บุหลันเคียงรัก - บทที่ 161 ความลับที่ปกปิด
แสงอาทิตย์ทะลุผ่านรูเล็กกำแพงที่สูงที่สุดตกลงมาข้างเท้าของจื่อซี นางกำลังจ้องไปที่จุดแสงนั้นนิ่ง นางเหม่อลอยมานานมากแล้ว
ระเบียงคดที่มืดครึ้มพลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ไม่นาน เสียงฝีเท้าก็หยุดลงหน้าห้องขังนาง นางค่อยๆเหลือบตาขึ้นช้าๆ แม้จะขวางไว้ด้วยรัศมีแสงจากคาถาพันธนาการ แต่กลับเห็นใบหน้าเป็นห่วงของไท่เหยา นางอดที่จะกล่าวออกมาเสียงต่ำไม่ได้ “…ศิษย์พี่ไท่เหยา?”
ไท่เหยาถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมอยู่ๆ ศิษย์น้องเล็กถึงได้กลายเป็นเผ่ามารได้ แล้วทำไมเจ้าถึงถูกส่งเข้ามาในคุกสวรรค์ได้”
โชคยังดีที่ฐานะองค์ชายเก้ายังคงอยู่ ไม่อย่างนั้นกระทั่งคุกสวรรค์ก็คงจะเข้ามาไม่ได้
จื่อซีส่ายหน้า น้ำตาคลอขึ้นมาทันใด ก่อนจะกล่าวเสียงเบาว่า “เป็นเพราะข้า…เป็นเพราะข้า…ข้ามันบ้าไปแล้วจริงๆ…”
เมื่อไท่เหยาเห็นเทพธิดาร้องไห้ก็ทำตัวไม่ถูก มือไม้วุ่นวายปลอบใจอยู่นาน ทั้งถามทั้งเดา จึงพอรู้ความคร่าวๆออกมาได้ เขากลับนิ่งเงียบไปนาน “เพราะอะไรนางถึงได้ไปดูดกลืนพลังมืดจู๋อินในทะเลหลีเฮิ่น”
นางเอาแต่สั่นศีรษะ นางเองก็ไม่รู้
คิดไม่ถึงว่ามาครั้งนี้กลับไม่ได้อะไร ไท่เหยาส่ายหน้าอีก กำลังจะหมุนตัวกลับไป คิดดูแล้ว สุดท้ายก็ยังหยุดยืนนิ่ง
“จากนิสัยของศิษย์น้องเล็ก ปะทะกับเซ่าอี๋ยังพอว่า ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลของพวกเขายังมีความแค้นต่อกันอีก ข้าว่า เจ้าน่าจะคิดมากไปเอง”
ในที่สุดจื่อซีที่ร้องไห้ไม่หยุดก็ถูกคำพูดของเขาทำให้สงบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เอ่ยปากด้วยเสียงแหบแห้งว่า “จริงๆแล้ว ข้าเองก็รู้ ข้าเพียงแค่…”
ไท่เหยากลับหัวเราะออกมา “เพียงแค่สับสนไปหรือ เรื่องเพียงเท่านี้กลับร้องไห้ถึงขนาดนี้”
นางถูกความรู้สึกนี้ทรมานจนทุกข์ทนแทบเป็นแทบตาย แต่จากปากของศิษย์พี่องค์ชายกลับเป็นเพียงแค่ “เรื่องเล็ก” ที่แสนราบเรียบธรรมดา จื่อซีรู้สึกราวกับศักดิ์ศรีของนางถูกทำลายจนย่อยยับ นางก้มหน้านิ่งเงียบไป และใช้แขนเสื้อซับน้ำตาอย่างแรงจนแห้ง
ไท่เหยากล่าว “ในเมื่อสับสนไปแล้ว ก็ควรจะได้สติเสียที อย่าลืมความหยิ่งทระนงของเจ้า”
เขาพูดจบก็หมุนตัว เหยียบสยาไปหาอาจารย์ เขาไม่วางใจนัก ความสามารถของศิษย์น้องหญิงคนนี้จัดการเรื่องอะไรได้ไม่เท่าไหร่เลยจริงๆ เขาหันกลับไปมองจื่อซีครั้งสุดท้าย แล้วกล่าวว่า “เจ้ากลับมาถูกขังอยู่ในคุกสวรรค์ หากว่าเจ้าอยู่ด้านนอกนั่นไกล่เกลี่ย ข้ายังวางใจได้บ้าง”
ไท่เหยาจากไปแล้ว จื่อซีก็เหม่อลอยไปอีกนาน
ความหยิ่งทระนงของนาง เหมือนว่านางจะลืมความหยิ่งทระนงของตัวเองไปหลายปีแล้ว แต่ก่อนจุดมุ่งหมายการต่อสู้ของนางคือการไปฝ่ายอาญา เป็นเทพขุนนางที่ยุติธรรมและเข้มงวด แต่ว่าเพื่อเซ่าอี๋ นางกลับยอมลบจุดมุ่งหมายของตนเองไปทั้งหมด ราวกับว่ามีชีวิตอยู่เพื่อเขาโดยเฉพาะ
ประโยคสุดท้ายของเซ่าอี๋ดังก้องในหูของนางซ้ำไปมา อย่างน้อยแต่ก่อนข้าก็ยังชื่นชมท่านอยู่บ้าง
จื่อซีใช้แขนเสื้อกดหน้าผากไว้ น้ำตาไหลลงมาราวกับน้ำพุ
นางโง่เกินไปแล้ว โง่เกินไปแล้ว มักจะคิดเองเออเองแล้วไปคิดเพ้อฝันถึงความรัก และยังชอบหลอกตัวเองให้ความหวังตนเองอยู่เสมอ ทั้งยังตื้นตันกับความดื้อดึงยึดติดหลายครั้งหลายคราของตน ทุกวันนี้คิดแล้วช่างโง่งมเสียจริง ทำร้ายทั้งตัวเอง ทำร้ายทั้งเสวียนอี่ ตอนนี้นางถูกขังไว้ กระทั่งจะกู้สถานการณ์ก็ยังทำไม่ได้เลย
…
ชาในแก้วเย็นแล้วร้อน ร้อนแล้วเย็นกลับไปกลับมาหลายครั้ง ใบชาในแช่อยู่ในนั้นจวนจะเปื่อยยุ่ยหมดแล้ว มหาเทพไป๋เจ๋อยกขึ้นมาดู แล้ววางมันกลับลงไป สายตามองไปยังร่างของเหล่าแม่ทัพผู้คุมหน่วยต่างๆทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบคนภายในเรือนหลิงซี
เพราะเรื่องของเสวียนอี่ พวกเขาอยู่ในห้องนี้และปรึกษาหารือกันมาถึงหนึ่งวันเต็มๆ แล้ว เขาลองถามถึงสาเหตุที่เสวียนอี่กลายเป็นเผ่ามารไปให้ชัดเจน แต่ว่าดูแล้วเหล่าเทพกลับไม่สนใจเรื่องนี้กันนัก ผลกระทบจากราชาก้งกงในอดีตนั้นมากเกินไป คำพูดที่ว่าเทพเสื่อมลงกลายเป็นมารทำให้พวกเขาตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี
แสงรัศมีเทพที่พุ่งขึ้นฟ้าเจิดจ้าจนตาลาย เขาอดที่จะนวดคลึงดวงตาไม่ได้ มหาเทพโกวเฉินที่มีนิสัยมุทะลุรีบกล่างเสียงเข้มทันทีว่า “มหาเทพไป๋เจ๋อ! ตอนนี้ใช่เวลามางีบไหม ผู้เฒ่าอย่างท่านยึดคำสั่งเรียกรวมพลเอาไว้ไม่ยอมปล่อยไว้มันหมายความว่าอะไร?! หรือว่าจะปล่อยให้ราชาก้งกงออกมาหน้าตาเฉยอย่างนี้อีก ระเบียบสวรรค์วุ่นวายมากพอแล้ว!”
เอาเรื่องน่ารำคาญนี้มาพูดกดดันเขาอีกแล้ว ในที่สุดมหาเทพไป๋เจ๋อก็ไม่สนใจใบชาที่เปื่อยยุ่ยอีก เขาดื่มมันลงไปแล้วพลันกล่าวว่า “ทางด้านมหาเทพจงซาน…”
มีเทพขุนนางแม่ทัพผู้คุมของตำหนักอวี้หวารับคำขึ้นมาทันทีว่า “ปิดบังข่าวนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว ถึงแม้จะไม่รู้ว่ามหาเทพจงซานกับองค์ชายน้อยบาดเจ็บหนักจริงหรือไม่ แต่ว่าก็อย่าไปทำให้พวกเขาตื่นตกใจจะดีกว่า”
มหาเทพโกวเฉินโกรธแค้นตระกูลจู๋อินมาก ทะเลหลีเฮิ่นก็เป็นพวกเขาที่สร้างขึ้นมา ครั้งที่แล้วเพราะพลังมืดจู๋อินของมหาเทพจงซานถูกดูดกลืนไป ทำให้เหล่าเทพถูกเรียกมาปราบมาร เขากล่าวเสียงเย็นว่า “ไม่แน่ว่าตระกูลนี้ทั้งสามคนอาจจะไปดูดกลืนพลังมืดจู๋อินทั้งหมดเลยก็ได้ ส่งคนไปเฝ้าระวังเขาจงซานเถอะ!”
มหาเทพไป๋เจ๋อมองไปที่เขาอย่างอ่อนโยน “ไม่อย่างนั้นมหาเทพโกวเฉิน ท่านไป?”
มหาเทพโกวเฉินรีบก้มหน้าลงไม่กล่าวอะไรทันที
และในตอนนี้เอง นอกเรือนพลันมีเทพขุนนางคนหนึ่งของจวนจูเซวียนอวี้หยางวิ่งเข้ามากะทันหัน เขาคารวะทั้งที่หายใจหอบ “คารวะเหล่าเทพทั้งหลาย เหมือนว่ามหาเทพชิงหยวนจะรู้เรื่องแล้ว มหาเทพข้าจึงทำตามคำสั่งของท่าน และส่งลูกธนูโฮ่วอี้ลงไปที่โลกเบื้องล่างแล้ว”
ลูกธนูของโฮ่วอี้ คืออาวุธฆ่าเทพ?! ที่แท้วันนั้นกล่องไม้ที่เจ้าหนูชิงหยวนกอดเอาไว้ก็ใส่สิ่งนี้ไว้งั้นหรือ
ในที่สุดสีหน้าของมหาเทพไป๋เจ๋อก็เปลี่ยนไป เขาหันกลับไปมองมหาเทพชิงหยวนอีกด้านที่ไม่กล่าวอะไรออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ มหาเทพชิงหยวนประสานมือคารวะแล้วกล่าวว่า “มหาเทพไป๋เจ๋อ ข้ารู้ว่าองค์หญิงเสวียนอี่เคยเป็นลูกศิษย์ของท่าน แต่ว่าเทพที่กลายเป็นมารไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่สามารถให้ผู้เฒ่าอย่างท่านมาคุ้มครองอย่างเอาแต่ใจได้ เรื่องนี้ข้าได้รายงานไปต่อจักรพรรดิสวรรค์แล้ว รอให้เบื้องบนมีพระประสงค์มาเถอะ”
มหาเทพโกวเฉินเองก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป “ใช้ลูกธนูโฮ่วอี้ไปจัดการกับองค์หญิงผู้นั้น จะเกินไปหน่อยหรือไม่”
นั่นคืออาวุธคนธรรมดาที่ใช้ฆ่าเทพ มันก็คือความอัปยศของเหล่าเทพอย่างแท้จริง
มหาเทพชิงหยวนกล่าว “องค์หญิงผู้นั้นนิสัยเหลวไหล ไม่รู้จักตำแหน่งหน้าที่ของเทพเลยแม้แต่น้อย เกรงว่าคงไม่ใช่ประเภทที่ดีนัก มีวันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เกล็ดมังกรตระกูลจู๋อินยากจะทำลาย วิชาใดๆไร้ผล องค์หญิงเสื่อมจากเทพ คิดว่ามหาเทพจงซานกับองค์ชายน้อยเองก็คงไม่พ้นหายนะได้ ในเมื่อธนูของโฮ่วอี้แหลมคมอย่างนั้น แล้วทำไมถึงไม่ใช้มันกันเล่า”
มหาเทพไป๋เจ๋อขมวดคิ้วมุ่น เขากับมหาเทพจงซานรุ่นก่อนมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน และเข้าใจความเอาแต่ใจไร้เหตุผลของตระกูลนี้ที่ทำให้เหล่าเทพมากมายต่างก็แค้นเคืองจนต้องขบฟันแน่น พวกเขาไม่แสดงจุดอ่อนออกมายังดี แต่เมื่อแสดงจุดอ่อนออกมาแล้ว กลับเรียกว่าเสียหายถึงชีวิต
นี่ต่างหากที่เรียกว่ากำแพงล้มเหล่าเทพผลักไส ทั้งยังบีบให้จักรพรรดิสวรรค์แสดงท่าทีอีก อยากจะทำลายตระกูลนักรบเทพผู้นำมังกรให้สิ้นหรือ ช่างเป็นกลุ่มเทพรุ่นหลังที่ไม่มองการณ์ไกลเลยจริงๆ
ผ่านไปหนึ่งวัน พระราชโองการของจักรพรรดิสวรรค์ก็มาถึงเรือนหลิงซี เรียกรวมผู้นำทุกหน่วย ให้นักรบทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบหน่วยไปสังหารเทพเสื่อมมาร
ตอนที่ไท่เหยารีบร้อนออกจากคุกสวรรค์มาที่เรือนหลิงซีนั้น เหล่าแม่ทัพผู้คุมที่รวมอยู่ในเรือนก่อนหน้านี้ก็แยกย้ายกันไปแล้ว ร่างเล็กของมหาเทพไป๋เจ๋อกำลังนั่งนิ่งอย่างเหม่อลอย เหยียนสยาที่อยู่ด้านข้างมีสีหน้าขาวซีด ดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยน้ำตา
ดูท่าคงจะสายเกินไปแล้ว เขาอดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ เขาเดินเข้าไปแล้วกล่าวคำพูดของจื่อซีซ้ำอีกหนึ่งรอบ กลับทำให้มหาเทพไป๋เจ๋อนิ่งเงียบไปอีกครั้ง
เสวียนอี่กับเซ่าอี๋ ตระกูลจู๋อินกับตระกูลชิงหยาง ทะเลหลีเฮิ่น สัญชาตญาณของเขาบอกว่าสิ่งเหล่านี้จะต้องมีความเกี่ยวข้องกันแน่ๆ
และสัญชาตญาณของเขาก็แม่นยำมาตลอด
มหาเทพไป๋เจ๋อผุดลุกขึ้นทันทีแล้วกล่าวว่า “เหยียนสยากลับไปดูแลกู่ถิงต่อเถอะ ไท่เหยา ตามข้าไปที่หอตำราหลางหวนของวังสวรรค์กับข้า”
เวลาสำคัญอย่างนี้อาจารย์ยังจะไปหอตำราทำไมอีก ไท่เหยาจับต้นชนปลายไม่ถูก ได้แต่ติดตามเขาไปยังวังสวรรค์
ชั้นใต้สุดของหอตำราหลางหวนมีชั้นวางหนังสือขนาดใหญ่วางไว้มากมายนับไม่ถ้วน เก็บรวบรวมเอาเรื่องราวชีวิตของเหล่ามหาเทพและจักรพรรดิสวรรค์หลายต่อหลายสมัยเอาไว้มากมาย เพราะช่วงนี้เผ่ามารก่อความวุ่นวายบ่อยครั้ง เหล่ามหาเทพที่มีฉายาจึงมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่องการสืบทอดตำแหน่งมหาเทพก็ค่อยๆหายไป ชั้นใต้สุดเพราะมีบันทึกที่เนื้อหาวุ่นวายหลายประเภทมากเกินไป การจัดการมันจึงค่อนข้างจะกินแรงมาก ทั้งยังถูกผนึกเอาไว้ใต้วังสวรรค์อีก จึงไม่มีใครมาอ่านมัน
ไท่เหยามองอาจารย์พลิกหนังสือกองสูงราวกับภูเขาอยู่นานมากด้วยสีหน้าที่จับต้นชนปลายไม่ถูก ทันใดนั้น เขาไม่รู้ว่าไปเห็นอะไรเข้า มือจึงถือหนังสือหนังสีน้ำเงินเอาไว้แล้วเรียกเขาว่า “เจ้ามาดู”
ไท่เหยาเข้ามาใกล้ กลับเห็นว่าภายในหนังสือนั้นวาดภาพมหาเทพชิงหยางในชุดพิธีการของมหาเทพเอาไว้ ที่หน้าผากเขามีอัญมณีสีแดงเพลิงอยู่ เขาฉีกยิ้มเห็นฟัน หล่อเหลางดงาม และเหมือนกับเซ่าอี๋ไม่มีผิดเพี้ยน
ข้างๆ มีน้ำหมึกเขียนเอาไว้บรรทัดหนึ่งว่า มหาเทพชิงหยางเซ่าอี๋
เขาสูดลมหายใจเข้า “นี่คือ?”
มหาเทพไป๋เจ๋อกะพริบตา “จากที่เปิ่นจั้วเห็น นี่คือมหาเทพชิงหยางที่สร้างทะเลหลีเฮิ่นขึ้นมากับมหาเทพจงซานรุ่นก่อนก่อนหน้านี้”
เดิมเขาเพียงแค่อยากอ่านบันทึกชีวิตของมหาเทพทั้งสองที่สร้างทะเลหลีเฮิ่นขึ้นมา แต่กลับอ่านไม่ถึง คิดว่าเรื่องการสร้างทะเลหลีเฮิ่นขึ้นน่าจะไม่ใช่เรื่องที่ดีงามอะไร มหาเทพทั้งสองเองก็ดับสูญตั้งแต่ยังอายุน้อย จึงไม่ได้บันทึกเอาไว้ ขณะกำลังคิดว่าคงไม่ได้อะไรแล้ว พอพลิกหนังสือไปมั่วๆ กลับพลิกไปเห็นภาพนี้เข้า
นี่ถึงจะเป็นเหตุของความบังเอิญที่แท้จริง พบความลับที่ปกปิดเอาไว้เรื่องหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ