บุหลันเคียงรัก - บทที่ 162 เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว
พลังมืดจู๋อินถูกแผ่ลงไปบนผืนผ้า เสวียนอี่ลองเอามันมาวางที่ดวงตา กลับเหมาะสมอย่างคาดไม่ถึง ดวงตาทั้งสองของนางอ่อนแอกว่าแต่ก่อนมากนัก จึงได้แต่ต้องดูแลมันให้ดี
คราวนี้แสงสีทองอร่ามรอบด้านนางก็พอทนรับได้บ้างแล้ว นางนอนลงไปบนพื้น มือก็เคาะฝักกระบี่ แล้วกล่าววาจาเหลวไหลอย่างเกียจคร้านว่า “ราชาจู๋อินหิวแล้วนะ จะกินคนแล้ว พาเปิ่นจั้วไปที่มีมนุษย์มากๆ ที”
ฝักกระบี่ถูกฝูชางใช้นิ้วเคาะลงไปสองทีทันที เขาเคาะเสียงดังปึกอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด สั่นสะเทือนจนนางปวดหัวไปหมด เสียงราวกับดังมาจากขอบฟ้าอันไกลโพ้น “ทนไว้”
ทนไว้อีกแล้ว ทำไมเขาถึงได้ใจดำอำมหิตขนาดนี้
เสวียนอี่พลิกตัวไปมาในท้องของมังกรทอง ไม่มีอะไรทำ จึงใช้เล็บแกะฝักกระบี่ ใครจะรู้ว่ามังกรทองนั่นกลับถูกนางแคะไปแกะมาเสียจนเป็นรู นางเอาหน้ายื่นออกไปนอกรู ราชสีห์เก้าเศียรโง่งมที่ฝูชางขี่บ่อยๆ กลับไม่อยู่ เขาขี่ลมเดินทาง ท้องฟ้าดำสนิท แสงสว่างของรัศมีเทพที่มักจะปรากฏขึ้นบนฟ้าเพราะการเรียกรวมเหล่าเทพมาปราบมารหายไปหมด มารจำนวนมากหลบซ่อนตัว เหล่าเทพก็ไม่เคลื่อนไหว เงียบเสียจนชวนให้รู้สึกขนหัวลุกขึ้นมาอยู่บ้าง
มือข้างหนึ่งยื่นออกมาอุดรูเอาไว้ ฝูชางจนใจกับนิสัยเสียชอบแกะนู่นแงะนี่ไปทั่วของนาง “เบื่อมากหรือ”
เสวียนอี่เป่าลมออกไปเบาๆ หนึ่งครั้ง ฝ่ามือของฝูชางมีน้ำแข็งสีดำจับตัวขึ้นมาชั้นหนึ่ง เขารีบใช้ปลายนิ้วดีดลงไปบนกระบี่ไม้ทันที ดีดติดต่อกันจนดังปึกๆ
ราวกับรู้สึกว่าอย่างนี้สนุกดี องค์หญิงมังกรจึงหัวเราะเสียงเบาออกมาจากในกระบี่ไม้
ฝูชางก้มหน้าลงไปมองกระบี่ไม้ที่กลายเป็นสีดำ อย่างไรมันก็ไม่ใช่ฉุนจวิน ขังเทพที่เสื่อมลงไปเป็นมารไว้ด้านใน เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าก็รับไอขุ่นมัวที่แทรกเข้าไปไม่ไหว ปลายนิ้วปัดไปบนกระบี่ไม้เบาๆ พลังพฤกษาทองของตระกูลหวาซวีทำให้มันกลายเป็นแสงบริสุทธิ์อีกครั้ง นางร้องดังตามมาว่า “ไอหยา” ออกมา “สบายขึ้นเยอะเลย”
ถ้าอย่างนั้นก็เงียบหน่อยเถอะ หากว่าให้ใครพบว่ากระบี่ไม้นี้ส่งเสียงได้ จะต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่
ใครจะรู้ว่านางกลับเริ่มกล่าวเสียงเนิบนาบว่า “ศิษย์พี่ฝูชาง คราวหน้าให้มังกรทองกลืนหนังสือ ดอกไม้ ต้นหญ้าอะไรเข้ามาบ้างสิ ได้ไหม”
ปราณกระบี่แปลงเป็นมังกรที่เก่งกาจยอดเยี่ยมกลับถูกนางใช้ประโยชน์บิดเบือนไปอย่างนี้
“อยากอ่านหนังสืออะไร” ฝูชางรู้สึกประหลาดใจกับนิสัยชอบอ่านหนังสือของนางมาก ทั้งวันนางอ่านหนังสืออะไรกัน ถึงได้อ่านแล้วกลายเป็นคนเหลวไหลแปลกประหลาดเช่นนี้ได้
เสวียนอี่ก้มหน้าลงครุ่นคิดอย่างตั้งใจ แล้วเอ่ยปากว่า “ตอนที่ท่านเป็นมนุษย์ บนชั้นหนังสือ วางหนังสือปกหนังสีแดงไว้หลายเล่ม ชื่อของมันคืออะไรนะ…”
ยังไม่ทันกล่าวจบ ก็ถูกฝูชางตัดบทเสียงแข็งทันที “เจ้าจำผิดแล้ว”
ความจำของนางไม่เลวมาตลอด จะจำผิดได้อย่างไรกัน
“ชื่อของมันคือ…”
ปลายนิ้วของเขาดีดลงไปที่กระบี่ไม้อย่างแรง สะเทือนเสียจนในหูนางอึงอล เขินอายจนโมโหแบบนี้ จะต้องมีอะไรแน่ เสวียนอี่ยู่ปาก “ป่าเถื่อน”
ฝูชางกล่าวเสียงเรียบ “หากพูดอีก จะไม่ให้ออกมาสามวัน”
นางไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะขังนางไว้ในกระบี่นี่ตลอดไป เสวียนอี่เป่าลมไปที่รูอีกครั้ง
ผลคือเขาจับนางขังเอาไว้นางไม่นานจริงๆ ตอนที่นางถูกปล่อยออกมาจากกระบี่ไม้นั้น โลกมนุษย์กำลังมีแสงแดดส่องสว่างงดงาม ภูเขาลูกเล็กสีเขียวขจีมีสายลมอ่อนพัดโชยมา มองอย่างไรก็คุ้นตานัก
เสวียนอี่มองไปทั่ว สายตาก็มองไปยังต้นตี้หนี่ว์ซางต้นนั้นบนหน้าผา ใบไม้ที่ใหญ่โตของมันยังคงสะอาดบริสุทธิ์อยู่เช่นเดิม ลมพัดมาบนนั้นยังทำให้เกิดเสียงไพเราะเสนาะหู ราวกับเสียงฝนโปรยลงมา
ความดีใจเข้ามาเยือนกะทันหัน เหมือนกับตอนนั้นที่เขาพานางมา ในที่สุดก็ได้เห็นมันอีกครั้ง ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย
เสวียนอี่ลอยเข้าไปแล้วแหงนหน้าขึ้นมองมัน ด้านล่างภูเขาไม่มีเมืองแม้แต่สักครึ่งเมือง สีเขียวขจีแผ่เต็มสายตา นางพลันอดไม่ไหวแล้วหันกลับไป องค์ชายมนุษย์ในตอนนั้น ยามนี้คือนักรบชุดขาว หากแต่เทพธิดาในตอนนั้น ยามนี้กลับกลายเป็นเผ่ามารไปเสียแล้ว
แววตาที่เขามองนางยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แยกจากกันไปยาวนานถึงพันปีหมื่นปี ยามนี้เวลานี้ ก็ยังคงเหมือนกับยามนั้นเวลานั้น
เสวียนอี่ยิ้มแล้วยื่นมือไปหาเขา นางดีใจมากที่ตอนนี้คนที่อยู่เป็นเพื่อนนางก็ยังเป็นเขา
มือเรียวยาวนั่นกุมมือนางเอาไว้ เทพชุดขาวยังคงยืนอยู่ข้างกายนาง ยืนอยู่ใต้ต้นตี้หนี่ว์ซางของโลกมนุษย์นี้กับนาง มองไปยังด้านล่างภูเขาที่ไม่ได้มีเมืองอีกแล้วกับนาง
สายลมบนเขาแฝงไปด้วยไอขุ่นมัวที่เข้มข้นกว่าตอนนั้นมากพัดผ่านชายเสื้อและแขนเสื้อใหญ่หลวมโพรกสีขาวราวกับหิมะบนร่างนางไป นางยังคงสวมชุดของเขาอยู่ พอถูกลมพัดก็ราวกับจะลอยขึ้นไปมิปาน
เสวียนอี่ค่อยๆ นั่งลงตรงริมผา ผมยาวปล่อยสยายเหนียวติดไปกับใบหน้าหลายปอย นางปัดมันออกไปและเงยหน้าขึ้นมองใบของต้นตี้หนี่ว์ซางไปด้วย นางกล่าวเสียงเบาว่า “ต้นตี้หนี่ว์ซางต้นนี้ยังสวยกว่าต้นที่วิมานม่วงของข้าเสียอีก น่าจะเป็นต้นที่สวยที่สุดที่ข้าเคยเห็นมาเลย”
ฝูชางนั่งลง แล้วใช้นิ้วมือค่อยๆ สางผมยาวสยายของนางช้าๆ เขาเอาวงแหวนทองที่นางทำหล่นไว้ในท้องของปาเสอออกมาจากแขนเสื้อแล้วเกี่ยวไว้ข้างหูให้นาง นางกลับดึงเอาวงแหวนทองลงอีกครั้ง แหวกแขนเสื้อเขาแล้วใส่มันเข้าไปพลางกล่าวเสียงอ่อนหวานว่า “เจ้าหัวขโมย ชอบขโมยวงแหวนทองข้าอยู่เรื่อย ข้ายกให้ท่านเลยแล้วกัน”
เขาส่ายหน้า กางแขนทั้งสองออกแล้วกอดนางเอาไว้ อย่าทำเหมือนกำลังทิ้งของดูต่างหน้าไว้สิ เสื้อผ้าเครื่องประดับก็ดี อัญมณีก็ดี ทั้งหมดนี้เพราะมีคนที่เขารักสุดหัวใจสวมใส่มันต่างหากมันถึงจะมีความหมาย
ในช่วงเวลาที่เศร้าระทมระคนอ่อนโยนเช่นนี้ จู่ๆ องค์หญิงมังกรก็กล่าวประโยคที่ไม่ถูกกาลเทศะออกมากะทันหัน “ข้าจำไม่ผิดหรอก ข้าพลิกอ่านไปหลายหน้า หนังสือปกหนังสีแดงพวกนั้นเหมือนว่าจะกล่าวถึงเรื่องบัณฑิตกับผีสาว”
…พูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว
ฝูชางไม่รู้แล้วว่าเขาควรจะจับนางใส่ไว้ในกระบี่ไม้แล้วเคาะแรงๆ สักหลายทีดี หรือว่าจับนางโยนลงไปจากหน้าผานี้เลยดี ได้ยินเสียงนางหัวเราะคิกคัก และเป่าลมเบาๆ มาที่หน้าเขา ลมนั้นหอมดุจดอกกล้วยไม้ น้ำเสียงออดอ้อน “แสร้งวางท่านัก”
นางเงยหน้าขึ้นแล้วเข้ามาใกล้ จูบครั้งหนึ่ง เบามาก
ผีสาวตัวน้อย ฝูชางค้อมตัวลงแล้วทำให้จูบเบาๆ นี้ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม
ปล่อยให้เวลาย้อนกลับไป ให้เขากลับลงมาที่โลกเบื้องล่างในวันที่หิมะโปรยปรายไปทั่วฟ้าดินนั่นได้ทัน ในช่วงวัยกำลังอ่อนเยาว์ ทั่วทุกสารทิศ ทั้งสวรรค์และผืนดิน ทุกที่ต่างก็เป็นทิวทัศน์ตระการหลายหลาก สุดหล้าฟ้าเขียว พวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันนานแสนนาน ทุกอย่างหาได้เป็นเพียงความฝันมายาที่งดงามอันแสนสั้น
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ลมริมหน้าผาแรงมาก องค์หญิงมังกรขดตัวในอ้อมอกเขา เสียงลมไม่ได้รบกวนนาง นางหลับลึกมาก
ไม่ต้องฝัน ฝูชางก้มหน้าลงจูบที่ใบหน้าของนาง เขาโยนกระบี่ไม้ออกไปแล้วให้มังกรทองปกป้องนางไว้ในท้อง
ขอบฟ้าที่ห่างไกลราวกับมีแสงรัศมีเทพวาดผ่านมา เขาหรี่ตาลงแล้วลุกขึ้นกำลังจะเดินไป กลับพบว่าทันใดนั้นมีแสงรัศมีเทพมากมายลงมาแต่ไกล เสียงของรัชทายาทฉางฉินพลันดังขึ้น “ฝูชาง! ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่แถวนี้!”
ฝูชางหมุนตัว ก็เห็นรัชทายาทฉางฉินนำนักรบหน่วยติงเหม่าเข้ามาด้วยสีหน้าร้อนรน แล้วกล่าวว่า “อย่าตามหาองค์หญิงผู้นั้นอีกเลย! นางจงใจหนีไป! โลกเบื้องบนมีข่าวมาว่า นางเสื่อมจากเทพกลายเป็นเผ่ามารไปแล้ว กำลังจะเรียกรวมทุกหน่วย รีบกลับไปที่หน่วยติงเหม่าเสีย!”
เรียกรวมพลทุกหน่วยหรือ ฝูชางไม่ได้กล่าวอะไร ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ตรงหน้าพลันกลายเป็นอันตรายและหนาวเหน็บขึ้นมาทันที
รัชทายาทฉางฉินยังกล่าวว่า “ข้าว่าแล้วว่าทำไมปราณกระบี่แปลงเป็นมังกรของเจ้าถึงได้พลาด จะต้องเพราะฉุนจวินรู้ถึงกลิ่นอายพลังของเทพที่เสื่อมเป็นมารได้แน่ๆ ! รีบกลับไปเถอะ!”
ฝูชางนิ่งไปครู่หนึ่ง พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะพลิกตัวขี่ลมลอยขึ้น ทันใดนั้นคาถาพันธนาการขนาดใหญ่หลายสายก็ผ่าลงมาจากฟ้า แล้วกักร่างเขาไว้ทันที เหมือนว่าเขาจะเตรียมการไว้นานแล้ว กระบี่วิเศษสีน้ำเงินลอยออกจากฝัก กลายเป็นมังกรขนาดมหึมา บินวนเวียนไปรอบสิ่งที่รัดเขาไว้เหล่านั้นจนแตกสลายไป
เขาไม่ได้หันกลับมา “คำสั่งเรียกรวมทุกหน่วยไม่ใช่กำลังจะส่งออกไป แต่ว่าส่งไปแล้วสินะ รัชทายาทฉางฉินเป็นผู้ที่ใจกว้างตรงไปตรงมาเสมอ ทำไมต้องไปเรียนรู้วิธีไม่ดีเหล่านี้มาเล่นละครด้วย”
จากนิสัยของรัชทายาทฉางฉิน คงไม่ถึงกับจะต้องจงใจมาหาเขา และเมื่อเขามา ก็ไม่จำเป็นต้องนำนักรบมาด้วยหลายคน นี่จะต้องมีอะไรผิดปกติ
รัชทายาทฉางฉินมีสีหน้าสับสน มองเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจออกมา “เจ้าฉลาดถึงเพียงนี้ ไฉนถึงต้องทำเรื่องโง่งมเช่นนี้ด้วย นางคือเทพที่เสื่อมเป็นมาร ไม่มีทางรอดชีวิตได้ ต่อให้ต้องเป็นศัตรูกับตระกูลจู๋อินทั้งตระกูล ก็ไม่มีทางปล่อยนางไว้ได้ ข้าเห็นแก่สัมพันธ์ในอดีต จึงรุดมาก่อนเพื่อเตือนเจ้า หลายวันมานี้เจ้าไม่กลับไปที่หน่วย น่าจะอยู่กับนางสินะ นางซ่อนตัวอยู่ที่ไหน รีบส่งตัวนางออกมาเร็ว อย่าทำเรื่องโง่ๆ อย่างนี้ เรื่องนี้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว”
ฝูชางมองไปยังท้องฟ้าที่หนาวเหน็บนั้นเงียบๆ แล้วหันกลับมาพลางกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่ผิด เรื่องนี้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว”