิทพุ่งออกมาจากแผลที่ยังไม่หายดีนั่น เสียงร้องของฉุนจวินยิ่งดังขึ้นอีก
โธ่ เขามาอีกแล้ว ทุกครั้งเวลาที่นางเตรียมใจคิดจะเป็นวีรสตรีเขาก็มา ช่างไม่ไว้หน้านางเลยจริงๆ
นางยกมือขึ้นช้าๆ บังดวงตาของฝูชางไว้ “ห้ามมอง”
ฝูชางกุมมือนางเอาไว้ มืออีกข้างก็กดไปยังฉุนจวินที่ร้องอย่างบ้าคลั่ง เขาก้มหน้าลงจุมพิตเรือนผมยาวหนาของนาง “ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย”
เปลือกนอกไม่ได้เปลี่ยน แต่ภายในเปลี่ยนไปหมดแล้ว
เสวียนอี่หมุนข้อมือ หิมะจู๋อินสีดำสนิทราวกับท้องฟ้ายามราตรีก็ปรากฏขึ้นมา จริงๆ แล้วนางชอบหิมะสีขาวมากกว่าจริงๆ
“ท่านใช้ฉุนจวินกัดข้า” นางตัดพ้อเสียงอ่อน ฟังแล้วราวกับไม่ได้โมโหสักนิด “เจ็บมากเลย”
ฝูชางหลับตาลง “ใครใช้ให้เจ้าไม่เชื่อฟังเล่า”
เสวียนอี่เบือนหน้าไปอย่างอดไม่อยู่ หัวคิ้วขมวดมุ่นขึ้นมา “ท่านคงไม่คิดจะให้เจ้ากระบี่โง่นี่มากัดข้าอีกกระมัง”
ฝูชางส่ายหน้า ไม่ได้กล่าวอะไร แต่กดศีรษะของนางไว้ในอ้อมอก
แผลที่หลังและท้องราวกับชาไปแล้ว หรือบางทีนางอาจจะเจ็บจนชินแล้ว เสวียนอี่ใช้เล็บเกี่ยวลายปักเมฆาที่ยังเหลืออยู่ตรงปกเสื้อเขาช้าๆ นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพลันกล่าวว่า “หากว่ามีมหาเทพอะไรมาฆ่าข้า ท่านอย่ามองได้ไหม”
หากว่าเขาเสียใจจนดับสูญไปด้วย หรือทำให้จิตวิญญาณเขาได้รับความเสียหาย นางก็ดูจะสร้างเวรสร้างกรรมเกินไปหน่อยแล้ว คราวนี้ไม่มีใครลงไปลำบากลำบนไปช่วยเขาตัดสัมพันธ์ที่โลกเบื้องล่างแล้วด้วย เฮ้อ โลกเบื้องล่าง พวกเขาทั้งสองคนช่างมีชะตาเกี่ยวพันกับโลกเบื้องล่างเสียจริง สถานที่วุ่นวายและเต็มไปด้วยไอขุ่นมัวพรรค์นี้ ไม่รู้จริงๆ ว่ามีอะไรดีตรงไหน
แขนทั้งสองของฝูชางพลันรัดแน่นขึ้นอีก แน่นจนเกือบทำให้กระดูกนางหัก นางเจ็บจนต้องร้อง “ไอหยา” ออกมา คราวนี้นางไม่มีเกล็ดมังกรแล้ว เบาหน่อยได้หรือไม่
“คำพูดเช่นนี้ ต่อไปไม่ต้องพูดอีก” เสียงเขาต่ำมาก “ห้ามพูดอีกแม้แต่คำเดียว”