บุหลันเคียงรัก - บทที่ 175 บุตรสาวออกเรือน
วันที่สองเดือนสอง มังกรเชิดเศียร นับจากยามเหม่า[1] วังเทพบูรพาก็มีฝนตกลงมาครั้งหนึ่ง เขาไท่ซานกว่าครึ่งจึงเต็มไปด้วยไอน้ำ
เหล่าเทพขุนนางตื่นกันแต่เช้า บ้างก็วุ่นกับการกำชับเซียนรับใช้ไปตกแต่งศาลาเล็กต้านเย่ว์ บ้างก็วุ่นกับจัดสุราอาหารในงานเลี้ยง ต้นไม้ใหญ่ทั้งหมดตรงริมทางเดินใหญ่ข้างทะเลสาบต่างถูกตัดเล็มตกแต่งหมดแล้ว หญ้าสีเขียวเป็นประกาย ผืนน้ำสีเขียวทอดยาวออกไป ดูแล้วสง่างามประณีตทั้งยังสดชื่นเย็นสบายเป็นพิเศษ
วันนี้คืองานแต่งงานของเทพบูรพาหนุ่มที่เพิ่งจะรับสืบทอดตำแหน่งได้ไม่นาน แม้ว่าท่านเทพบูรพาจะเป็นผู้ที่ถ่อมตนไม่ชอบความอึกทึกวุ่นวาย แต่ว่าไม่ว่าอย่างไรนี่ก็คืองานแต่งงาน จะต้องประณีตงดงามที่สุดถึงจะได้
เทพขุนนางผู้หนึ่งนำรายการขนมไปถามเทพอำมาตย์ฉีหนานที่มาช่วยงานจากเขาจงซานโดยเฉพาะ “อำมาตย์ฉีหนาน ขนมธัญพืชเกล็ดหิมะที่ท่านกล่าวองค์หญิงอยากได้นั้นใช่อย่างนี้ไหม”
ยามนี้ผมของฉีหนานกลายเป็นสีเงินแล้ว ดูแล้วกลับยิ่งเหมือนเทพเซียนมากขึ้น ทั้งยังดูมีเรี่ยวแรงมากกว่าแต่ก่อนเสียอีก เทียบกับบรรดาเทพขุนนางอายุน้อยที่กำลังกระวนกระวายด้วยไม่รู้นิสัยของว่าที่ฮูหยินเทพบูรพาแล้ว เขาเรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญโดยแท้ มองไปยังภาพบนรายการขนม ก็พยักหน้าแล้วกล่าว “เป็นอย่างนี้แหละ…ช้าก่อน ไส้ในของขนมโมราเคลือบแป้งน้ำตาลอย่าใส่ฟองเต้าหู้ ใบชาของชาคืนกำเนิดใช้ใบที่อายุหนึ่งพันปีก็พอ ชาสุริยันจรัสแสงอย่าใช้น้ำเดือด…”
เห็นเขากล่าวออกมาอย่างละเอียดลออโดยไม่แม้แต่จะหยุดพักหายใจ เหล่าเทพขุนนางอายุน้อยของวังเทพบูรพาต่างก็หน้าเขียวขึ้นมา ไม่กล้าเชื่องช้าแม้แต่น้อย จดบันทึกแต่ละเรื่องเอาไว้ลงบนสมุดเล่มเล็กจนเต็ม ส่วนเหล่าเทพขุนนางที่คุ้นเคยกับองค์หญิงก่อนแล้วกลับยิ้มแล้วกล่าวว่า “องค์หญิงก็เพียงแค่จุกจิกกับเรื่องขนมหน่อยเท่านั้นเอง”
ขณะพูด นอกประตูก็มีเสียงร้องลนลานของเหล่าเทพขุนนางดังขึ้นมา “มาแล้ว! มาแล้ว! รีบไปจัดการทางเดินริมทะเลสาบให้สะอาด!”
ราชรถของตระกูลจู๋อินและตระกูลหวาซวีมาถึงนอกประตูเขาแล้ว ฉีหนานออกไปต้อนรับก่อนนานแล้ว เหล่าเทพขุนนางอายุน้อยของตระกูลหวาซวีมองไปยังเงาร่างภายในราชรถตระกูลจู๋อินอย่างขลาดกลัว นั่นคือมหาเทพจงซานรุ่นก่อนและมหาเทพจงซานรุ่นปัจจุบัน เหมือนกับคำเล่าลือไม่มีผิด แต่ละคนใบหน้าขาวซีด ท่าทางเย็นชา ดูท่าแล้วไม่น่าเข้าใกล้เลย
ภายในราชรถของตระกูลหวาซวีเองก็มีเงาร่างสีเขียวเงาหนึ่งก้าวออกมา เขายืนเหยียดตรง งามสง่าและสุภาพเยือกเย็น ที่เอวห้อยกระบี่วิเศษแห่งสวรรค์สีน้ำเงินคู่กาย นี่ก็คือเทพบูรพาหนุ่มของพวกเขา
มหาเทพจงซานองค์ใหม่ดูแล้วบุคลิกเหนือธรรมดา เขาสวมชุดสีดำสลับทองตัวยาวไว้ ไม่รู้กำลังพูดคุยอะไรกับเทพบูรพา ทันใดนั้นเขาก็ยกมือขึ้นแล้วอุ้มเงาร่างสีแดงสดร่างหนึ่งออกมา เหล่าเทพขุนนางอายุน้อยพลันรู้สึกว่าแสงอาทิตย์ที่ถูกไอน้ำบดบังในอากาศราวกับไปรวมกันบนร่างของนางมิปาน
ได้ยินว่าชุดแต่งงานนี้เทพธิดาทอผ้าจื่อหยวนเสียเวลาไปมากเพื่อถักทอมันขึ้นมา แสงสีแดงที่องค์หญิงชื่นชอบในยามแสงอัสดงสาดส่องมายังกลีบของโบตั๋นเริงระบำ เพื่อให้ได้สีเช่นนั้น ทำให้นางต้องทุ่มเทสมองไปมาก
เดิมทุกคนต่างคิดว่าองค์หญิงดูจะช่างเลือกเกินไปหน่อย แต่ตอนนี้เมื่อได้เห็นสีแดงอันที่งามสง่าเลอค่าเช่นนี้ รวมกับรูปโฉมขององค์หญิงด้วยแล้ว พวกเขากลับรู้สึกว่านางควรจะเลือกมากหน่อยจริงๆ คิดว่าคงมีแต่นางเท่านั้นที่จะสวมใส่สีสันโดดเด่นได้งดงามถึงเพียงนี้
องค์หญิงคล้องแขนอำมาตย์ฉีหนานเอาไว้อย่างอาวรณ์ เงยหน้าขึ้นพูดอะไร เหล่าเทพขุนนางเดาว่า นางจะต้องกำลังกล่าวคำบอกลาอันน่าเศร้าอะไรเป็นแน่ แม้ว่าภายหลังยังได้เจอกันบ่อยครั้ง แต่อย่างไรเมื่อแต่งงานแล้วฐานะก็ไม่เหมือนเดิม ไม่สามารถกลับไปยังเขาจงซานได้ตามใจตนเองอีกแล้ว
แต่ทว่าแท้จริงแล้วบทสนทนาก็คือ…
“ฉีหนาน มีของกินไหม ข้าหิวแล้ว” เมื่อคืนนี้นางแทบจะไม่ได้นอนเลย ยามโฉ่ว[2]ก็ถูกดึงขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวทำผม คิดว่าคงเกรงว่าชาดที่ปากของนางจะหลุด จึงไม่ยอมให้นางดื่มกระทั่งชา โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว
เอาแต่กินทั้งวัน แต่งงานก็ยังจะกิน ชิงเยี่ยนถลึงตาใส่นาง “รอให้งานเลี้ยงเริ่มแล้วก็มีให้เจ้ากินแล้ว ตอนนี้ทนไปก่อน”
เสวียนอี่ถอนหายใจ นับตั้งแต่ที่ชิงเยี่ยนเป็นมหาเทพแล้วก็ยิ่งไม่น่าคบขึ้นทุกวันๆ มหาเทพไป๋เจ๋อยังชมเขาว่ามีท่าทีของมหาเทพจงซานในอดีต ดุดันคือลักษณะของมหาเทพจงซานหรือ
ฉีหนานประคองนางเดินช้าๆ ไปตามทางเดินริมทะเลสาบแล้วกล่าวอย่างอบอุ่นว่า “ทั้งชีวิตมีเพียงครั้งนี้ครั้งเดียว วันนี้องค์หญิงอย่าได้สะเพร่า คิดไม่ถึงว่าข้าจะได้มีโอกาสเห็นองค์หญิงใส่ชุดแต่งงานในชีวิตนี้ได้ ข้าดีใจจริงๆ”
แต่ก่อนสิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือองค์หญิงจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปชั่วชีวิต
เสวียนอี่พลิกมือกลับมาประคองเขา “ใครใช้ให้เจ้ามาช่วยทางนี้กัน บอกเจ้าแล้วว่าให้พักผ่อนดีๆ กลับไปแล้วย้ายมาอยู่ที่วังเทพบูรพาเสีย ท่านพ่อกับชิงเยี่ยนจะได้ไม่ต้องมาใช้งานเจ้า”
ฉีหนานหลุดยิ้ม “ท่านมีแผนชั่วร้าย คิดอยากจะให้ผู้เฒ่าอย่างข้ามาอยู่คอยรับใช้ท่านต่อสินะ”
องค์หญิงบิดแขนเสื้อเขาเสียเป็นเกลียว “ข้าไม่อยากห่างเจ้าไป”
แล้วเขาห่างจากนางได้หรือ ฉีหนานมององค์หญิงที่งดงามไร้ใครเปรียบในวันนี้อยู่เงียบๆ พริบตาเดียวองค์หญิงน้อยที่เคยสงบเสงี่ยมและโดดเดี่ยวก็เติบโตจนถึงขนาดนี้แล้ว ทั้งยังได้แต่งงานกับเทพที่นางรักอีก เขาทั้งรู้สึกยินดีและเสียใจอยู่บ้าง
ชิงเยี่ยนเดินมาประคองเขาจากด้านหลัง “ฉีหนาน วันนี้จะต้องกลั้นเอาไว้ให้ได้ อย่าร้องไห้”
ได้ ข้าจะพยายาม ฉีหนานพยายามสะกดกลั้นน้ำตาลงไป
เห็นว่าใกล้จะถึงยามอู่แล้ว[3] แขกเหรื่อจะมากันแล้ว เทพบูรพาหนุ่มสะบัดแขนเสื้อ ประตูเขาของวังเทพบูรพาก็เปิดออก ดอกไม้สีทองนับหมื่นโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า ขุนเขาและสายน้ำที่ถูกปกคลุมไปด้วยไอน้ำราวกับมีมือขนาดใหญ่คู่หนึ่งมาเปิดออก แสงอาทิตย์สาดส่องลงมา บนทะเลสาบเฉิงเจียงมีจุดสีทองกระโดดโลดเต้นไปมามากมาย
เสวียนอี่พิงกับราวไม้ของศาลาเล็กต้านเย่ว์ เท้าคางพลางเหม่อมองไปยังกระดิ่งทองแดงตรงหน้า ศีรษะพลันถูกมือข้างหนึ่งลูบ กล่องอาหารเล็กๆ ยื่นมาตรงหน้า เสียงทุ้มต่ำของฝูชางดังขึ้น “หิวแล้วสิ”
เขาเปิดกล่องข้าวออก ด้านในคือขนมดอกท้อชุบแป้งเคลือบน้ำตาลที่วางเรียงกันไว้สองแถว นางมองไปที่ขนม แล้วเงยหน้าขึ้นมองเทพบูรพาผู้มีพลังเต็มเปี่ยมที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งผู้นี้ นางหัวเราะเบาๆ แต่กลับปิดกล่องข้าวลง “ข้าไม่กินหรอก ไม่อย่างนั้นชาดต้องหายหมดแน่”
ฝูชางนั่งลงข้างกายนาง แล้วจับไปที่คางพิจารณาดูการแต่งหน้าที่งดงามของนาง แล้วหัวเราะเสียงต่ำ “อืม วันนี้ดูแล้วไม่เหมือนเดิมอยู่บ้าง”
อะไรเรียกว่าไม่เหมือนเดิมอยู่บ้าง ไม่เหมือนกันชัดๆเลยต่างหากเล่า
เสวียนอี่จัดแจงผูกสายเชือกที่คางให้เขาได้น่าดูหน่อย อันที่จริงหลายปีมานี้เวลาที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกันนั้นมีไม่มาก ตอนนั้นนางอยู่ในฉุนจวินไปไม่ถึงสิบปีก็มีเกล็ดแรกงอกขึ้นมาแล้ว และก็ถูกท่านพ่อที่คิดถึงบุตรสาวแทบคลั่งมารับกลับไปเขาจงซานทันที เมื่อเกล็ดมังกรขึ้นครบแล้ว เทพีวั่งซูที่รอมานานก็เอาตำแหน่งวั่งซูมาให้นาง นางจึงเข้าไปในวังวั่งซูนับแต่นั้น
ตำแหน่งวั่งซูไม่เหมือนตำแหน่งอื่น แม้ว่าจะสบายและว่าง แต่ทุกวันกลับไม่สามารถขี้เกียจได้เลย ฝูชางได้แต่ต้องทำภารกิจนักรบเสร็จแล้วจึงมาหานางที่วังวั่งซู หลังจากนั้นเพราะอสูรร้ายหลายชนิดออกอาละวาด ราชาที่ยอมศิโรราบให้ก็เริ่มคิดเคลื่อนไหว สุดท้ายพวกเขาจึงห่างกันมากกว่าที่จะได้อยู่ด้วยกัน วันนี้เขาได้รับตำแหน่งเทพบูรพาแล้ว จึงนับได้ว่าสบายแล้ว
“แขกกำลังจะมาแล้ว ท่านเทพบูรพาไม่ไปต้อนรับแขกหรือ” เสวียนอี่เป่าไปยังสายเชือกที่ใต้คางเขา แล้วกล่าวเสียงอ่อนหวาน
ฝูชางกุมมือนางเอาไว้ แล้วดึงนางให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินเยื้องย่างออกไปจากศาลาเล็กต้านเย่ว์ “ฮูหยินเองก็ต้องรับหน้าด้วยกัน”
งานเลี้ยงเริ่มขึ้น เสียงไผ่กระทบกัน คู่บ่าวสาวอย่างมหาเทพและฮูหยินเดินคารวะสุราอย่างสุภาพไปมา ได้ยินว่าเพราะฮูหยินมหาเทพได้กลิ่นสุราไม่ได้ สุราทั้งหมดที่ใช้ในวันนี้จึงเป็นสุราหลัวฝูชุนที่มีรสชาติอ่อนจางมาก มารวมกับทิวทัศน์ที่เรียบง่ายงามสง่าของวังเทพบูรพาแล้ว กลับเข้ากันอย่างน่าประหลาด
ฉีหนานที่ไม่ทันระวังดื่มเข้าไปมากอยู่อีกด้านไม่รู้กำลังคุยอะไรกับเทพบูรพารุ่นก่อน มหาเทพจงซานองค์ใหม่กำลังดื่มอยู่กับองค์ชายเก้า ไม่รู้กำลังพูดคุยอะไรกันอยู่ กู่ถิงบุตรชายคนที่สามของราชาบุปผาถูกมหาเทพจงซานรุ่นก่อนที่โดดเดี่ยวลากเอาไว้ ยิ่งไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน องค์หญิงจักรพรรดิแดงฮูหยินของเขากำลังพยายามแนะนำเทพที่เหมาะสมให้กับศิษย์พี่หญิงในสำนักเดียวกันอย่างจื่อซีอยู่ มหาเทพไป๋เจ๋อกำลังจ้องมองเกล็ดของปลาหลีฮื้อสีทองในทะเลสาบเฉิงเจียงอย่างเหม่อลอย เทพีซีเหอที่แต่งงานไปนานแล้วกำลังดื่มสุราแก้วแล้วแก้วเล่า พลางร้องไห้ซบอกของสามี รัชทายาทฉางฉินกับเหล่าหน่วยติงเหม่าทั้งหลายกำลังกินดื่มพูดคุยหัวเราะกันอย่างสบายใจ
ต่อให้งานเลี้ยงจะประณีตอย่างไรก็ยังเสียงดังมากอยู่ดี เมื่อคารวะสุราครบหนึ่งรอบแล้ว ฝูชางที่แอบหลบฉากออกมาก็จูงมือองค์หญิงมังกรเดินไปริมทะเลสาบเฉิงเจียง มองปลาหลีฮื้อสีทองที่มีขนาดใหญ่ขึ้นในทะเลสาบเฉิงเจียงทั้งสองตัว
เสวียนอี่เอ่ยปากเสียงเนิบนาบ “ศิษย์พี่ฝูชาง เมื่องานเลี้ยงจบแล้ว พวกเราไปเที่ยวกันเถอะ”
นางเป็นเทพีวั่งซูอึดอัดจนแทบจะคลั่งแล้ว แต่ว่าฝูชางกลับยังไม่ยอมเลือกเทพเฟยเหลียนองค์ใหม่ให้ตำหนักเหวินหวาเสียที คิดว่าเขาคงรับไม่ได้ที่นางจะต้องอยู่ร่วมกับเทพบุตรอีกคนในวังวั่งซูด้วยกันและยังต้องไปขับรถเคลื่อนพระจันทร์ด้วยกันทุกคืนอีก แต่ก่อนนางอยู่ที่เขาจงซานมาตั้งกี่ปียังไม่รู้สึกอึดอัดเลย แต่ว่านับตั้งแต่ที่คบกับเขาแล้ว ราวกับนางรู้สึกว่าการอยู่ลำพังมันช่างน่าอึดอัดอย่างประหลาดได้ง่ายๆ
ในที่สุดตอนนี้เพราะแต่งงานจึงมีเวลาหยุดพักได้สามร้อยปี คราวนี้จะต้องเที่ยวเล่นให้สาแก่ใจให้ได้
“อยากไปที่ไหน” ฝูชางโอบนางไว้ในอ้อมอก รออยู่นานกลับไม่ได้ยินนางตอบ ครั้นก้มลงไปมอง กลับเห็นนางกำลังก้มหน้าปั้นหิมะอยู่แล้วเอามาวางไว้บนศีรษะ เมื่อครู่ไม่ทันระวังให้นางดื่มหลัวฝูชุนไปหลายแก้ว องค์หญิงที่คออ่อนผู้นี้จะต้องเริ่มเวียนหัวแล้วแน่ๆ
“ครั้งที่แล้วพี่ชายเจ้าบอกข้าว่า เขาไม่เคยคิดจะแต่งงาน” ฝูชางลูบศีรษะของนางราวกับลูบแมว “เขายังกล่าวว่า หากว่าไม่ได้จริงๆ เขาจะไปหาเทพธิดาที่ยินยอมให้กำเนิดบุตรให้เขา เพื่อสืบทอดสายเลือดจู๋อินต่อ”
อะไรคือไม่ได้กัน องค์หญิงที่เมาสุรามีปฏิกิริยาตอบสนองช้าไปบ้าง
ฝูชางมองสายตามึนงงของนางแล้ว ก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ ค้อมตัวลงแล้วจูบลงไปบนริมฝีปากที่ทาชาดสีสดเอาไว้ รสชาติของชาดก็ไม่ได้แย่ เขาเลยไปที่ข้างริมฝีปากแล้วกล่าวว่า “ข้าหวังว่าคนแรกจะเป็นสายเลือดตระกูลหวาซวี สายเลือดจู๋อินเกรงว่าต้องให้เขารอไปอีกนานหน่อยแล้ว”
เสวียนอี่เวียนศีรษะมาก ใบหน้านางยังคงมีสีหน้าพยายามครุ่นคิด ฝูชางเอาหิมะบนศีรษะนางลงมา นางกลับปั้นหิมะขึ้นมาอีกลูกแล้ววางไปช้าๆ
ดูท่าคงจะเมาแล้วจริงๆ ฝูชางลูบไปยังใบหน้าร้อนจัดของนางแล้วกล่าวเสียงนุ่มว่า “อดทนไว้ อย่าหลับ วันนี้เจ้าเป็นเจ้าภาพนะ”
แต่หากว่าไม่ไหวจริงๆ ก็นอนไปเถอะ ให้เขาจัดการก็พอ
…
วันที่สองเดือนสอง มังกรเชิดเศียร งานแต่งของเทพบูรพาและองค์หญิงตระกูลจู๋อินจัดอยู่สามวัน
สิ่งที่แขกเหรื่อทั้งหลายต่างจดจำได้ดี ไม่ใช่ความงามประณีตหรือความหรูหราของพิธี เมื่อพวกเขาเข้าไปในประตูเขาของวังเทพบูรพา องค์หญิงในชุดแดงผมดำขลับ ใบหน้าหล่อเหลาสุภาพของเทพบูรพา คู่รักที่จูงมือไปด้วยกันคู่นี้ ช่างข่มเสียจนทิวทัศน์ทั้งหมดบนภูเขามัวหมองลงไปจริงๆ
มนุษย์มักกล่าวว่าอิสระและงดงามราวเทพเซียน ประโยคนี้เมื่อใช้กับพวกเขาแล้ว เหล่าเทพต่างก็พากันพูดอย่างสนุกสนานไม่หยุดปาก
“สีแดงบนชุดแต่งงานขององค์หญิงเสวียนอี่นั่นสวยมากจริงๆ” ท่ามกลางเสียงสนทนาเจื้อยแจ้ว มีเทพธิดาองค์หนึ่งพลันกล่าวขึ้นมาอย่างทอดถอนใจ “ตอนที่ข้าแต่งงานไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง”
ท่ามกลางมวลบุปผางาม เหล่าเทพที่มีพฤติกรรมปล่อยตัวหลงระเริงเหล่านั้นต่างก็พากันหัวเราะขึ้นมา “แต่งงานหรือ เกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะกับพวกเรานักหรอก เทพคนเดียวจะมองได้ตลอดร้อยปีไม่เบื่อได้อย่างไรกัน”
กล่าวแล้วเหล่าเทพธิดาก็หันกลับไปมองมหาเทพที่เท้าคางพิงเก้าอี้จิบสุราอยู่บนแท่นหยกสีเขียว “ท่านมหาเทพ ท่านเดาว่าพวกเขาจะใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะแยกกัน”
อัญมณีเพลิงทอประกายวาววับบนหน้าผากของมหาเทพ เขามีใบหน้างดงามหล่อเหลาคมคายราวกับคมมีดและสุราฤทธิ์ร้อนแรง
เขาเอียงคอครุ่นคิด “ข้าเดาว่า…ชีวิตนี้ชาตินี้คงไม่แยกจากกันหรอก”
เหล่าเทพธิดาหัวเราะออกมาแล้วกล่าว “มหาเทพไฉนถึงได้กล่าวเช่นนี้ หรือว่าท่านเองก็เป็นผู้รักมั่นเช่นกัน”
มหาเทพหลุดขำพรืดออกมา เขาไม่ได้ตอบคำถามนั้น เงยหน้าแล้วดื่มสุราในแก้วจนหมด ก่อนจะกวักมือเรียกพวกนางด้วยท่าทางตามสบายและสง่างาม
ร่างของหญิงสาวเข้ามาในอ้อมอกอีกครั้ง
บนขอบหน้าต่างสีทอง แสงอาทิตย์ที่สว่างไสวราวกับเปลวเพลิง หงส์หิมะสีขาวที่ประณีตงดงามผนึกอยู่ในกล่องแก้วโปร่งใส เส้นไหมบนคอของมันราวกับจะลอยพลิ้วขึ้นมา
หิมะจู๋อิน หลายล้านปีไม่ละลาย
(จบบริบูรณ์)