บุหลันเคียงรัก - บทที่ 178 อารมณ์ยาวนานความฝันยาวนาน (3)
ตอนที่ออกจากเขาถูเซียงก็เป็นวันที่สามแล้ว สีหน้าของฝูชางไม่ได้ดีนัก ถึงแม้ว่าสุราสื่อฟ้าเชื่อมดินกับกำยานหอมเร้าอารมณ์ภายในห้องนั่นรวมกันจะเป็นเพียงแค่ความสนุกเล็กๆของเขาถูเซียง คิดว่าจริงๆแล้วน่าจะเป็นการทำเพื่อเอาใจให้แขกมีความสุข แต่มันกลับไม่ได้ทำให้เขามีความสุขเลย เทพบูรพารู้สึกไม่พอใจกับปณิธานที่ยังไม่แข็งแกร่งพอของตนเองอย่างมาก
องค์หญิงมังกรกำลังหลับสนิทอยู่ในอ้อมอก ดื่มสุราฤทธิ์แรงไปแก้วหนึ่ง หนำซ้ำยังไม่ได้นอนดีๆ อีก ถึงตอนหลังนางง่วงเสียจนกัดฟันแน่น
ยังมีชุดของนางอีก…ฝูชางก้มหน้าลงมองนาง ร่างของนางห่อไปด้วยชุดคลุมนอกสีเขียวของตนเอง ชุดกระโปรงใบบัวก่อนหน้านี้ถูกฉีกจนขาดไม่สามารถสวมได้อีกแล้ว
เหมือนว่าชุดนี้จะเป็นชุดที่นางชอบที่สุดในช่วงนี้เสียด้วย
ผ่านไปหลายปี ฝูชางถึงได้เกิดความรู้สึกขัดเคืองในใจเฉกเช่นเด็กหนุ่มขึ้นมาอีกครั้ง
ที่น่าขัดเคืองกว่าก็คือเหล่านาคีแห่งเขาถูเซียงกับพญางูตนใหม่ที่เพิ่งรับตำแหน่ง เดิมคิดจะอาศัยโอกาสนี้จัดการฝูชางผู้น่าลิ้มลอง หากไม่ได้ก็ยังสามารถวาดภาพเขายามไร้ซึ่งอาภรณ์ออกมาและทำเป็นหนังสือส่งไปทั่วทั้งแผ่นดินได้ ทำให้ชื่อเสียงของมหาเทพผู้สูงศักดิ์องค์นี้ด่างพร้อยเสียบ้าง
สุดท้ายหาจิตรกรได้แล้ว แต่เทพบูรพาผู้ละเอียดรอบคอบกลับกางม่านพลังไว้ ทำให้เข้าไปใกล้ไม่ได้ ตอนที่เข้าไปในห้องสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย ตอนออกมาก็ยังสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยอีก ทำให้เหล่าเทพเขาถูเซียงโมโหจนตอนส่งเขาออกมา แทบจะใช้สายตากลืนกินเขา
ตอนที่เสวียนอี่ตื่นขึ้นมา ภาพที่เข้ามาในสายตาคือท้องนภากว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด ฟ้าสีน้ำเงินยามกลางวัน ฟ้าใสไร้สิ่งบดบัง นางเหมือนกับนอนอยู่บนเรือลำหนึ่ง มันสั่นคลอนไปมา เสียงพายกระทบน้ำดังขึ้นมา
นางขยับน้อยๆ แขนทั้งสองที่อุ้มนางไว้ตลอดของฝูชางประคองนางให้ลุกขึ้นนั่ง เสียงทุ้มต่ำของเขาเจือความอึกอักอย่างหาได้ยาก “ไม่เป็นอะไรกระมัง”
ไม่ นางเป็นมากเลยแหละ
เสวียนอี่มองไปยังชุดคลุมสีเขียวตัวนั้นบนร่าง ชุดที่นางชอบที่สุดกลายเป็นเศษผ้าแล้ว ร่างทั้งร่างก็ทั้งเจ็บทั้งเหนื่อย ความบ้าคลั่งไม่รู้จักยั้งมือของเขาที่ไม่ได้มีมานานหลายปีทำให้นางร่างแหลกจริงๆ
ที่น่าแค้นใจที่สุดก็คือ เขากลับเจ้าเล่ห์มากรอกสุราให้นาง ทำให้นางไม่ได้ชิมขนมอินหยางสื่อประสานของเขาถูเซียงว่ามีรสชาติอย่างไร!
เสวียนอี่พ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา ทันใดนั้นกล่องอาหารกล่องหนึ่งก็ถูกส่งมาตรงหน้า ฝากล่องถูกเปิดออก ในนั้นมีขนมงดงามประณีตสีขาวสลับดำวางเรียงอยู่สองแถวอย่างเป็นระเบียบ นี่ก็คือขนมอินหยางสื่อประสาน เหล่านาคีที่มีอัธยาศัยดียังเอาชาด้ายเงินด้ายทองของขึ้นชื่อจากเขาถูเซียงถุงใหญ่มาให้หนึ่งถุงด้วย
โทสะนั้นของนางพลันกลายเป็นความอบอุ่นไปทันที นางโอนอ่อนเอนซบกับอกฝูชาง แล้วขดตัวอย่างเกียจคร้านราวกับแมว “…ไม่เป็นไร แต่ว่าท่านต้องชดใช้ชุดให้ข้าสิบชุด”
…ขอแค่จับจุดได้แม่นยำ จริงๆ แล้วองค์หญิงมังกรนิสัยโอนอ่อนผ่อนตามยิ่งนัก
ฝูชางจัดผมยาวที่ยุ่งเหยิงให้นางอย่างละเอียดลออ ใส่วงแหวนทอง แล้วจูบซับบนเรือนผมนางอย่างรักใคร่
เสวียนอี่มองไปรอบๆ พวกเขาอยู่บนเรือเล็กลำหนึ่งจริงๆ รอบด้านคือทะเลผืนกว้างที่เรียบสงบไร้ที่สิ้นสุด นายเรือก็พายเรือไป เล็กลำเล็กก็พุ่งไปด้านหน้าหลายสิบลี้อย่างเงียบเชียบ ไกลออกไปปลายสุดทะเลมีเกาะเซียนปรากฏขึ้นมาให้เห็นรางๆ
“พวกเราไปหาธูปชุบชีวิตหรือ” นางถาม
ฝูชางส่ายศีรษะ “ของที่ขัดต่อกฎสวรรค์อย่างชุบชีวิตคนตายได้เช่นนี้แน่นอนว่าต้องถูกคุ้มกันไว้อย่างแน่นหนา แค่มองก็พอ”
ได้ ไปที่ไหนก็ได้ แค่ไปมองลวกๆก็ได้ อยู่ด้วยกันกับเขาจะอะไรก็ได้ทั้งนั้น
เรือลำเล็กจอดเทียบท่าที่ริมเกาะเซียน ฝูชางดึงเสวียนอี่ขึ้นมาบนฝั่ง
เพราะทะเลหลีเฮิ่นกลับมาไม่ได้อีกแล้ว เหลือเพียงแค่ริมศิลาสามภพเท่านั้นที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของคู่รักทำให้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของเหล่าเทพ มีระยะหนึ่งที่ที่นั่นมีเทพเยอะมาก หากไม่ระวังเหยียบลงไปก็อาจจะทำให้คู่รักสามถึงสี่คู่ต้องตกใจได้ ทุกคนต่างก็รับไม่ได้ ไม่นาน เหล่าเทพก็พบว่าทิวทัศน์บนเกาะเซียนในจตุรสมุทรเองก็ดี ในที่สุดริมศิลาสามภพก็ไม่มีเทพไปเบียดเสียดอีก
เกาะจวี้คู(เกาะรวมถ้ำ)ในบรรดาหมู่เกาะทั้งหลายไม่ถือว่าเป็นที่โปรดปรานของเหล่าเทพนัก เพราะชื่อเสียงของธูปชุบชีวิต ที่นี่จึงมีทหารคอยเฝ้าอารักขา ทิวทัศน์ภูเขาเทพวิหคเองก็ไม่นับว่าสวยงามมากนัก เสวียนอี่เดินไปตามทางเดินหินเล็กๆอยู่สักระยะ ก็ยังไม่เห็นเทพมาเที่ยวที่นี่สักกี่คนนัก
“มานี่” ฝูชางดึงนางเบาๆ
ทางเดินเล็กอ้อมภูเขาอยู่ใกล้แค่เบื้องหน้า เหมือนว่าองค์หญิงมังกรจะเดินไม่ไหวแล้ว นางเดินอย่างเชื่องช้าอยู่ด้านหลัง แต่ก่อนไม่ใช่อย่างนี้ คิดว่าร่างกายคงไม่สบายนัก นางก็ไม่พูด แสร้งทำว่าไม่เป็นอะไร
“มา” ฝูชางก้มลงแล้วช้อนตัวนางอุ้มขึ้นมา ความรู้สึกผิดและขัดเคืองที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ และความรู้สึกขอโทษมากมายพลันกลับมาอีกครั้ง “ขอโทษด้วย ทำเจ้าเจ็บแล้วสินะ”
องค์หญิงมังกรหันกลับไปมองทิวทัศน์อย่างเย่อหยิ่ง “ตระกูลจู๋อินจะเจ็บได้อย่างไร”
ก็ยังเหมือนเดิม เขาเป่าใบไม้ที่ผมของนางออก แล้วเดินไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว จนกระทั่งไปถึงยอดเขา แต่กลับพบว่าตรงกลางมีสระหยกขาวตามธรรมชาติอยู่แห่งหนึ่ง รูปร่างสระคล้ายกับใบไม้ ภายในสระเต็มไปด้วยน้ำสีฟ้า งดงามกระจ่างใสท่ามกลางวงล้อมของหมอก
“เอ๋ ที่นี่ไม่เลว” เสวียนอี่ผลักเขาออก แล้วเดินไปดูริมสระ ก่อนจะยืนอยู่ริมหน้าผาแล้วทอดมองไปยังขอบฟ้าที่เชื่อมต่อกันระหว่างฟ้าและทะเลไกลๆ “ท่านเคยมาที่นี่หรือเปล่า”
เหมือนเขาจะรู้จักทางอย่างนั้น นางจึงอดที่จะแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้
ชุดคลุมสีเขียวแผ่อยู่ตรงริมสระ ฝูชางนั่งขัดสมาธิลงบนแท่นหยกขาวที่ไร้ฝุ่นแล้วกล่าวว่า “ตอนที่ข้าอายุหกพันปี ท่านแม่ไปเวียนว่ายกว่าร้อยครั้งก็ยังไม่สำเร็จ ข้าเคยมาที่เกาะจวี้คูเพียงลำพังเพื่อมาเอาธูปชุบชีวิต แต่ภายหลังถึงได้รู้ว่า สิ่งนั้นชุบชีวิตได้เพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น”
เสวียนอี่นั่งลงข้างกายเขา แล้วใช้มือจุ่มลงไปในสระน้ำสีฟ้า กอบน้ำเย็นขึ้นมา นางคิดแล้วถามว่า “เพราะอะไรนางถึงต้องไปเวียนว่ายกว่าร้อยครั้งหรือ”
เวียนว่ายร้อยครั้งสำเร็จ สัญชาตญาณไม่ถูกทำลาย เหมือนดั่งมหาเทพไป๋เจ๋อ มีอายุยาวนาน จนอายุแทบจะเท่ากับสวรรค์ หากว่าไม่ใช่ผู้ที่มีปณิธานมั่นคง นี่ไม่เพียงแต่จะไม่ใช่ความสำเร็จอะไร หากแต่ยังเป็นการทรมานอย่างหนึ่งด้วย
ฝูชางกล่าวเสียงนุ่มว่า “ท่านแม่ข้าถึงแม้ว่าจะรักใคร่กับท่านพ่ออย่างจริงใจ แต่ว่านางก็มีความฝันของนาง ท่านพ่อน่าจะชื่นชมจุดนี้ของนางมาก และเพราะอย่างนี้ ไม่ว่านางจะทำสำเร็จหรือไม่ ท่านก็จะปกป้องนางจนถึงที่สุด”
เสวียนอี่ถอนหายใจ “เทพบูรพาไม่เลวเลยจริงๆ”
ฝูชางเขกหน้าผากนาง “ต้องเรียกท่านพ่อสิ”
นางยิ้มแล้วกอดแขนเขาเอาไว้ เอียงคอแล้วเงยหน้ามองเขา “อืม เทพบูรพาทั้งสองคนไม่เลวเลยทั้งคู่”
การพูดคำหวานและรนหาที่ตาย คือกระบวนท่าไม้ตายสองอย่างของนาง
ฝูชางลูบผมยาวของนาง ใบหน้าอวบอิ่มเนียนใสของนางดูแล้วเหมือนยังขาวกว่าหมอกบนยอดเขาอยู่สามส่วน แม้ว่าจะคลุมชุดของเขาไว้อย่างลวกๆ แต่ก็ยังคงงดงามจับตา รูปโฉมงามหยาดเยิ้ม บางทีอาจเพราะเขาชอบเห็นนางสวมชุดของตนก็เป็นได้
นางนอนลงไปแล้วขดตัวในอ้อมอกเขา ในมือเริ่มปั้นหิมะสีขาว เขาเองก็นอนลงไปแล้วเท้าคางมองนางปั้นหิมะเป็นของรูปทรงประหลาดพิสดารมากมาย ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ เขากลับค่อยๆ หลับไป
ในความเงียบ ฝูชางราวกับได้ยินเสียงของใบไม้ต้นไม้สูงเทียมฟ้าเหล่านั้นในวังเทพบูรพา เหมือนฝนโปรยปรายลงมา
แล้วเขาก็ฝัน
ในฝัน เขาและน้ำของวังมหาเทพบูรพาเป็นสีเขียวขจีราวกับภาพวาดราวกับโคลงกลอน ริมทะเลสาบเฉิงเจียงระยิบระยับพลันมีร่างเล็กๆร่างหนึ่งกำลังเล่นอยู่ลำพัง เขาจึงอดเดินเข้าไปหาไม่ได้ เงาร่างเล็กๆนั่นก็กางแขนออกแล้วโถมตัวเข้ามาหาเขา เขารีบกอดเอาไว้ทันที
ฝูชางลืมตาขึ้น ไอที่หลงเหลือจากฝันยังอยู่ ในใจเขากลับมีความรู้สึกยินดีและสงบอย่างไม่เคยมีมาก่อน
เขาก้มหน้าลง องค์หญิงมังกรเองก็กำลังนอนหลับอย่างเรียบร้อยอยู่ในอกเขา ผมยาวแผ่สยาย มือทั้งสองประสานไว้ที่หน้าอก ฟ้าของเกาะจวี้คูใกล้จะมืดแล้ว แสงอัสดงสาดส่องไปทั่ว และรวมกันบนปลายแพขนตาของนางที่งอนขึ้นมา
รอบด้านเงียบสนิท
ปีที่หกสิบหลังงานแต่งงาน มีฝันบอกเหตุ เป็นฝันของเขา หมายถึงบุตรคนแรกของพวกเขาจะเป็นสายเลือดตระกูลหวาซวี
ฝูชางค้อมตัวลง แล้วปัดผมยาวบนใบหน้าของเสวียนอี่ออก พลางจุมพิตลงไปบนใบหน้าแดงเรื่อและแพขนตาดกหนานั่น นางลืมตาขึ้นมาอย่างมึนงง แล้วผลักเขาออกอย่างไร้แรง กล่าวพึมพำเสียงอ่อนล้าว่า “…ไม่เอาแล้ว”
เขากลับกอดนางไว้แน่น ฝังใบหน้าลงไปกับเรือนผมยาวของนาง ผ่านไปนานถึงได้กล่าวเสียงต่ำว่า “เมื่อครู่ข้าฝันบอกเหตุ”