บุหลันเคียงรัก - บทที่ 171 อยู่ในที่ของตน
…นอนหลับไปสองพันปี ประโยคแรกที่พูดออกมาหลังจากตื่นคือ “ขนม”
ฝูชางถึงกับไร้คำพูดกับพฤติกรรมหลังจากตื่นขึ้นมาของนางที่ไม่ได้ถามถึงตัวเอง ไม่ถามถึงพ่อและพี่ชาย แต่กลับเอาท้องตนให้อิ่มก่อนอย่างนี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะหยิกนางสักทีหรือควรทำอย่างไรดี
กลับได้ยินเสียงท้องนางร้องดังโครกครากขึ้นมา มันส่งเสียงดังมากและยาวมากเป็นพิเศษ
ที่แท้นางก็หิวจริงๆ
เขางอนิ้ว จานใส่ขนมดอกท้อชุบแป้งเคลือบน้ำตาลและชาทรายทะเลหนึ่งกาที่เทพธิดาอี๋สุ่ยนำมาเมื่อครู่ก็ลงมาบนเตียง
ไม่ได้กินอะไรมาสองพันปี คิดว่านางคงจะหิวแย่แล้ว นางกินขนมหนึ่งจานหมดไปอย่างรวดเร็วและง่ายดาย แล้วใช้แขนเสื้อปิดปากหาว หันหน้าแล้วกลิ้งเข้าไปในอกเขาอย่างรวดเร็ว พลางขดตัวราวกับแมว ราวกับเอาหัวหลบซ่อนอย่างนั้น และกล่าวว่า “แสบตามากเลย”
ฝูชางมองไปในห้องรับแขกนี้ ในห้องไม่ได้จุดโคมไฟ ภายในตำหนักเทพวารีมีแสงสลัวผ่านไปมา แสงของมันก็ไม่ได้สว่างไปกว่าแสงจันทร์สักเท่าไหร่นัก แสบตาหรือ?
เขาสะบัดแขนเสื้อ ผ้าม่านก็ตกลงมา ห้องรับแขกตกสู่ความมืดมิดทันที แสงมืดสลัวอย่างนี้ดูเหมือนจะทำให้องค์หญิงมังกรรู้สึกสบายตัว จึงถอนหายใจออกมาอย่างพอใจ
กลิ่นหอมเย็นเต็มไปทั้งจมูกและปากท่ามกลางความมืดมิด ฝูชางอดไม่ได้ประคองใบหน้าของนางไว้เบาๆ แล้วมองอย่างพินิจพิจารณา
ดวงตาใสแจ๋วคู่นี้ขยับได้ ริมฝีปากงดงามอวบอิ่มก็ขยับได้ นางตื่นแล้ว ผ่านไปสองพันปี จากที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยไอขุ่นมัว เทพกลายเป็นมารที่เพียงยกมือก็ฆ่าแม่ทัพผู้คุมไปหลายคนได้ กลายเป็นเทพมังกรจู๋อินที่มีพลังเทพอ่อนบางเหมือนเพิ่งถือกำเนิดเท่านั้น ไม่มีเกล็ดมังกร ดวงตาก็มองแสงสว่างไม่ได้
ปลายนิ้วไล้โครงหน้าที่เย็นเฉียบและอ่อนนุ่ม เขาไม่กล้าออกแรงจริงๆ เกรงว่านางจะแตกสลายไป
แขนที่อ่อนนุ่มราวกับไร้กระดูกคู่นั้นกอดเขาเอาไว้เหมือนดั่งในฝัน ลมหายใจของเทพมังกรจู๋อินวนเวียนอยู่รอบกาย แม้มันจะอ่อนบางมาก แต่ว่านั่นก็เป็นพลังเทพมังกรที่แท้จริง
ร่างเพรียวบางในอ้อมอกค่อยๆ อ่อนยวบลงแล้วหลับไป เสียงของนางเปลี่ยนเป็นทุ้มต่ำและแผ่วเบา “ข้าง่วงแล้ว”
อย่านอน อย่านอนไปอีกสองพันปี อย่าปล่อยให้เขาต้องเดียวดายไปอีกสองพันปี หากว่านางไม่ตื่นขึ้นมาเลย เขาสามารถรอนางไปตลอดกาลได้ แต่หากว่าให้ความหวังเขาและปล่อยให้เขาจมอยู่กับการรอคอยอีก เวลาที่ยาวนานและเชื่องช้านั่นจะกลายเป็นงูเหลือมที่พันรัดเขาไว้จนหายใจไม่ออก องค์หญิงมังกรที่อำมหิต มักจะทิ้งเขาไว้ลำพังหลายต่อหลายครั้ง
ฝูชางเขย่านางเบาๆ แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ทนไว้หน่อย”
เสวียนอี่รู้สึกเพียงความอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงและอ่อนแอโถมมาราวกับคลื่นน้ำ นางพยายามไม่ให้ตัวเองจมลงไป แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับคล้ายละเมอ “เทพธิดาที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยดาวเมื่อครู่คือใครกัน”
มันสว่างเป็นประกายจนเกือบจะทำให้นางตาบอด ตื่นขึ้นมาเห็นภาพอย่างนี้เหมือนจะทำให้นางไม่ชอบใจนัก
ฝูชางจูบลงบนใบหน้านาง คำถามนี้นับว่าทำให้เขาพอใจ
เสียงทุ้มต่ำมีเสน่ห์ของเขาราวกับขนนกปัดเข้ามาในใจ มันคับยุบยิบ ล่อลวงเสียจนนางยิ่งอยากนอน ได้แต่ต้องพยายามถ่างตากว้างฟัง เสียงของเขากลับดังขาดๆ หายๆ ในหู “…สองพันปี…ท่านพ่อพี่ชายสบายดี…ทะเลหลีเฉิ่น…ประกาศทั้งแผ่นดิน…”
ที่แท้ก็ผ่านไปแล้วสองพันปี มิน่านางถึงได้หิวดุเดือดอย่างนี้ กลับไปแล้วนางจะต้องไปกินขนมชดเชยของสองพันปีนี้ด้วย
อืม ชิงเยี่ยนกับท่านพ่อไม่เป็นไร อย่างนั้นก็ดีแล้ว เจ้าสารเลวเซ่าอี๋นั่นนับว่าพอทำเรื่องที่มีน้ำใจอยู่บ้าง
ประกาศทั้งแผ่นดินอะไร นางไม่สนใจสักนิด เหล่าเทพจะเกลียดนางก็ดี โมโหนางก็ดี เทิดทูนนางก็ดี รังเกียจนางก็ดี แต่เพราะล้วนแต่ไม่ใช่เรื่องที่นางสนใจ ดังนั้นนางจึงถือว่าไม่มีมันเสีย
เรื่องที่เหลือ รอให้นางตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วค่อยๆ บอกนางเถอะ คราวนี้นางจะต้องไม่หลับนานแน่
เสวียนอี่อดทนถ่างตาต่อไปไม่ไหวอีก ค่อยๆ จมลงสู่ความมืดมิดที่คุ้นเคย
…
องค์หญิงผู้กอบกู้โลกแก้ไขหายนะของทะเลหลีเฮิ่นตระกูลจู๋อินคนนั้นตื่นแล้ว! ช่วงนี้ข่าวที่ร้อนแรงที่สุดของแดนเทพไม่มีข่าวไหนเกินข่าวนี้ไปได้
ตอนนั้นจักรพรรดิสวรรค์ประกาศเรื่องทั้งหมดของทะเลหลีเฉิ่นออกมาให้แผ่นดินล่วงรู้ ชื่อเสียงของตระกูลจู๋อินและตระกูลชิงหยางทั้งสองตระกูลที่โด่งดังไปทั่วก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
ได้ยินว่าองค์หญิงน้อยตระกูลจู๋อินมีอายุเพียงสามหมื่นสามพันปีก็ใช้ความสามารถของตนไปแก้ไขสถานการณ์อันตราย ช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในแผ่นดินจากหายนะ หลังจากนั้นเพราะนางถูกไอขุ่นมัวแทรกซึมเข้ามาทำให้ถูกเหล่าแดนเทพที่ไม่รู้เรื่องทั้งหลายตามไล่ฆ่า สุดท้ายก็หมดแรงและหลับลึกลงไป เรื่องนี้เรียกน้ำตาจากเทพธิดาได้นับไม่ถ้วน และยังทำให้เหล่าเทพบุตรหนุ่มที่ไม่รู้ความนับไม่ถ้วนเกิดความรู้สึกที่ไม่บังควรกับองค์หญิงผู้นี้
ได้ยินว่าท่านชายตระกูลชิงหยางผู้นั้นคือมหาเทพชิงหยางรุ่นก่อนๆ หน้าที่ถือกำเนิดใหม่มา และเป็นหนึ่งในผู้ที่ทำให้เกิดหายนะทะเลหลีเฮิ่นขึ้น เขาใช้วิธีการที่เหี้ยมโหดรุนแรง ใช้ขนหัวใจหงส์บังคับให้ตระกูลจู๋อินไปทำเรื่องต่างๆ หลังจากนั้นยังคิดจะเอาชื่อเสียงกับผลงานไว้เองอีก เรื่องนี้ทำให้เทพนับไม่ถ้วนต่างก็แอบเลื่อมใสลับๆ และยังทำให้เทพธิดาอายุน้อยที่ไม่รู้ความนับไม่ถ้วนเกิดความรู้สึกที่ไม่บังควรกับมหาเทพโบราณอายุน้อยที่ดูเหมือนจะร้ายกาจเอามากๆ คนนี้ขึ้นมา
สรุปแล้วคือทัศนคติที่เหล่าเทพมีต่อสองตระกูลนี้ช่างวุ่นวายยิ่งนัก
แต่ไม่ว่าอย่างไร องค์หญิงตื่นแล้วก็ดี
ตอนนี้องค์หญิงที่ถูกเหล่าเทพนับหมื่นเลื่อมใสกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทีงามสง่ายิ่ง นางลงมือเร็วราวกับสายฟ้า คว้าเอาขนมบนจานหยกขาวมากินจนเกลี้ยง ดื่มชาสุริยันจรัสแสงเข้าไปหนึ่งคำ ดวงตาที่ซ่อนอยู่หลังผ้าบางสีดำมองไปยังเทพีรับใช้ด้านหลังอย่างลึกล้ำ แล้วกล่าวเสียงอ่อนว่า “…เอามาอีกจาน”
ยังจะเอาอีกจานหรือ นี่เป็นจานที่สี่แล้ว สมแล้วที่เป็นองค์หญิงกู้โลก กระเพาะยังไม่เหมือนคนอื่น เทพีไปหยิบขนมมาให้นางต่อด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความเคารพยำเกรง
“อาอี่ เจ้ากินมากขนาดนี้ไม่เป็นไรหรือ” มหาเทพจงซานมองมาที่นางอย่างกังวล แล้วยกมือขึ้นไปหมายจะลูบหน้าของบุตรสาว
เสวียนอี่เบี่ยงหัวหลบ นางไม่อยากให้เขาลูบแล้ว ลูบแล้วเขาก็บ่นอีก พอบ่นเสร็จก็ทำตาแดง น่าเบื่อมาก
ชิงเยี่ยนที่ตั้งใจรีบกลับมาจากเทียนเป่ยโดยเฉพาะหัวเราะเหยียดเสียงต่ำ “ไม่ได้กินอะไรมาสองพันปี ดูเจ้าหิวสิ”
พวกเขาเองก็รู้ว่านางไม่ได้กินอะไรมาสองพันปี อีกทั้งนี่ยังไม่ใช่ตอนหลับใหลพันปีที่จะมีไอบริสุทธิ์มาวนเวียนอยู่ ทำไมถึงไม่ยอมยกขนมมาให้นางเร็วกว่านี้หนอ ไม่แน่ว่านางอาจจะตื่นขึ้นมานานแล้วก็เป็นได้
มีมืออีกข้างหนึ่งแนบลงบนใบหน้าของนาง เสวียนอี่หันกลับไป ฝูชางกำลังนั่งอยู่ข้างๆ ดวงตาดำสนิทของเขาจ้องมาที่นางอย่างเป็นห่วง เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็รู้สึกไม่วางใจกับการกินไม่หยุดของนางเหมือนกัน
นางยิ้มน้อยๆ เสพสุขกับสัมผัสของเขาอย่างพอใจ การปฏิบัติที่ไม่เหมือนกันนี้ทำให้มหาเทพจงซานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างอดไม่ได้
ประตูวังเหยียนเหอพลันถูกเปิดออก กลับเป็นมหาเทพไป๋เจ๋อที่พาพวกกู่ถิง ไท่เหยา เหยียนสยาเดินเข้ามา วังเหยียนเหอที่ไม่สงบนักก็พลันเสียงดังวุ่นวายขึ้นมาในพริบตา ประเดี๋ยวคนนี้ถามครั้งหนึ่งว่า “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” คนนั้นถามอีกว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีความกล้าอย่างนี้” เสวียนอี่ถูกเสียงดังวุ่นวายเข้าจนปวดหัว จึงไม่สนใจใครทั้งนั้น
มหาเทพไป๋เจ๋อเข้ามา เพิ่งจะเข้าไปใกล้ก็พบว่าในร่างของนางมีพลังเทพมังกรจู๋อินที่เบาบางมากอยู่หลายสาย เขาร้องยินดีอย่างหาได้ยากว่า “อ้อ” แล้วผ่อนลมหายใจ “ที่แท้เอาไว้ในกระบี่ฉุนจวินก็มีประโยชน์จริงๆ ”
ประโยคนี้พูดจนทำให้สีหน้าของมหาเทพจงซานเปลี่ยนไปทันที กระทั่งฝูชางยังอดมองไปที่เขาหลายครั้งไม่ได้ เขารู้อยู่แล้วว่าประโยคเหล่านั้นของอาจารย์จะต้องเป็นวาจาเหลวไหลแน่
“ตอนนี้พลังเทพของเจ้า เกรงว่าคงเหมือนเทพมังกรจู๋อินที่เพิ่งถือกำเนิด” มหาเทพไป๋เจ๋อดึงเก้าอี้มานั่งลง พอดีกับที่เทพรับใช้ยกขนมเข้ามา เขาหยิบขนมโมราเคลือบแป้งน้ำตาลชิ้นหนึ่งอย่างไม่เกรงใจ “เวทอะไรก็ใช้ไม่ได้แล้วสินะ”
เสวียนอี่พยักหน้าเงียบๆ แค่ใช้เวทไม่ได้ที่ไหนกัน กระทั่งจะเรียกหิมะนางยังเรียกไม่ได้เลย
นางกลับรู้สึกคิดถึงตอนนั้นที่สามารถปล่อยมังกรน้ำแข็งออกมาครั้งเดียวได้หนึ่งร้อยแปดตัวขึ้นมา
มหาเทพไป๋เจ๋อกล่าวเสียงเข้มว่า “เจ้าดูดกลืนพลังมืดจู๋อินที่ปนเปื้อนไอขุ่นมัวในทะเลหลีเฮิ่นพวกนั้นเข้าไป ภายหลังที่ใต้ต้นตี้หนี่ว์ซาง เจ้าคงจะใช้มันแปลงเป็นมังกรดำกับพายุหิมะออกมาทั้งหมด ไม่ดับสูญคิดว่าน่าจะเพราะพลังเทพคืนชีวิตที่แทรกเข้าไป ยิ่งไปกว่านั้นลมหายใจของเทพมังกรจู๋อินยังยาวมากด้วย พลังชีวิตแข็งแกร่งมาก นอนหลับไปเพียงสองพันปีก็ตื่นขึ้นมาได้ ถือว่าเร็วมากแล้ว”
คำพูดเขาก็ราวกับจะเป็นอย่างนั้น แต่น่าเสียดายพูดไปกินไป ทำให้คำพูดที่ออกมาดูไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด
“ต่อไปข้าก็ต้องอ่อนแอไปอย่างนี้หรือ” เสวียนอู่มองมือของตน ไม่มีเกล็ด ไม่มีเวท นางก็ราวกับเต้าหู้ก้อนหนึ่ง
มหาเทพไป๋เจ๋อคิดแล้วหันไปมองฝูชาง “ในเมื่อฉุนจวินมีประโยชน์ ก็ใส่ไว้ในนั้นต่อเถอะ รอให้นางมีเกล็ดงอกออกมาก่อนค่อยว่ากัน”
นั่นจะต้องใช้เวลาตั้งกี่ปีกัน! สีหน้าของมหาเทพจงซานย่ำแย่ยิ่งกว่าเก่า เกล็ดของอาอี่ขึ้นเต็มตอนอายุได้สามหมื่นปี หรือว่าต่อไปต้องให้เจ้าหนุ่มตระกูลหวาซวีรุ่นหลังนั่นกักอาอี่ไว้ในกระบี่สามหมื่นปีหรือ
“อย่างไรนางก็นอนอยู่ในฉุนจวินมาถึงสองพันปีจึงจะตื่นขึ้นมาได้”
คำพูดนี้ของมหาเทพไป๋เจ๋อทำให้ดวงตาของมหาเทพจงซานแดงขึ้นมา เดินหลบไปด้านข้างเงียบๆ
กู่ถิงเห็นบนโต๊ะมีจานขนมที่กินหมดแล้วหลายใบวางกองอยู่ เจ้ามารน้อยเสวียนอี่นั่นยังเอาขนมเข้าปากอยู่ตลอดอีก เขาจึงอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ “นอนไปสองพันปี ดูท่าแล้วน่าจะพักกระเพาะได้ดีด้วย”
พูดแล้วก็เข้าไปใกล้ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่ง ถามว่า “เจ้าตื่นมาได้พอดียิ่ง อีกไม่กี่เดือนดอกโบตั๋นเริงระบำก็จะบานแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าต้องไปร่วมงานเฉลิมฉลองที่เกาะสวรรค์ราชาบุปผาให้ได้นะ”
งานเฉลิมฉลองหรือ เสวียนอี่เบิกตากว้างแล้วมองไปยังเหยียนสยาที่ยืนหน้าแดงก้มหน้าอยู่ข้างๆ นางก็เข้าใจทันที ศิษย์พี่กู่ถิงคนนี้กลับรีบร้อนขนาดนี้ พอเจอคนที่ถูกใจเข้าก็รีบอยากจะใช้ฐานะมามัดไว้ข้างกาย เพิ่งจะอายุได้ห้าหมื่นปีก็แต่งงานแล้ว จะเร็วเกินไปหน่อยหรือไม่
คราวนี้กู่ถิงกลับเข้าใจความคิดนางได้แล้ว จึงรีบพูดทันทีว่า “เจ้าคิดว่าแต่ละคนบนแดนเทพต่างเป็นมหาเทพหรือไร บรรดาผู้ที่ได้ฉายามหาเทพล้วนแล้วแต่เป็นเผ่าเทพที่มีสายเลือดสูงศักดิ์ที่หาได้ยากทั้งนั้น จะแต่งงานก็ต้องรับตำแหน่งมหาเทพก่อน แต่อย่างข้าน่ะไม่ต้อง เหยียนสยาเองก็มีพี่ชายรับตำแหน่งต่อจากจักรพรรดิแดงแล้วด้วย”
ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง
เสวียนอี่ยิ้ม นางชอบกู่ถิงมาก จึงกล่าวอวยพรเขาอย่างจริงใจ “ศิษย์พี่กู่ถิงกับศิษย์พี่เหยียนสยาเกิดมาคู่กันจริงๆ ”
พูดจนเหยียนสยารีบร้อนหันหน้าหนี หูก็แดงก่ำ กู่ถิงยิ้ม “คำหวานพูดได้คล่องนัก ในเมื่อเจ้าตื่นแล้ว ก็รีบไปรับศิษย์พี่หญิงจื่อซีออกมาเถอะ นางอยู่ในคุกสวรรค์ตามลำพังมาสองพันปีแล้ว”
ไท่เหยาที่อยู่ข้างหลังลอบเตะขาเก้าอี้เขา เสวียนอี่ยังไม่รู้เรื่องจื่อซีแม้แต่น้อย เขาจะพูดขึ้นมาทำไมกัน
ผลคือเสวียนอี่กล่าวขึ้นมาอย่างแปลกใจว่า “ศิษย์พี่หญิงจื่อซีเป็นอะไรไปหรือ”
กู่ถิงถอนหายใจ ศิษย์พี่หญิงจื่อซีดึงดันขึ้นมาก็เอาเรื่องมาก กล่าวว่าจะรอให้เสวียนอี่ตื่นแล้วจึงจะออกจากคุกสวรรค์ นางก็ไม่เคยออกมาก่อนเลยจริงๆ หลังจากหน่วยต่างๆ สลายไปแล้ว ฝ่ายอาญาก็ไปเชิญนางออกมาจากคุกสวรรค์หลายครั้ง เพื่อไปรับหน้าที่ฝ่ายอาญา แต่ว่านางกลับไม่ยอมตกลง เมื่อรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น ผู้คุมฝ่ายอาญากลับให้ความสำคัญกับนางมากเพราะเรื่องนี้
มีความคิดเลวร้ายเป็นเรื่องปกติ แต่ว่าการที่ไม่ยอมอ่อนข้อและตำหนิความคิดเลวร้ายของตนได้อย่างรุนแรงขาดนี้ กลับเป็นสิ่งที่เทพทั่วไปทำไม่ได้ และเพราะนางเข้มงวดกับตนเองอย่างนี้ นางจะต้องสามารถเป็นผู้ตัดสินดีชั่วที่สมบูรณ์แบบที่สุดของฝ่ายอาญาแน่นอน