บุหลันเคียงรัก - บทที่ 176 อารมณ์ยาวนานความฝันยาวนาน (1)
ท้องนภาถูกม่านพลังขนาดใหญ่ปกคลุม ฉาบด้วยประกายสีม่วงอ่อนจางนุ่มนวลอยู่ชั้นหนึ่ง มีเพียงพญางูเขาถูเซียงเท่านั้นที่จะสามารถใช้เวทม่านพลังนี้ได้ ทำให้เผ่าที่มีหญิงเป็นใหญ่เผ่าเดียวของแดนเทพไม่มีทางถูกคนภายนอกรบกวนได้
ชั้นม่านพลังสีม่วงอ่อนที่เปี่ยมไปด้วยปราณชีวิตรินลงมาในน้ำชาสีเขียวแล้ว ทำให้น้ำชาดูเหมือนน้ำที่ต้มจนเดือดมิปาน เสวียนอี่แกว่งถ้วยแก้วสีเขียวในมือ ครั้นมองไปยังเทพรับใช้เขาถูเซียงที่หมอบอยู่ข้างๆ นางก็รู้สึกกินดื่มอะไรไม่ลงขึ้นมา
แม้ว่าก่อนมานางจะเตรียมการไว้มากมายเผื่อมีข้อผิดพลาด แต่เมื่อเห็นที่นี่ ขอเพียงเป็นเทพรับใช้เพศชายต่างก็ต้องคุกเข่าคอยรับใช้ที่พื้นแล้ว นางก็ยังรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินอยู่บ้าง
อืม ตอนนี้นางเข้าใจนิสัยของศิษย์พี่หญิงฟูหลัวแล้ว โดยทั่วไปแล้วศิษย์พี่หญิงคนนี้ภายนอกนับว่าน่าจะเก็บงำท่าทีไว้มากแล้ว
เสวียนอี่วางถ้วยชาลงแล้วมองไปรอบๆ ฝูชางยังคงท่องเนื้อหาบนแผ่นศิลายักษ์ที่ปี่ซี่แบกเอาไว้อยู่บนหน้าผาเงียบๆ แผ่นศิลาโบราณที่กระจายไปตามที่ต่างๆ ถูกท่านพ่อของเขาเก็บรวบรวมเนื้อหาไว้ ในบันทึกล้วนเป็นเรื่องราวที่ไม่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของยุคบรรพกาล แผ่นศิลาที่เหลืออีกสองแผ่น หนึ่งอยู่ที่เผ่าจิ้งจอกสวรรค์เขาชิงชิว อีกหนึ่งอยู่ที่เขาถูเซียงแห่งนี้ เทพบูรพารุ่นก่อนด้วยเพราะปัจจัยหลายอย่างทำให้ไม่สามารถเก็บรวบรวมได้
เมื่อนานมาแล้ว เพราะการบ้านที่มหาเทพไป๋เจ๋อสั่ง ฝูชางจึงคัดลอกเนื้อความบนแผ่นศิลาแผ่นนั้นที่เขาชิงชิวเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแค่ที่เขาถูเซียงแผ่นสุดท้ายเท่านั้น กระทั่งวันนี้ศิษย์พี่หญิงฟูหลัวได้รับสืบทอดตำแหน่งพญางูอย่างเป็นทางการ และเปิดม่านพลังหนึ่งสายเพื่อต้อนรับแขกเหรื่อ จึงมีโอกาสได้พบ
เสวียนอี่ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาฝูชาง เทพรับใช้ที่หมอบอยู่ทั้งสองคนก็รีบปล่อยชายกระโปรงที่พับไว้ในมือออกทันที องค์หญิงตระกูลจู๋อินควบตำแหน่งฮูหยินเทพบูรพาผู้สูงศักดิ์คนนี้ วันนี้สวมชุดกระโปรงใบบัวสีเขียวมรกตที่หรูหรางดงาม ยามนั่งหากไม่ใช้มือยกชายกระโปรงเอาไว้ เวลาลุกขึ้นเกรงว่าจะยับเอาได้
ฝูชางกำลังมองคัมภีร์สวรรค์ท่อนสุดท้ายบนแผ่นศิลาอย่างจดจ่อ แขนเสื้อพลันถูกกำไว้เบาๆ ไอที่เยือกเย็นและอ่อนหวานที่คุ้นเคยนั่นเข้ามาข้างกาย เขาไม่ได้หันกลับไป เพียงแต่กุมมือนางเอาไว้ นิ้วทั้งห้าประสานกัน
เสียงดนตรีไพเราะเสนาะโสตจากด้านล่างเขาดังมาไม่ขาดสาย เหล่านาคีแทบไม่ทำอะไร นอกจากเต้นระบำกันอย่างปลดปล่อย เหล่าแขกเหรื่อที่ได้รับเชิญมาจากที่ไม่คุ้นชิน ก็ค่อยๆ เริ่มปล่อยตนช้าๆ กลิ่นหอมเข้มข้นของสุราชื่อดังแห่งเขาถูเซียงอย่าง “สุราสื่อฟ้าเชื่อมดิน” นั้นลอยมาตามลม เสวียนอี่ได้กลิ่นเข้าก็เริ่มจามอย่างบ้าคลั่งทันที วงแหวนสีทองบนศีรษะเอียงแล้ว
ฝูชางจูงมือนางไว้แล้วใช้มือข้างหนึ่งดึงนางเข้ามาในอ้อมอก ใบหน้าแนบชิดกับแผงอก เขาใช้แขนเสื้อยาวห่อนางไว้ แล้วจ้องไปที่แผ่นศิลา พลางกล่าวว่า “ทนอีกประเดี๋ยว ใกล้จะอ่านจบแล้ว”
นางเกี่ยวด้ายเมฆาที่ปกเสื้อเขา หัวเราะเบาๆ พลางกล่าวว่า “เมื่อครู่ศิษย์พี่หญิงฟูหลัวเห็นพวกเรา ลูกตาแทบจะหลุดออกมาแหนะ”
ได้รับเทียบเชิญคือเรื่องหนึ่ง คิดว่าเพื่อรักษาหน้าตาไว้ งานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสและพิธีรับตำแหน่งเป็นทางการเช่นนี้อย่างไรก็ต้องส่งเทียบเชิญออกไปอย่างกว้างขวาง กระทั่งงานแต่งงานของนางกับฝูชางเมื่อหกสิบปีก่อน ก็ยังต้องส่งเทียบเชิญไปที่เมืองฉยงซาง แต่แขกจะมาหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เซ่าอี๋ไม่ได้มา หากเป็นตามปกติแล้ว นางกับฝูชางก็คงไม่มาที่เขาถูเซียงนี้เช่นกัน
หลายปีก่อนเรื่องฟูหลัวลอบมีสัมพันธ์กับรัชทายาทอันดับสามของราชาซุ่ยหู่ ถูกเสวียนอี่แช่แข็งไว้จนภายหลังจับส่งไปที่ฝ่ายอาญาอย่างไม่ปราณี ลงโทษด้วยแส้กับลงโทษด้วยประกายสุริยันฟาดกระหม่อมจนทำให้นางลงจากเตียงไม่ได้มาหนึ่งพันปี ความขัดแย้งนี้ค่อนข้างใหญ่โต แต่ว่าเพราะแผ่นศิลาแผ่นสุดท้าย พวกเขาทั้งสองจึงได้แต่ต้องหน้าด้านมา
ฝูชางอ่านแผ่นศิลาทั้งสองแผ่นจบแล้ว ก็ก้มหน้าลงแล้วจับวงแหวนทองให้นางใหม่จนตรง จูงมือนางแล้วเดินลงไปจากเขา “ไปเถอะ ที่นี่ใกล้กับทะเลประจิม ไปเดินเล่นที่เกาะจวี้คูได้”
องค์หญิงที่ไม่ค่อยได้พบเห็นอะไรนักเพราะตอนยังเล็กได้แต่อยู่ที่เขาจงซาน เมื่อโตขึ้นก็ได้แต่อยู่แต่ในวังวั่งซูจึงรีบถามขึ้นทันที “บนนั้นมีอะไรน่าสนุกบ้าง”
ฝูชางคิด “มีธูปชุบชีวิต เป็นของที่หาได้ยากยิ่ง”
เสวียนอี่เดินไปกล่าวไปว่า “ของวิเศษที่สามารถชุบชีวิตมนุษย์ได้นั่นน่ะหรือ หากว่าข้ามีสักหนึ่งคันรถ องค์ชายเจ็ดก็คงไม่ตายแล้วใช่หรือไม่”
ฝูชางปรายตามองนาง ฮูหยินที่เพิ่งแต่งงานมาของเขายึดติดกับฐานะของเขาตอนที่ลงไปเป็นมนุษย์เมื่อยังอายุน้อยเป็นพิเศษ แม้ว่าแท้จริงแล้วพวกเขาจะเป็นคนเดียวกัน แต่ว่าท่าทีขององค์หญิงมังกรทำให้เขารู้สึกราวกับว่าคนที่นางรักมากที่สุดยังคงเป็นองค์ชายเจ็ด
เขาที่กลายเป็นเทพบูรพาแล้วไม่สามารถยอมรับความแตกต่างนี้ได้ คิดว่าในใจเขา ช่วงที่เป็นองค์ชายเจ็ดคือช่วงที่อ่อนแอไร้ความสามารถที่สุดในชีวิตของเขา และยังเป็นตัวแทนของการมีวุฒิภาวะไม่พอด้วย เขาหวังว่าจะปล่อยให้มันผ่านเลยไป แต่องค์หญิงมังกรกลับอาวรณ์อยู่มาก
ฝูชางหยิกเอวนางราวกับแก้แค้น เงาร่างบอบบางสีเขียวมรกตเกือบจะกลิ้งลงจากบันไดไปแล้ว เขาคว้านางเอาไว้ แล้วจูงนางเดินลงไปทีละขั้นๆ พลางกล่าวเสียงเรียบว่า “หากว่ายังพูดอย่างนี้อีก ข้าจะไม่เกรงใจแล้ว”
องค์หญิงมังกรเขี่ยไปมาที่กลางฝ่ามือของเขาเบาๆ แล้วพ่นลมหายใจหอมราวกับกล้วยไม้ “ป่าเถื่อน ยังเป็นองค์ชายเจ็ดผู้อ่อนแอนุ่มนวลที่ดีกว่า”
นางมักเป็นพวกชอบหาเรื่องให้ตัวเอง จงใจกระทุ้งจุดที่เขาไม่ชอบเสมอ
เขาหรี่ตาลง กำลังคิดจะป่าเถื่อนอย่างแต่ก่อนเสียหน่อย พลันเห็นเกี้ยวหรูหราสีม่วงอ่อนหลังหนึ่งถูกเทพรับใช้สิบกว่าคนแบกมา ค่อยๆ ขึ้นมาตามบันไดหินสีดำช้าๆ ฟูหลัวที่กลายเป็นพญางูตนใหม่แห่งเขาถูเซียงอยู่บนนั้น ท่าทางงดงามหยาดเยิ้ม นางสวมชุดบางเกือบจะโปร่งใส ข้างเท้ามีงูเหลือมสีม่วงขนาดใหญ่ตัวหนึ่งขดอยู่ ดูสง่าอย่างบอกไม่ถูก
เกี้ยวหยุดลงหน้าฝูชางห่างไปหลายจั้ง ฟูหลัวหัวเราะแล้วเอ่ยปากว่า “เทพบูรพา องค์หญิง ยากนักที่พวกท่านจะมาเขาถูเซียง ข้าจะต้องต้อนรับให้ดี อย่าเพิ่งรีบไปเสียล่ะ”
นางพูดไป ก็หยิบกาสุราผลึกหินสีม่วงแวววาวกาหนึ่งออกมาจากชั้นวางเล็กบนเกี้ยวพร้อมกับแก้วสุราสองใบ นางรินสุราจนเต็มสองแก้วกับมือ ตนเองถือไว้หนึ่ง อีกหนึ่งส่งให้เทพรับใช้ให้เขาคลานเข่านำไปส่งให้ฝูชางตรงหน้า
“องค์หญิงดื่มสุราไม่ได้ อภัยให้ด้วยที่ข้าไม่ได้คารวะสุรา เทพบูรพา เชิญ”
นางยกแก้วสุราขึ้นสูงเป็นเชิงเชื้อเชิญ ตัวนางดื่มลงไปก่อนจนหมด แล้วจึงวางคว่ำลงบนตู้เล็ก
กลิ่นหอมและมัวเมาของสุราในแก้วลอยมา นี่ก็คือสุราสื่อฟ้าเชื่อมดินที่มีเฉพาะเขาถูเซียง ฝูชางนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงดื่มสุราในแก้วเหล้าจนหมด ส่งแก้วสุราให้เทพรับใช้ แล้วจึงพยักหน้าคารวะอย่างสง่างาม “เมื่อเป็นอย่างนี้ ต้องขอบคุณท่านพญางูมากที่มีน้ำใจ”
เห็นเกี้ยวสีม่วงอ่อนค่อยๆจากไปไกล ฟูหลัวไปดื่มคารวะให้แขกคนอื่นต่อ เสวียนอี่เงยหน้าขึ้นมองฝูชาง “สุรานั่นมีอะไรผิดปกติหรือ”
เวลาเขาดื่มสุราไม่เคยลังเล เมื่อครู่กลับลังเลไป
ฝูชางเดินลงไปต่ออย่างเชื่องช้า “สุราสื่อฟ้าเชื่อมดินพิเศษพิสดารมาก ผู้ที่ได้ดื่มลงไปแล้ว หากว่าออกไปจากเขาถูเซียงภายในสามวัน จะต้องเมามายไปห้าวัน ดูท่าแล้วคงต้องอยู่ที่นี่ต่ออีกสามวันแล้ว”
ดวงตากระจ่างใสของเสวียนอี่จ้องไปที่เขา “ทำไมท่านถึงรู้เรื่องมากมายขนาดนี้ เป็นเพราะอายุ…”
ไม่รอให้นางพูดประโยคที่รนหาที่ตายนั่นจบ ฝูชางก็จัดการปิดปากนางเอาไว้เสียเลย
ฟ้าค่อยๆ มืดลง หลอมรวมกับแสงสีม่วงอ่อนจางงดงามเลือนรางนั่น ทุกอย่างราวกับเต็มไปด้วยความทะยานอยากหาใดเปรียบ กลองใหญ่หนังขุย[1]ถูกเหล่าชายบำเรอของพญางูรุ่นก่อนตีขึ้น เปลวเพลิงสว่างไสวสาดส่องไปยังร่างกำยำเปลือยเปล่าของพวกเขา กล้ามเนื้อเต่งตึงล่ำสัน ราวกับถูด้วยน้ำมันอย่างไรอย่างนั้น
เสียงดนตรีสะเทือนฟ้า เอวบางขาวเย้ายวนของเหล่านาคีแทบจะบิดจนกลายเป็นดอกไม้ ไม่นานก็มีเหล่านักเต้นรำและนักดนตรีที่แทบจะเปลือยกายทั้งหมดกลุ่มหนึ่งขึ้นมา และไปเกี่ยวกระหวัดกันกับเหล่านาคี ท่วงท่าที่ปลดปล่อยอย่างบ้าคลั่งนั่น พูดว่าเต้นรำ แต่กลับคล้ายชายหญิงยั่วเย้ากันมากกว่า แขกทั้งหลายมองจนหน้าแดงหูแดง แต่ละคนต่างใจเต้นระรัว
ก่อนหน้านี้ฝูชางดื่มสุราสื่อฟ้าเชื่อมดินไป ตอนนี้แน่นอนว่าไม่มีทางออมมืออีก รสชาติสุราที่มีเพียงแค่ที่เขาถูเซียงช่างงดงามอัศจรรย์นัก เขารินเองดื่มเองหมดไปหลายกาแล้ว เห็นบนโต๊ะเปลี่ยนขนมใหม่มา เป็นขนมอินหยางสื่อประสาน เขาก็ดันขนมส่วนของตนไปตรงหน้าเสียนอี่
องค์หญิงผู้นี้กำลังใช้แขนเสื้อปิดปากปิดจมูกกันกลิ่นสุราเอาไว้อยู่ ดวงตาทั้งสองเอาแต่มองไปยังร่างของเหล่าบุรุษหน้ากลองใหญ่และเทพรับใช้ที่กำลังเต้นรำไปๆมาๆด้วยท่าทีสนใจ
ทันใดนั้นมือข้างหนึ่งก็ยื่นมาปิดตาของนางเอาไว้ ฝูชางกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่เหมาะสมไม่มอง คำกล่าวนี้เคยได้ยินไหม”
เสวียนอี่ถอยหลังหลบ เสียงนางดูเฉื่อยเนือย “อย่าขยับ ข้ายังมองไม่จบเลย”
ยังอยากมองให้จบอีกหรือ ฝูชางรินสุราอีกแก้ว พลันสะกิดบ่าของนางอย่างสุภาพ “อ้าปาก”
องค์หญิงที่เชื่อมั่นในตัวสามีอย่างเปี่ยมล้นปล่อยแขนเสื้อออกอย่างไม่ลังเลและอ้าปาก พลันมีสุราฤทธิ์แรงกรอกเข้ามาเต็มปาก เสียงไออย่างน่าตกใจในจินตนาการไม่ได้ปรากฏขึ้น องค์หญิงเพียงแค่ร้อง “อุบ” อย่างสง่าออกมาครั้งหนึ่งเท่านั้น มือกุมค้างอยู่นานอย่างเอาออกไม่ได้
ฝูชางรินอีกแก้วแล้วดื่มลงไป อีกมือลูบไล้ไปยังใบหน้าที่ก้มอยู่ของนาง ผิวที่เยือกเย็นค่อยๆร้อนจัดขึ้นมา สุราออกฤทธิ์แรงและเร็วมาก นางนอนหลับไปอย่างสงบเถอะ
—
[1] ขุย : สัตว์เทพในตำนานของจีน รูปร่างคล้ายวัว มีขาเดียว ไม่มีเขา เสียงร้องดุจฟ้าคำราม ตามตำนานกล่าวว่าถูกจักรพรรดิเหลืองสังหารแล้วนำหนังมาทำกลอง