บุหลันเคียงรัก - บทที่ 173 ดอกซิ่งและฝนใบไม้ผลิ
สายฝนโปรยปรายลงมายังต้นไม้ใหญ่สูงเทียมฟ้าของเรือน เพราะเรือนแห่งนี้เงียบสงบมาก เสียงเล็กละเอียดเหล่านี้จึงดังชัดเจนเป็นพิเศษ
ภายในห้องที่ปิดม่านจนมืดมิด นอกม่านสีเขียวมีขาเรียวเล็กเปลือยเปล่าข้างหนึ่งยื่นออกมา ไม่นาน ขาเรียวเล็กข้างนี้ก็ถูกดึงกลับเข้าไปภายในม่าน ฝูชางจับประคองขาเรียวอ่อนนุ่มราวกับไร้กระดูกนั้นเล่น เห็นที่หลังเท้ายังมีรอยช้ำอยู่หลายจุด เขาจึงใช้ปลายนิ้วลูบเบาๆ
ขาเรียวอีกข้างพาดไปบนหน้าอกเปลือยเปล่าของเขา ปลายเท้าลากตามแนวเส้นโค้งเว้าลงไป ลากไปถึงช่วงเอว แล้วยังคงลากลงไปต่อ
ฝูชางอดจับมันเอาไว้ไม่ได้แล้วดึงเบาๆ ร่างขององค์หญิงมังกรก็เข้ามาสู่อ้อมอกของเขา นางมักเป็นพวกเครื่องติดช้า ตอนแรกเริ่มมักจะเอาแต่หลบอยู่สักระยะ ถึงได้ยินยอมจมดิ่งลงไปในสัญชาตญาณมังกรและปล่อยตามใจ นิสัยของนางเองก็เป็นเช่นนี้
ลูบไล้คลอเคลีย ร่างของนางบิดไปมาราวกับงูอยู่ในอ้อมอก คลื่นน้ำที่ยินดีบ้าคลั่งและตื่นเต้นพุ่งสูงและกลืนกินเขาไป โล่งสบายอย่างที่สุด ริมฝีปากของฝูชางจรดลงตรงกระดูกไหปลาร้าของนาง แล้วรอยช้ำก็เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งรอย
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ความวุ่นวายทุกอย่างจึงสงบลงไป ฝูชางกอดร่างของนางไว้ แพขนตาของนางเปียกเหงื่อจนชุ่ม หยดน้ำเล็กๆ เกาะกันบนนั้น เขาก้มหน้าลงไปจูบมัน ในใจก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาบ้าง ปล่อยตัวเกินไปแล้ว นางนอนไปสองพันปีถึงตื่นขึ้นมา ไม่ควรจะเร็วขนาดนี้ น่าจะรู้จักควบคุมบ้าง
ไหล่เปลือยเปล่าของนางเต็มไปด้วยรอยช้ำนับไม่ถ้วน ฝูชางปัดผมยาวของนางออก ที่ลำคอทั้งหมดนั่นก็ใช่ เขาลูบไล้ไปมาครู่หนึ่งช้าๆ บ้างก็รู้สึกผิด บ้างก็รู้สึกสุขใจจนกล่าวไม่ออก
พลันได้ยินเสียงแหบแห้งของนางกล่าวเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่ฝูชาง ข้าจะไปดูดอกซิ่งเซียนหวา”
…ตอนนี้หรือ ฝูชางเป่าลมออกมา เขาเปิดม่านออก ด้านนอกฟ้ามืดแล้ว
ก็ดี
ฝูชางสวมชุดคลุมยาวของตนให้นาง และปิดปกเสื้อแน่นเพื่อบังร่องรอยทั้งหมดนั่นไว้ ทั้งยังเอาผ้าสีดำมาปิดตาให้นางด้วย แม้ว่าจะเป็นเพียงแสงจันทร์สลัวแต่ก็ยังทำร้ายดวงตาที่อ่อนแอของนางคู่นั้นอยู่ดี
จากนั้นฝูชางสร้างม่านพลังตระกูลหวาซวีไว้รอบๆ เพื่อบังสายฝนที่โปรยปรายลงมา แล้วใช้มือข้างเดียวอุ้มนางไว้เดินลงไปจากบันไดที่ใหญ่โตและทอดยาว พื้นรองเท้าไม้ส่งเสียงดังกังวานออกมา
วังเทพบูรพายามราตรีมีเสียงฝนดังมาไม่ขาดสาย ในหุบเขาที่ใหญ่โตและเงียบเหงานี้ ราวกับมีเพียงพวกเขาสองคนเคียงกันเท่านั้น
เสวียนอี่มองนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพลันกล่าวว่า “ศิษย์พี่ฝูชาง มหาเทพบูรพาเล่า”
เรื่องที่หลายปีมานี้นางหลับอยู่ภายในฉุนจวินมาตลอดมหาเทพบูรพาจะต้องรู้แน่ คิดว่าเขาคงจะไม่ค่อยยินดีนัก
ฝูชางกล่าว “ท่านพ่อน่าจะไปท่องเที่ยวกับท่านแม่แล้ว”
เขายังมีท่านแม่หรือ? ! ยากนักที่เสวียนอี่จะตกใจ ทำไมนางถึงไม่เคยเจอเลยเล่า
“ท่านแม่คือธิดาของมหาเทพไท่อี่บนสวรรค์ชั้นสามสิบสาม ตามหาความเป็นอมตะมาตลอด แต่น่าเสียดายที่เวียนว่ายตายเกิดไปกว่าร้อยครั้งก็ยังไม่สำเร็จ แทบจะดับสูญ เพราะอย่างนี้ท่านพ่อจึงปล่อยปราณกระบี่แปลงเป็นแสงและความมืดได้ และเก็บวิญญาณรวมถึงร่างเทพเข้าไปปกป้องอยู่ภายในกระบี่วิเศษไม้ท้อตระกูลหวาซวี นับจากนั้นถือว่านางมีชีวิตอยู่ในกระบี่ไม้ท้อมาตลอด นอกจากท่านพ่อแล้วไม่มีใครได้พบนาง”
มองไม่ออกเลยว่ามหาเทพบูรพาจะเป็นคนรักมั่นใจเดียวเช่นนี้ เสวียนอี่ถอนหายใจ พอเทียบกับท่านพ่อของตนแล้ว นางพลันรู้สึกว่าน่าอนาถจนทนมองไม่ได้
ฝูชางจับปอยผมที่หลุดลุ่ยออกมาทัดหลังหูให้นาง แล้วกล่าวเสียงอบอุ่น “พวกเขาชอบเจ้ามาก”
ทำไมนางไม่เชื่อสักนิดเลยเล่า แต่ว่าก็ช่างมันเถอะ เสวียนอี่โอบคอของเขาเอาไว้
ดอกซิ่งเซียนหวาภายในสวนบานไปกว่าครึ่งแล้ว กลีบดอกขนาดประมาณฝ่ามือหลากหลายสีสัน และสั่นไหวไปตามลมฝนที่โปรยปรายลงมา ชมดอกไม้ยามราตรีท่ามกลางสายฝน กลีบดอกไม้ร่วงหล่นเต็มพื้น เป็นความงดงามเศร้าสร้อยอีกอย่างหนึ่ง
เสวียนอี่เงยหน้าทอดมองไปยังทะเลสาบเฉินเจียง ทะเลสาบและเขาไท่ซานกว่าครึ่งถูกหมอกปกคลุมจนมิด เทียบกับวันนั้นที่ยอดวังมหาเทพบูรพามีสีทองประกายกับท้องฟ้าที่มีแสงแดดสว่างจ้าแล้ว ไม่เหมือนกันเลย
นางก้มหน้าลงแล้วมองฝูชางที่อุ้มตนเอาไว้ เขากำลังจ้องมาที่นาง แววตาเหมือนดังแต่ก่อน ทันใดนั้นเอง เขากลับเสมือนกลายเป็นเงาร่างสามร่างไป ทั้งเทพบุตรผู้เยือกเย็นและเปราะบาง องค์ชายเจ็ดที่สะอาดสะอ้านและนุ่มนวล นักรบชุดขาวที่ยึดมั่น แข็งกร้าวและเย่อหยิ่ง
เสมือนดั่งเวียนว่ายในวัฏจักรสามครั้ง ทุกครั้งเขาล้วนแต่ใช้แววตาที่เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยนอย่างนี้มองมาที่นางเสมอ
นางแย้มยิ้มบางๆ แล้วพลันเอ่ยปากว่า “ศิษย์พี่ฝูชาง ที่ท่านบอกข้าว่าไม่รีบร้อนหลับใหลหนึ่งพันปีในตอนนั้น จริงๆ แล้วข้าดีใจมาก”
นางหลีกหนีความชอบที่เขามีต่อนางราวกับหนีคนน่ากลัว หวังว่าเขาจะไม่ชอบนางไปตลอด แต่ว่าตอนที่เขาบอกกับนางว่าเพื่อนางแล้วเขาไม่รีบร้อนไปนั้น ในใจนางมีความสุขมากจริงๆ ความสุขที่ทำให้นางหวาดกลัว บางทีนับจากตอนนั้น นางถึงเข้าใจว่า ความรู้สึกโมโหที่นางมีต่อเขาและการชวนเขาทะเลาะเหล่านั้นมาจากที่ไหน
สุดท้ายนางก็ควบคุมไม่ได้ ไปติดพันเขาอย่างนั้น พัวพันเขาอยู่ตลอด แม้ว่าในส่วนลึกของหัวใจจะฉุกนึกถึงเสียงร้องไห้และเลือดสดๆ ของท่านแม่หลายต่อหลายครั้ง แต่ว่านางก็ยังคงวาดหวังความหวานเหล่านั้น
“ข้าชอบท่านมาตลอด” ผ่านไปสองหมื่นกว่าปี ในที่สุดเสวียนอี่ก็สารภาพต่อหน้าเทพบุตรชุดขาวอีกครั้ง “ดังนั้น หากว่าเป็นท่านละก็…”
พวกเขายังไม่เคยอยู่ด้วยกันนานๆ มาก่อนเลย แต่กลับผ่านความเป็นความตายด้วยกันมาแล้ว กระนั้นเรื่องที่น่ากลัวที่สุดตลอดกาลในโลกนี้หาใช่การเปลี่ยนแปลงภายนอก ทว่าเป็นกาลเวลาที่ยาวนานต่างหาก บุรุษเมื่อจมดิ่งสู่ความรักแล้ว ยังสามารถหนีหลุดออกไปได้ แต่ว่าหากสตรีจมดิ่งลงในความรักแล้ว กลับหนีไปไม่ได้ แต่ว่าหากบุรุษผู้นั้นคือเขา นางก็ยินดี
เสวียนอี่เบนสายตาออกไป แววตามองไปบนฟ้าที่เริ่มมีแสงแห่งรุ่งอรุณปรากฏขึ้นน้อยๆ ฝนค่อยๆ หยุดลง กิ่งไม้เหนือศีรษะยังคงมีน้ำหยดลงมา ร่วงลงมาพร่างพรมร่างทั้งร่าง
“ข้าน่ะ ชอบท่านที่สุดเลย”
ฝนหยุดตกเมฆสลายไป แสงอรุโณทัยยามเช้าเริ่มปรากฏเส้นขอบฟ้าสีครามจางๆ วังมหาเทพบูรพาทั้งวังสาดส่องไปด้วยแสงอรุณ หมอกน้ำเต็มไปหมด ดอกซิ่งเซียนหวาที่งดงามหลากสีสันราวกับถักทอขึ้นท่ามกลางแสงสว่างและไอหมอก สาดส่องไปยังใบหน้าซีดขาวขององค์หญิงมังกร นางเหมาะสมกับสีสันสดใสจริงๆ
กิ่งของดอกซิ่งฮวามีน้ำฝนเกาะอยู่มากเกิน จึงทำให้มันหนักและโน้มโค้งลงมา นางยันไหล่ของเขาไว้แล้วเอื้อมไปดึงดอกสีแดงสดที่สวยที่สุด แขนเสื้อหลวมโคร่งร่นลงมาตรงข้อศอก
ฝูชางยกมือแล้วเด็ดลงมาให้นาง เขาสะบัดน้ำฝนบนนั้นออกแล้วปักลงไปบนเรือนผมของนางเบาๆ งดงามยิ่งกว่าบุปผาทั้งปวง
เขาคิดไปถึงครั้งแรกที่อยู่ใต้มวลบุปผากับนาง สายตาของนางเต็มไปด้วยความเงียบเหงาจางๆ ความไม่ชอบใจในส่วนลึกของใจเขาที่มีต่อนางเหล่านั้น กลับพลันพบอย่างตกตะลึงว่าตัวเองถูกดึงดูดเข้าไปอย่างไร้ทางช่วย วันนั้นเป็นวันที่ทรมานมากวันหนึ่งจริงๆ
นับตั้งแต่นั้นมา เขาก็หวังว่าจะได้มีวันที่เหมือนอย่างเช่นในตอนนี้ วันที่เขาได้ชมทิวทัศน์ที่มีดอกไม้มากมายโปรยปรายลงมาอย่างงดงาม ท่ามกลางแสงอรุณเจิดจรัสเป็นประกายกับนาง
ฟ้าสว่างแล้ว ฝนเองก็หยุดแล้ว ทุกอย่างจะดีขึ้นมา
ฝูชางเงยหน้าขึ้นแล้วประทับจูบไปที่หน้าผากของนาง “ข้ารักเจ้า”
…
นั่นคือวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิที่ท้องฟ้าแจ่มใส ดอกโบตั๋นเริงระบำที่สามหมื่นปีจะบานสักครั้งบนเกาะสวรรค์ของราชาบุปผา ก็เริ่มผลิออกมาน้อยๆ อย่างเตรียมจะแย้มบาน
ขณะเดียวกัน งานแต่งงานของกู่ถิงบุตรคนที่สามของราชาบุปผากับเหยียนสยา องค์หญิงน้อยของจักรพรรดิแดงเองก็จัดขึ้นบนเกาะสวรรค์ของราชาบุปผาที่เต็มไปด้วยมวลดอกไม้ แขกเหรื่อแทบจะเหยียบจนคานประตูทรุดลงไปครึ่งหนึ่ง
ดอกสาลี่สีขาวราวกับหิมะปูเต็มไปทั่วทั้งเกาะสวรรค์ ใต้ต้นไม้ต่างมีแขกเหรื่อนับไม่ถ้วนจับกลุ่มกัน เสียงพูดคุยหัวเราะดังมาเป็นระลอก มีเพียงริมเกาะสวรรค์เท่านั้นที่เงียบสงบอยู่บ้าง
ลมพัดผ่าน ดอกสาลี่โปรยปลิวลงมาราวกับหิมะ ใต้ต้นไม้มีเทพธิดาในชุดใบบัวเป็นชั้นซับซ้อนสีชมพูเข้มยืนอยู่นิ่งๆ วงแหวนสีทองที่มัดผมยาวของนางไว้เป็นประกาย เงาหลังร่างเพรียวบางยืนนิ่งไม่ขยับราวกับจะบินขึ้นไปอย่างนั้น
มีเทพบุตรที่ผ่านไปมาเห็นรูปโฉมเช่นนี้เข้า ก็ถึงกับเดินไม่ออก ลอบเดินเข้ามาใกล้ แต่กลับพบว่าที่ดวงตาของนางมีผ้าสีดำปิดเอาไว้ โครงหน้าองศาภายใต้ผ้าสีดำเต็มไปด้วยความงดงามหยาดเยิ้ม
เขารีบกล่าวเสียงนุ่มทันทีว่า “ท่านผู้นี้จะต้องเป็นองค์หญิงเสวียนอี่แห่งตระกูลจู๋อินแน่”
เสวียนอี่หันกลับมาช้าๆ มองไปยังเทพแปลกหน้าตรงหน้า แล้วไม่กล่าวอะไร
เทพกลับหัวเราะแล้วกล่าว “องค์หญิงไม่เพียงแต่จะมีชื่อเสียงโด่งดังเท่านั้น คิดไม่ถึงว่ายังเป็นหญิงงามที่หาได้ยากอย่างนี้ด้วย วันนี้ทิวทัศน์งดงามมาก ทิวทัศน์บนเกาะสวรรค์มีนับไม่ถ้วน ทำไมองค์หญิงถึงมายืนลำพังที่นี่ ข้าขอเชิญท่านอย่างจริงใจ แต่ไม่ทราบว่าองค์หญิงจะไว้หน้าบ้างไหม ข้าคือ…”
ยังไม่ทันกล่าวจบ พลันเห็นว่าไม่ไกลจากต้นสาลี่ที่โอ่อ่า มีเทพบุตรองค์หนึ่งในชุดหรูหราตัวยาวสีเขียวเดินอ้อมมา ท่วงท่าการเดินไหลรื่นงามหมดจรด วันนี้คืองานแต่งของบุตรคนที่สามของราชาบุปผา ที่เอวเขายังมีกระบี่วิเศษสีน้ำเงินเล่มหนึ่งด้วย มองดีๆ แล้ว กลับเป็นฉุนจวิน
เป็นเทพฝูชางตระกูลหวาซวี
เทพคนนั้นยังคิดคำกล่าวลงไม่เสร็จ ก็เห็นเทพฝูชางใช้มือหนึ่งจูงมือองค์หญิงตระกูลจู๋อินแล้วหมุนตัวจากไป