บุหลันเคียงรัก - บทที่ 165 ใต้ต้นตี้หนี่ว์ซาง (ตอนปลาย)
เงาร่างในชุดนักรบสีขาวรีบไล่ตามไปยังริมผา มังกรทองที่แปลงมาจากกระบี่สวรรค์สีน้ำเงินกลับมาในฝ่ามือ สีหน้าของฝูชางซีดเผือดดุจหิมะ หยาดเหงื่อมากมายไหลลงมาจากหน้าผาก เมื่อครู่เขาใช้พลังเทพไปถึงขีดจำกัดแล้ว ตอนนี้จึงทำให้เขาหน้ามืด
จะหมดสติไม่ได้
แต่ว่าเข่าทั้งสองของเขาอ่อนแรง ไม่สามารถยืนได้อีก ได้แต่ต้องปักฉุนจวินยันไว้ที่พื้น พลางใช้มือทั้งสองกดไปบนกระบี่เพื่อยันตัวไว้เท่านั้น
เสียงอ่อนนุ่มขององค์หญิงมังกรดังมาจากในฉุนจวิน “ข้ายังเป็นมารครั้งหนึ่งด้วยนะ ร้ายกาจไหม”
ร้ายกาจกับผีอะไร
แสงรัศมีเทพตกลงมาไม่ขาดสาย บ้างก็ถูกธนูโฮ่วอี้ที่ไร้ตานั่นพลิกคว่ำ บ้างก็ถูกพายุหิมะสีดำม้วนเข้าไป แต่ส่วนมากต่างก็มุ่งหน้ามาทางนี้กันทั้งนั้น
“ชิงเยี่ยนกับท่านพ่อจะตายไหม” นางถามอีก
นั่นเรียกว่าดับสูญต่างหาก แต่พวกเขาไม่เป็นไรหรอก คนที่จะตายก็คือนางที่ถูกกระบี่ฉุนจวินจนบาดเจ็บหนัก หากว่าถูกจับออกมา จะต้องไม่มีทางรอดแน่
ฝูชางกัดฟันแน่นแล้วลองปล่อยพลังเทพออกมาดู เขาเรียกใช้ปราณกระบี่แปลงเป็นเทพ แต่เหมือนว่าเขาจะไม่สามารถทำได้แล้ว แม้แต่จะยืนยังต้องใช้แรงทั้งหมดที่มี ความฝันที่เขาเคยฝันถึง ใต้ต้นตี้หนี่ว์ซาง ฉุนจวินสูญเสียการควบคุม และแทงทะลุหัวใจขององค์หญิงมังกร ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางยอมให้ความฝันนี้เป็นจริงเด็ดขาด
แสงรัศมีเทพขนาดใหญ่รีบร้อนลงมา เสียงเต็มไปด้วยโทสะของเทพบูรพาพลันดังขึ้น “ฝูชาง! วางกระบี่ฉุนจวินแล้วมานี่!”
ฝูชางหรี่ตาลง แล้วมองไปยังผู้เป็นบิดาที่อยู่ตรงข้ามเขา สีหน้าเขาเคร่งขรึมปวดร้าว แววตาที่ราวกับไม่อยากจะเชื่อของเขาแฝงไปด้วยความกรุ่นโกรธ ราวกับเขากำลังกล่าวว่า การที่เจ้าเข้าไปพัวพันกับองค์หญิงมังกร จนถึงตอนนี้ไม่มีทางมีจุดจบที่ดีจริงๆ แล้ว
ไม่รู้ทำไม ตอนนี้ ในสมองของเขากลับปรากฏภาพตั้งแต่เล็กจนโตที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในวังเทพบูรพาขึ้นมา ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่โอ่อ่าและอหังการ ทะเลสาบเฉิงเจียงที่ใสสะอาดราวกับผลึกแก้ว ศาลาต้านเย่ว์ที่สงบเงียบ ดอกซิ่งฮวาเซียนหวาที่เขาปลูกด้วยตนเอง ความใจเย็นของท่านพ่อยามฝึกฝนกระบี่ให้เขาตั้งแต่เล็กจนโต
เขามักจะพูดว่า ฝูชาง พรสวรรค์เจ้าหาได้ยากยิ่งนัก วิถีกระบี่เทพบูรพาตระกูลหวาซวี ในอนาคตจะต้องเจริญรุ่งเรืองด้วยมือเจ้าแน่
ช่วงวัยกึ่งเด็กกึ่งผู้ใหญ่ของเขาส่วนมากจะเอาแต่มองรอบข้างด้วยสายตาห่างเหินและไม่ใส่ใจ เขาไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรที่เขาจำเป็นต้องทุ่มเททั้งหัวใจเพื่อไปทำ ที่เขามารับตำแหน่งนักรบนี้เองก็แค่เป็นไปตามธรรมชาติ ทำหน้าที่ไปตามระเบียบของสวรรค์เท่านั้น
หากว่าไม่มีองค์หญิงมังกร คิดว่าทั้งชีวิตของเขาก็คงจะราบรื่นเหมือนดั่งที่ท่านพ่อกล่าวไว้ อนาคตรับตำแหน่งเทพบูรพา มีเหล่าเทพธิดามากมายจากทั่วทุกสารทิศให้เขาเลือก วิถีกระบี่หวาซวีรุ่งเรืองด้วยมือเขา อนาคตเขาจะทั้งมั่นคงและรุ่งโรจน์ คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก
แต่ทว่าเขาได้พบนางแล้ว
ดังนั้นขออภัยด้วย เขาไม่อาจวางฉุนจวินลงได้
กระบี่วิเศษแห่งสวรรค์สีน้ำเงินนี้กลายเป็นแสงสีทองเจิดจรัส สายลมที่ทั้งนุ่มนวลอย่างไม่ยอมให้ปฏิเสธพัดขึ้นยามรุ่งอรุณอีกครั้ง คราวนี้รูปสลักเทพดูเหมือนจะชัดเจนและลุ่มลึก มือทั้งสองประกบกัน เก็บเอาเทพที่เสื่อมลงไปเป็นมารจนไร้ที่ไปทั้งสวรรค์และพิภพไว้ในฝ่ามือ รูปปั้นเทพค้อมศีรษะต่ำ ราวกับกำลังจับจ้องมองนางในฝ่ามือ
เทพบุตรชุดขาวสูญเสียการควบคุมไปแล้ว ร่างค่อยๆ ทรุดลงไปกับพื้น
มหาเทพโกวเฉินที่รีบร้อนตามมายกมือขึ้นหมายจะยิงแสงสีทองหมื่นสายออกไป ข้อมือพลันถูกสายพิณรัดเอาไว้แน่น
เขาโมโหจนผมแทบจะชี้ชันขึ้นมา “รัชทายาทฉางฉิน! ท่านอยู่ฝ่ายไหนกันแน่!”
เมื่อครู่พวกเขาทั้งสองยังร่วมมือกันอย่างรู้ใจกันอยู่เลย จนเกือบจะทำให้องค์หญิงนั่นบาดเจ็บหนักได้แล้ว ผลคือเขาคิดจะพลิกหน้า[1]ก็พลิก ทำไมถึงได้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างนี้กัน
รัชทายาทฉางฉินตะคอกเสียงดังยิ่งกว่าเขา “นักรบหน่วยติงเหม่าท่านคิดจะฆ่าก็ฆ่าหรือ”
มหาเทพโกวเฉินหันกลับไปมองเทพบูรพาอีกด้าน “ท่านเทพบูรพา ท่านว่าอย่างไร ตระกูลหวาซวีจะสร้างความวุ่นวายถึงที่สุดหรือ”
เทพบูรพาไม่ได้หันกลับมา เสียงที่มักจะสุขุมลุ่มลึกราวบัณฑิตกลับเต็มไปด้วยความเยือกเย็น “บุตรชายทำผิด แน่นอนว่าข้าต้องตำหนิและสั่งสอนเขา ไม่กล้ารบกวนมหาเทพโกวเฉินหรอก”
ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็ค้างอยู่ที่นี่หรือ มหาเทพโกวเฉินเดือดดาลถึงขีดสุด หันกลับไปมองรอบๆ กลับเห็นเหล่านักรบต่างพากันยืนอยู่บนที่สูงกันอย่างลังเล ไม่มีใครกล้าลงมือ และไม่รู้ว่านักรบหน่วยไหนกลุ่มหนึ่งที่ไม่มีกระทั่งแม่ทัพผู้คุมอยู่ พวกเขาต่างกำลังยอบตัวนั่งลงอยู่อีกด้านอย่างไม่มีอะไรทำ
เขากล่าวเสียงเข้ม “พวกเจ้าคือนักรบหน่วยไหน แม่ทัพผู้คุมเล่า!”
นักรบคนหนึ่งกล่าวเสียงเบาออกมาทันทีว่า “มหาเทพเสวียนหมิงกล่าวว่า องค์ชายน้อยคือศิษย์รักของเขา เขาไม่อยากมาฆ่า ให้พวกเราดูแล้วจัดการกันเอาเอง”
นี่ต่างหากที่เรียกว่าแต่ละคนต่างก็เหลวไหลทั้งนั้น ธนูโฮ่วอี้ยังคงพุ่งสะเปะสะปะไปมาในทะเลเมฆ เกิดเสียงดังสนั่นจนเจ็บหู ใช่ ยังมีของเล่นพิลึกชิ้นนี้อยู่อีก ไม่ไปจัดการกับเทพที่เสื่อมเป็นมาร แต่กลับไปไล่ล่าเหล่านักรบเสียจนวิ่งกันวุ่นวายไปหมด
มหาเทพโกวเฉินพลันดึงสายพิณออก เขาเก็บเวทไปแล้วเหยียบขึ้นไปบนทะเลเมฆ ราชรถเทพจัดเรียงแถวอีกครั้ง คันธนูขนาดใหญ่ยิงไปยังธนูไร้ตานั้นอย่างรวดเร็ว ของชิ้นนี้มีเพียงเผ่าเทพที่สามารถปลดปล่อยพลังเทพชั้นสูงได้เท่านั้นถึงจะสามารถกำราบและผนึกมันได้ ตอนนี้ความโมโหทั้งหมดของเขาต่างไปลงที่มัน กล่าวขึ้นว่า “ยังไม่รีบทำลายอาวุธสังหารเทพอีก!”
เดิมทีมันคือความอัปยศของการสังหารเทพอยู่แล้ว ยังเก็บมันไว้ทำไมอีก ทำให้เป็นผุยผงไปเลยถึงจะดี
หยาดเหงื่อไหลซึมชุดสีขาวของฝูชาง เสียงรอบกายทั้งหมดยามนี้ราวกับดังก้องมาจากที่ไกลๆ ท่านพ่อกำลังพูดอะไรอย่างร้อนรน แต่เขากลับฟังไม่ชัดเจนสักคำ พลังทั้งหมดในร่างของเขาล้วนส่งเข้าไปเพื่อรักษาให้รูปปั้นเทพยังคงอยู่ ไม่ให้ตัวเองหมดสติไป
มีแววตาคู่หนึ่งมองมาที่ร่างเขา เขาไม่ได้มองไป ตอนนี้สีหน้าขององค์หญิงมังกรจะต้องทำให้เขาไม่พอใจแน่ แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่เคยเชื่อฟังมาก่อน
ไม่ต้องพูดว่าจะเป็นราชามาร เขารู้ดีว่า นางไม่ได้ยินดีจะเป็นราชามารอะไรนั่นเลย นางชอบอยู่สบายๆ ชมดูเรื่องสนุก และทรมานเหล่าเทพที่อยู่ข้างกายบ้าง ชอบดื่มชา เลือกกินแต่ขนมทานกับชาไม่ยอมกินข้าว องค์หญิงมังกรของเขาเหมาะสมที่จะเป็นเพียงองค์หญิงมังกรที่เอาแต่ใจไร้เหตุผล อย่าได้คิดจะไปเสียสละตามลำพังอีกเลย อย่าดับสูญ ขอแค่มีชีวิตต่อไป จะต้องมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นแน่ ไม่ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ เขาจะต้องหาวิธีช่วยนางให้ได้
เหล่านักรบของทุกหน่วยต่างทยอยกันมาถึงแล้ว คงเพราะภาพตรงหน้าเหนือความคาดหมาย องค์หญิงมังกรจู๋อินที่กลายเป็นมารในข่าวลือคนนั้นถูกปราณกระบี่แปลงเป็นเทพของตระกูลหวาซวีปกป้องเอาไว้ เหล่านักรบคนอื่นที่มาถึงก่อนกลับมัวแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการสู้กับลูกธนูโฮ่วอี้ที่ไร้ตานั่นอย่างเอาเป็นเอาตาย
มหาเทพจูเซวียนเห็นธนูโฮ่วอี้ของตนถูกเหล่าเทพโจมตีเสียจนเป็นรอยปริแตกมากมาย ก็ปวดใจจนร่างทั้งร่างสั่นระริก แล้วตำหนิไปว่า “เบาหน่อย! เบาหน่อย! อย่าทำมันแตก! ให้เปิ่นจั้วเก็บมัน!”
ยอมให้เขาเก็บไปอีกครั้งก็แปลกแล้ว เหล่านักรบยิ่งลงมือดุดันขึ้นอีก
รัชทายาทฉางฉินดีดสายพิณออกไป กว่าจะไล่ตามธนูสีแดงสดได้ทัน สายพิณเส้นเล็กพันไปรอบส่วนปลายของมันเอาไว้และรัดแน่นทันที เมื่อเห็นว่ากำลังจะถูกแรงมหาศาลดึงจนขาด เขาก็ร้องบอกอย่างร้อนใจ “รีบโจมตี! เร็วหน่อย!”
ทันใดนั้นเอง เวทและอาวุธเทพมากมายราวกับแม่น้ำสวรรค์ก็โถมเข้ามาราวกับคลื่นยักษ์พริบตาเดียวก็ทำให้ธนูโฮ่วอี้ดูเล็กบางไปและถูกกลืนกินในพริบตา ได้ยินเพียงเสียงแตกหักบาดหูดังสนั่นไปทั้งฟ้าดินเป็นระลอก แสงรัศมีเทพก็ถอยออกไปราวกับสายน้ำ อาวุธสังหารเทพของมนุษย์ที่สั่นสะเทือนฟ้าดินและทำให้เทพและปีศาจต้องร้องไห้นี้ปล่อยแสงสีเลือดออกมากมายกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ก่อนจะค่อยๆ แตกสลายกลายเป็นผุยผงไปทีละน้อย
ทุกอย่างราวกลับเงียบสนิทลงทันใด มีเพียงเสียงร้องไห้ของมหาเทพจูเสวียนที่ดังมาเป็นระยะๆ แต่ว่าทุกคนต่างก็ไม่สนใจเขาเท่าไหร่นัก
พายุหิมะสีดำที่เต็มไปด้วยไอสังหารบนทะเลเมฆหยุดลงแล้ว มีดน้ำแข็งที่ลอยไปทั่วก็หยุดแล้ว มังกรน้ำแข็งสีดำที่ยกร่างมหาเทพจงซานกับองค์ชายน้อยเอาไว้ก็ร่วงลงไปจากริมหน้าผา ใช่แล้ว ที่นั่นยังมีองค์หญิงจู๋อินที่เสื่อมเทพกลายเป็นมารผู้นั้นด้วย
ทำอย่างไรดี จะไปจัดการนางจริงๆ หรือ ดูท่าทางแล้วนางร้ายกาจมาก อีกทั้งยังดูเหมือนว่าตระกูลจู๋อินกับตระกูลหวาซวีต่างก็ทุ่มเทสุดชีวิต เกรงว่าหากฆ่านางไปภายหลังจะต้องมีหายนะไม่สิ้นสุดแน่ จะต้องทำลายเผ่าเทพของแดนเทพที่ร้ายกาจทั้งสองตระกูลให้สิ้นไปด้วยหรือ หากภายหลังมีราชาเผ่ามารมาก่อความวุ่นวายอีก ไม่มีพายุหิมะกับวิถีกระบี่หวาซวี เวลาต่อสู้กันจะต้องเหนื่อยมากแน่สินะ ยิ่งไปกว่านั้นมหาเทพชิงหยวนที่เสียสติไปแล้วคนนั้นยังเอาธนูโฮ่วอี้ออกมาอีก ทั้งยังทำร้ายเหล่าเทพที่บริสุทธิ์ไปมากมายนับไม่ถ้วน ไม่ต้องกล่าวถึงอีกหน่อยเลย ต่อให้ตอนนี้มีราชามารปรากฏตัวขึ้นมา พวกเขาก็ต้องปวดหัวกันมากแน่
เหล่าเทพต่างตกอยู่ในสถานการณ์สับสนอย่างน่าประหลาด ทันใดนั้นพลันมีเสียงระฆังดังกังวานขึ้นไปทั้งฟ้าดิน เวทเสียงประกาศิต นี่คือราชโองการของจักรพรรดิสวรรค์ มีราชโองการมาตอนนี้หรือ
—
[1]พลิกหน้า : ในที่นี้หมายถึง แตกคอ แตกหัก