บุหลันเคียงรัก - บทที่ 159 โบยบินด้วยกันไม่ได้ (ตอนต้น)
ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นไม่พูดเรื่องนี้แล้ว
แววตาใสกระจ่างของเสวียนอี่มองเขาแล้วหยุดไปครู่หนึ่ง นางกลับถอนหายใจออกมาแล้วก้มหน้าลงไป พลางกล่าวเสียงเบาว่า “มี…พื้นที่กว้างขวางมากมาย อืม…เทพธิดาเองก็มีมาก…”
นางคิดจะพูดอะไรอีก ฝูชางจับจ้องมองใบหน้าขาวซีดของนาง มุมปากนางยกขึ้นน้อยๆ อย่างเอาแต่ใจถือดี จิตใจที่แข็งเสียยิ่งกว่าเหล็ก นางมักจะทรมานเขาเสมอ เหยียบย่ำเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่กลับพูดว่า “มีเทพธิดามากมาย” อย่างนี้
เขากดท้ายทอยนางเอาไว้ แล้วกดใบหน้านางเข้ามาในอ้อมอกอีกครั้ง น้ำเสียงเยือกเย็น “พูดสั่งเสียหรือ ยังไม่ถึงเวลาหรอก”
ชีวิตเขาถูกนางเหยียบย่ำจนเปลี่ยนแปลงไปมาก ทั้งสวรรค์และพิภพนี้ ยังจะหาองค์หญิงมังกรคนที่สองได้ที่ไหนอีก นำความอ่อนหวานงดงามมีความสุขอย่างเปี่ยมล้นมาให้เขา และนำความทุกข์ทรมานหมดหวังอย่างสุดแสนมาให้เขาเช่นกัน เทพธิดามากมายเหล่านั้น ไม่มีใครสักคนที่เขาต้องการ ดังนั้น มีก็เท่ากับไม่มี
นี่ก็ไม่ให้พูดอีกหรือ แล้วนางจะพูดอะไรดีเล่า เวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกันราวกับภาพมายาคล้ายมีคล้ายไม่มีเสมอ ทั้งยังสั้นอย่างน่าประหลาด มันไม่พอเลยจริงๆ ไม่พอเลย นางกระโดดเข้าไปในเหวลึกนั้น ยังไม่ทันจะได้ลิ้มรสความงามอันหอมหวาน ก็ต้องไปลิ้มลองรสชาติของความทุกข์ทรมานเสียก่อนแล้ว
แท้จริงแล้วความหวังของนางนั้นง่ายมาก ขอเพียงได้อยู่กับเขาเท่านั้น แต่กลับไม่รู้ว่าทำไมมันถึงได้ยากขนาดนี้ ราวกับว่าทั้งชีวิตนี้ยากจะเป็นจริงได้
เสวียนอี่ก้มหน้าลงแล้วหัวเราะ “ท่านหาข้าเจอได้อย่างไร”
เดิมนางคิดจะไปหาสถานที่ที่สวยงามและเงียบสงบสักแห่งแล้วไปหลบสักระยะ ไม่ให้พวกเขาเห็นรูปลักษณ์ที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยไอขุ่นมัวของนาง พวกเขามองแล้วจะต้องรับไม่ได้แน่ แต่ว่าเขากลับตามมาเร็วขนาดนี้ นางใช้ร่างมังกรบินเลยเชียวนะ หรือว่าเขาเอาเชือกที่มองไม่เห็นมารัดตัวนางเอาไว้กัน
ฝูชางไม่ได้ตอบคำถามนาง คำตอบจะต้องไม่ใช่อะไรที่นางอยากฟังแน่
ตามหาองค์หญิงมังกรเจอได้ ก็เพราะว่าฉุนจวินได้ลิ้มรสเลือดเทพที่เสื่อมลงไปของนาง ตอนนั้นเขาก็อาศัยจุดนี้ ถึงได้สามารถไล่ตามล่าราชาก้งกงตั้งแต่สวรรค์ลงไปถึงใต้พิภพได้ ไล่ตามไม่ยอมหยุด หลังจากนิ่งสงบมานานหลายปี ในที่สุดตอนนี้มันก็มีเป้าหมายใหม่แล้ว
ตอนนี้มันร้องคำรามออกมาเบาๆ อย่างไม่พอใจ ราวกับไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมให้มันไปฆ่าเทพที่เสื่อมลงไปเป็นมารตรงหน้านี้เสีย ฝูชางออกแรงกุมตัวกระบี่ที่แหลมคมเอาไว้ เลือดเทพย้อมไปทั่วทั้งตัวกระบี่สีน้ำเงิน ในที่สุดเสียงร้องนั่นก็เงียบลงไป เหลือไว้แต่เพียงความสั่นสะเทือนเท่านั้น
เขาลูบศีรษะนาง สุ้มเสียงแผ่วเบายิ่ง “เจ้าบาดเจ็บหนัก ไม่ต้องพูดแล้ว นอนเถอะ”
นางจะยอมหลับได้อย่างไร
เสวียนอี่มองไปทั่วบริเวณ ป่าทึบที่เงียบสงัดกลับแลดูมีชีวิตชีวาอย่างน่าประหลาด กิ่งไม้ของต้นไม้ทุกต้น ราวกับน้ำตกสีเขียวเทลงมาจรดพื้นดิน
ฝูชางปลดปล่อยพลังเทพพฤกษาทองของตระกูลหวาซวีออกมา จะต้องเพื่อเอามาต่อต้านพลังความเย็นจากอาการบาดเจ็บของนางแน่ๆ ไม่ให้พลังความเย็นที่เต็มไปด้วยไอขุ่นมัวรั่วไหลออกไปจนทำให้เหล่านักรบรู้ตัว
พูดไปแล้ว เหมือนว่าเมื่อนานมาแล้วพวกเขาก็เคยประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ตอนนั้นนางถูกปีศาจปลาดุกทำร้ายขาขวาจนบาดเจ็บ เขาเองก็ใช้วิธีการอย่างนี้อุ้มนางแล้วหลบไปตามที่ต่างๆ เพียงแต่ว่าตอนนั้นที่พวกเขาหลบคือปีศาจ แต่ว่าตอนนี้ที่พวกเขาหลบคือเหล่านักรบ
คิดว่านางคงเป็นภาระหนักของเขาจริงๆ อยู่กับนาง เขาไม่เคยได้ใช้ชีวิตสบายสักเท่าไหร่เลย อาจเพราะว่าการดับสูญของท่านแม่ส่งผลกระทบกับนางมากเกินไป นางจึงไม่ยอมที่จะอยู่กับเขาอย่างสงบสุขเงียบๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ชีวิตย่ำแย่เกินไป แต่จริงๆ แล้วพอมาคิดดู หากว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันตั้งแต่แรก อย่างน้อยก็ยังให้เขาได้มีวันเวลาที่มีความสุขมากขึ้นอีกสักวัน
มือของฝูชางลูบเรือนผมของนางเบาๆ ราวกับกำลังลูบแมว “นอนเถอะ”
เสวียนอี่กำปกเสื้อเขาไว้แน่น อันที่จริงนางเหนื่อยมาก นับตั้งแต่ที่รู้ว่าร่างกายนางผิดปกติไป นางก็แทบจะไม่ค่อยได้หลับเท่าไหร่เลย บาดเจ็บหนักแล้วยังต้องวิ่งหนีไปทั่ว จากนั้นยังต้องไปสู้สุดชีวิตกับเซ่าอี๋อีก นางไม่รู้เลยว่าตัวนางเองจะทนมาได้ถึงขนาดนี้
“หากว่ามีนักรบมา…” นางกล่าวในลำคอเสียงอู้อี้ “ก็ปลุกข้านะ”
ไม่มีทางมีเสียงแน่ เขาจะขับไล่เสียงทั้งหมดที่มารบกวนนางออกไปให้หมด
ฝูชางปลดเสื้อคลุมนอกออกแล้วห่อร่างนางเอาไว้ เขาอุ้มนางไว้ในอกอย่างแผ่วเบา และมองไปยังใบไม้ที่ร่วงลงมาบนพื้นและเปล่งแสงระยิบระยับเหล่านั้นอยู่เงียบๆ
เมื่อได้เห็นพลังความมืดจู๋อินที่แทบจะไม่ต่างจากทะเลหลีเฮิ่นนั่นแล้ว เขาก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่า ประโยคที่เซ่าอี๋เคยพูดกับเขาและเขาคิดเท่าไหร่ก็ไม่ตกประโยคนั้นมีความหมายว่าอะไรกันแน่
จะพูดเรื่องนี้ออกไปไม่ได้ ไม่ใช่ว่าช่วยปกปิดแทนเซ่าอี๋ แต่ว่าหากพูดออกไปแล้ว องค์หญิงมังกรจะต้องดับสูญแน่นอน ไม่ได้ดับสูญเพราะถูกไอขุ่นมัวย้อมเข้า และไม่ใช่เพราะแผนการชั่วร้ายเหล่านั้นของเซ่าอี๋ แต่ว่าเพราะคำสั่งจากเหล่าเทพ นางจะต้องถูกนักรบมากมายล้อมเอาไว้ และถูกฆ่าในทันทีแน่นอน
เทพที่เสื่อมลงไปเป็นมาร คือเรื่องต้องห้ามที่สุดของแดนเทพ
เซ่าอี๋คาดการณ์ไว้แล้วว่าเรื่องจะต้องเป็นอย่างนี้ แต่ว่าเขาก็ยังให้นางเข้าไปในทะเลหลีเฮิ่น
ฝูชางกำฉุนจวินแน่น ทุกความแค้นเคืองและความเจ็บปวดล้วนมาจากความอ่อนแอเป็นเหตุทั้งนั้น เขาไม่ได้แค้นเคืองใคร แต่แค้นตัวเขาเอง เป็นเขาที่แข็งแกร่งไม่พอ ดังนั้นถึงไม่สามารถทำให้องค์หญิงมังกรออกมาได้อย่างปลอดภัย ดังนั้นฉุนจวินถึงได้ควบคุมไม่อยู่แล้วไปทำร้ายนาง ทั้งหมดทั้งมวลนี้เดิมไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย
ราวกับรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของเขา ฉุนจวินที่สั่นไหวนั่นก็ค่อยๆ หวาดกลัวแล้วสงบลงไป
ฝูชางพลิกฝ่ามือ กระบี่ไม้เล่มหนึ่งเข้ามาในฝ่ามือเขา เขาโยนมันออกไปเบาๆ มันกลายเป็นมังกรสีทองตัวหนึ่ง แล้วหมุนวนรอบพวกเขาทั้งสอง
ปราณกระบี่แปลงเป็นมังกรตัวที่สอง เขาเองก็ฝึกฝนมานับไม่ถ้วนแล้ว กระทั่งตอนนี้ถึงได้ทำได้สำเร็จ
ความรุ่งโรจน์และการดิ้นรนสุดกำลังของเขาทั้งหมดก็เพื่อนาง แต่ก็ยังไม่พอ ยังขาดอีกมาก หากว่าผ่านคืนนี้ไปเท่ากับผ่านไปแล้วหลายแสนปีก็คงดี เขาไม่สนใจว่าชีวิตจะยาวหรือสั้น ขอเพียงสามารถคุ้มครองนางไว้บนฝ่ามือได้ก็เท่านั้นเอง
มังกรทองบินเข้ามาอย่างนุ่มนวล นิสัยของมันไม่เหมือนกับฉุนจวิน มันอ้าปากและกลืนเสวียนอี่ลงไปอย่างไม่ลังเล แล้วกลายร่างกลับมาเป็นกระบี่ไม้ จากนั้นก็กลับมาในฝ่ามือของเขา
นอนเถอะ จะไม่มีใครมารบกวนเจ้าได้อีก
…
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาทำให้กู่ถิงที่หลับไม่ลึกตกใจตื่น เขาลืมตาขึ้น สิ่งที่เข้ามาในสายตาคือเงาร่างของเหยียนสยาที่คุ้นเคย นางกำลังรินชาจากปากกาน้ำชาเล็กลงไปในแก้วอย่างระวัง จากนั้นจึงถือหนังสือเอาไว้และอ่านหนังสืออย่างจดจ่อ ยากนักที่จะเห็นนางมีท่าทีเกียจคร้านอย่างนี้ นางไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่าเขาตื่นแล้ว
กู่ถิงมองเงาหลังของนางนิ่งๆ ในใจก็พลันอบอุ่นขึ้นมา แล้วนึกไปถึงว่าเพราะเรื่องเสวียนอี่ ตัวเองโมโหจึงคิดอยากจะแนะนำเหยียนสยาให้กับฝูชางขึ้นมา ตอนนี้มาคิดดูแล้วกลับช่างน่าขันนัก
เขากำลังจะกล่าวอะไร นอกห้องพลันมีเสียงเคาะประตูเบาๆ เหยียนสยาพุ่งไปที่ประตูราวกับนกขมิ้นตัวเล็ก จากนั้นจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ศิษย์พี่ไท่เหยา!”
“กู่ถิงเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
ไท่เหยาถามไปก็เดินอ้อมฉากกั้นลมไป เมื่อเห็นกู่ถิงตื่นแล้ว เขาก็เข้าไปใกล้แล้วมองแผลที่หลังของเขาอย่างระวัง เขาเป็นฝ่ายบุ๋น ไม่ชอบเห็นแผลที่มีเลือดออกมาชุ่มนัก เมื่อเห็นว่าไอขุ่นมัวจางลงไปมากแล้ว ก็รีบเบนสายตาหลบไปทันที พลางกล่าวอย่างวางใจว่า “อันตรายมาก เจ้ากลับยังทนมาได้ ข้าต้องชื่นชมเจ้าเลยจริงๆ”
พูดจนกู่ถิงยิ้มออกมา เห็นเหยียนสยายืนยิ้มโง่งมอยู่ข้างๆ เขาก็กำชับเสียงอ่อนว่า “ยืนอึ้งอะไรอยู่ ทำไมไม่รินชาให้ศิษย์พี่ไท่เหยา”
เหยียนสยารีบยิ้มตาหยีแล้วรินชาสองแก้วทันที ใบหนึ่งยื่นให้เขา อีกใบยื่นให้ไท่เหยา แล้วจึงไปนั่งอ่านหนังสืออย่างเรียบร้อย ไม่ไปรบกวนพวกเขาคุยกัน
ไท่เหยาเห็นสถานการณ์ของพวกเขาทั้งสองแล้วก็อดยิ้มลึกขึ้นไม่ได้ พลันเอ่ยปากหยอกเย้าว่า “ข้าว่านะ ครั้งนี้ราชาบุปผากับจักรพรรดิแดงผู้เฒ่าทั้งสองคงไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้ว”
กู่ถิงยังไม่รู้ตัวอะไร เหยียนสยาด้านหลังกลับทำแก้วชาพลิกไปแล้ว นางรีบร้อนก้มลงไปเก็บ หูของนางแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด ปฏิกิริยาของนางทำให้กู่ถิงรู้สึกเขินขึ้นมาบ้างเหมือนกัน กล่าวเสียงต่ำว่า “ศิษย์พี่ไท่เหยา ระวังคำพูดด้วย”
ไท่เหยาเห็นพวกเขาทั้งสองหน้าบางกันมาก ก็ไม่ไปเย้าแหย่พวกเขาอีก แต่ถามแค่ว่า “ศิษย์น้องคนอื่นๆ ช่วงนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง ครั้งที่แล้วข้าได้ยินว่าตระกูลจู๋อินทั้งสามจู่ๆ หายตัวไป ใครจะรู้ว่าภายหลังกลับบาดเจ็บหนักแทน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ข่าวทางด้านนักรบฝั่งเจ้าน่าจะดีกว่ากระมัง”
กู่ถิงส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ตระกูลเจ้ามารน้อยนี้ล้วนแต่เหลวไหลกันจริงๆ ตำหนักอวี้หวาเองก็ไม่ได้ข่าวใหม่อะไรมา…”
เขายังกล่าวไม่ทันจบ ประตูห้องพลันเปิดออกอย่างแรง ศิษย์แต่ก่อนเป็นเพื่อนร่วมรบกับเขาที่ตำหนักหมิงซิ่งพุ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตกใจ ร้องเสียงดังว่า “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! ได้ยินว่าเสวียนอี่เสื่อมจากเทพลงไปเป็นเผ่ามารแล้ว! ศิษย์พี่หญิงจื่อซีเองก็ถูกจับไปที่คุกสวรรค์แล้วเพราะช่วยปกปิดเรื่องนาง! แม่ทัพผู้คุมแต่ละหน่วยต่างก็กำลังปรึกษาหารือกันว่าจะปราบนางอย่างไร! เหมือนว่าจะใช้ลูกศรของโฮ่วอี้ที่เก็บกลับมาครั้งที่แล้วด้วย!”
อะไรนะ? ! เหยียนสยากับไท่เหยาตกใจจนผุดลุกขึ้นมา กู่ถิงเองก็เกือบจะกระโดดขึ้นมาด้วยเช่นกัน สุดท้ายกลับเจ็บเสียจนเหงื่อชุ่มใบหน้า