บุหลันเคียงรัก - บทที่ 183 บุรุษผู้แก่เฒ่าไปด้วยกัน (3)
เริ่มจากปีที่สองร้อยนับตั้งแต่ที่องค์หญิงเหย่าอิงแต่งงานกับเทพบูรพา วังเทพบูรพาก็ไม่เคยมีฝนตกอีกเลย ต้นไม้สูงเทียมฟ้าต้นใหญ่ที่อหังการเหล่านั้น ใบไม้ต่างก็เหี่ยวเฉาลงไป เหล่าเทพขุนนางได้แต่ฝืนพูดอย่างมีความสุขในความขมขื่น หากยังเป็นอย่างนี้ต่อไป วังเทพบูรพาจะต้องเปลี่ยนชื่อเป็นวังจักรพรรดิเหลืองเสียแล้ว
ที่ไม่มีฝนตกลงมาอีกเหมือนว่าจะเป็นเพราะเทพบูรพาอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก แต่ทว่าเหล่าเทพขุนนางกลับมองไม่ออกว่าเขาอารมณ์ดีหรือไม่ เพราะนับตั้งแต่วันที่ได้พบเขา เขาก็มักจะมีสีหน้าเรียบเฉยอยู่เสมอ ราวกับว่าทุกอย่างบนโลกนี้ไม่สามารถรบกวนเขาได้อย่างนั้น
ฮูหยินย้ายออกไปจากวังเทพบูรพาไปอยู่ที่เรือนตรงไหล่เขา นอกจากงานเลี้ยงที่จำเป็นต้องพบปะแขกแล้ว นางก็แทบจะไม่ออกมาเลย
สามีภรรยาคู่นี้ทำให้เหล่าเทพขุนนางร้อนใจกันจริงๆ ทุกคนต่างมองออกแล้วว่าพวกเขากำลังเล่นแง่กันอยู่ แต่ว่าคนหนึ่งยังคงทำตัวเรียบเฉยอย่างเดิม คนหนึ่งก็ยังคงพูดคุยยิ้มแย้ม จะเตือนยังไม่รู้เลยว่าควรเริ่มจากตรงไหน
เดือนสามดอกไม้ผลิบานในฤดูใบไม้ผลิ เหล่าเทพธิดาทอผ้าแห่งธาราสวรรค์ส่งเสื้อผ้าที่เหย่าอิงสั่งเอาไว้เมื่อนานมาแล้วมา วันนั้นจี้หรานจัดการธุระเสร็จสิ้นกลับมายังตำหนักพำนัก พลันเห็นปลายอาภรณ์สีอิงเถา[2]ที่งดงามโผล่ออกมาจากในม่าน ในชั่วเวลานั้น กระทั่งตัวเขาเองยังต้องประหลาดใจกับความยินดีที่ห้อมล้อมเข้ามา
เขาเดินไปหลังม่านอย่างรวดเร็ว แต่กลับต้องผิดหวังที่พบว่า นั่นเป็นเพียงอาภรณ์ชุดใหม่ที่แขวนไว้บนชั้นไม้สีแดงเท่านั้น
จี้หรานมองสีอิงเถาที่งดงามนั้นนิ่ง ชุดใหม่มาถึงแล้ว แต่ว่าผู้สวมใส่กลับไม่อยู่แล้ว กล่องบนโต๊ะแต่งหน้าว่างเปล่า เครื่องประดับวางไปทั่ว เหย่าอิงไม่ได้หัวเราะเสียงใสที่นี่มานานแล้ว
เขาพลันรู้สึกอยากจะเห็นนางขึ้นมาเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นนางที่เหม่อลอยในชุดงดงามและทาเล็บสีแดงเอาไว้ หรือนางที่กำลังกวัดแกว่งง้าวยาวและเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อราวกับสายฝน
ความรู้สึกพลุ่งพล่านที่มาอย่างกะทันหันนี้ราวกับทะลักมาจนไม่อาจสะกดไว้ได้ เมื่อเทพจี้หรานตั้งตัวได้ เขาก็มายืนอยู่หน้าประตูนอกเรือนที่เหย่าอิงอยู่ทุกวันนี้แล้ว ครั้นผลักประตูเปิดออก เงาร่างบอบบางที่ไม่ได้เห็นมานานกำลังยืนอยู่ในลานโล่ง ในมือถือง้าวเอาไว้ ไม่รู้กำลังเหม่อลอยอะไร
เขาเองก็ชะงักไปเหมือนกัน ยืนตัวแข็งอยู่ที่ประตูเรือน เข้าก็ไม่ใช่ออกก็ไม่เชิง
เหย่าอิงหมุนตัวกลับมา พอเห็นเขาก็ชะงักไป จากนั้นก็เข้ามาต้อนรับด้วยความแปลกใจ นางเอ่ยปากออกมาด้วยน้ำเสียงเกรงใจเป็นพิเศษจนคล้ายกับกำลังถามความเห็น “ต้องทำอย่างไรถึงจะทำให้บังคับอาวุธได้ดั่งใจนึกหรือเจ้าคะ”
…ผ่านไปนาน ประโยคแรกที่นานกล่าวออกมากลับเป็นการขอคำแนะนำวิชาการต่อสู้
จี้หรานชะงักไปอีก ประกายเจิดจรัสในแววตานางนั้นเขาชอบมาก แต่ทว่านิสัยเด็กๆ ที่บอกว่าจะไปก็ไปบอกไม่ชอบก็ไม่ชอบนั่น ตัวเขาไม่ชอบเอาเสียเลย
ดังนั้นเทพบูรพาที่มักจะเรียบเฉยสง่างามมาตลอดจึงขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์เป็นครั้งแรก แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้าเห็นข้าแล้ว ที่อยากจะพูดคือเรื่องนี้หรือ”
เหย่าอิงเบนสายตาหลบ “ท่านหวังว่าข้าจะกล่าวอะไรหรือ”
เขาหวังว่า…หวังว่าต่อให้นางแสดงอารมณ์ออกมา หรือร้องไห้ออกมา ก็ยังดีกว่าการทำราวกับไม่เป็นอะไรอย่างนี้ ไม่ใช่บอกว่าชอบเขามากหรอกหรือ ความชอบของนางบอกว่าไม่มีก็ไม่มีเลยหรือไร
คิดว่าเพราะเขายืนนิ่งอยู่ตรงนี้ และยังไม่กล่าวอะไร เหย่าอิงลังเลอยู่นาน ในที่สุดก็กล่าวเสียงเบาออกมาว่า “ท่านมหาเทพ คำถามของข้าเมื่อครู่นี้…”
เสียงของจี้หรานกลายเป็นเยียบเย็น “เจ้าเรียกข้าว่าอะไร”
เป็นมหาเทพที่ช่างประหลาดเสียจริง ผู้ที่อยากจะอยู่อย่างให้คนเคารพเยี่ยงแขกก็คือเขา คราวนี้ผู้ที่มากล่าวโทษก็เป็นเขาอีก นิสัยองค์หญิงของเหย่าอิงพลันระเบิดออกมาทันที นางขมวดคิ้วแล้วกล่าว “อยากจะเรียกอะไรมันเป็นเรื่องของข้า หากว่าท่านไม่อยากจะแนะนำก็ออกไปเถอะ! อย่ามารบกวนข้าบำเพ็ญเพียร!”
กล่าวจบนางก็หันหลังให้ นางโยนง้าวลงแล้วกลายเป็นแสงสายหนึ่งลอยไปบนท้องฟ้าบินไปมาระยะหนึ่ง ทันใดนั้นด้านหลังกลับมีมังกรสีทองขนาดใหญ่ตัวหนึ่งพุ่งมา แล้วชนง้าวเสียจนลอยออกไปนอกกำแพง
ใบหน้าขององค์หญิงมีฉาบทับด้วยความเย็นชา ง้าวสีเงินลอยกลับมาราวกับดาวตก นางโยนมันออกไปอย่างไม่ใส่ใจ แล้วเอามันปักลงไปข้างเท้าของเขาอย่างแรง “ออกไป!”
มังกรทองคาบง้าวเอาไว้ แล้วโยนมันออกไปนอกเรือนอีกครั้ง
นี่มันเป็นพฤติกรรมของเด็กที่นิสัยเลวร้ายเป็นที่สุดถึงจะมีชัดๆ
เงาร่างเพรียวบางพุ่งมาตรงหน้าเร็วราวกับสายฟ้า ฝ่ามือผลักออกไปอย่างไม่เกรงใจ หมายจะผลักเขาออกไปนอกเรือน ข้อมือนางพลันถูกมือแกร่งราวกับคีบเหล็กจับเอาไว้ หากพูดถึงฝีมือการต่อสู้ระยะประชิดแล้ว นางไม่เคยกลัว มืออีกข้างรีบจิ้มดวงตาทั้งสองข้างของเขาทันที คิดจะบีบให้เขาคลายมือ
ทันใดนั้นมือข้างนั้นกลับยังถูกจับเอาไว้อีก เหย่าอิงรู้สึกว่าเขาคว้าข้อมือทั้งสองของนางไว้แล้วออกแรงผลัก ผลักจนนางเซอย่างต้านแรงนั่นไว้ไม่อยู่ หัวัเข่ากระแทกกับระเบียง คุกเข่านั่งลงไปอย่างไม่ยินยอม เงาร่างสีเขียวตามมาตรงหน้าแล้ว แขนทั้งสองกอดร่างของนางเอาไว้ อาศัยแรงนั่นแล้วกลิ้งไปบนระเบียงหลายครั้ง ร่างกดทับนางไว้อย่างหนักอึ้งราวกับขุนเขามิปาน
องค์หญิงผู้สูงศักดิ์ไม่ได้ออกปากด่าออกมา เพียงเชิดคางขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง ในแววตามีประกายโทสะ “มหาเทพท่านทำอะไรกัน หรือว่าท่านคิดจะบังคับขืนใจข้าหรือ”
เดิมเขาไม่ได้คิดอะไร เพียงแค่บังเกิดโทสะที่บรรยายไม่ได้ขึ้นมากะทันหันเท่านั้น แต่พอถูกนางกล่าวเช่นนี้เข้า เขาพลันนึกขึ้นมาได้ว่านางมาอยู่ในเรือนนี้ได้ราวครึ่งปีแล้ว ตัวเขาเองก็ไม่ได้ลิ้มรสความหอมหวานอันอบอุ่นมากว่าครึ่งปีแล้ว ที่ผ่านมาเรื่องนี้ไม่ได้ดึงดูดอะไรเขานัก กับนางก็เพียงแค่กระทำกิจของสามีภรรยาเท่านั้น แต่ว่าตอนนี้เขากลับถูกกระตุ้นขึ้นมาอย่างเหนือคาด
ความปรารถนาแรงกล้าราวกับคลื่นน้ำที่โถมเข้ามาจากอากาศ จี้หรานรัดร่างนางไว้แน่น แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากัน จะกล่าวว่าขืนใจได้อย่างไร”
เขาปลดเข็มขัดนาง เสียงของเหย่าอิงพลันแหบแห้งขึ้นมา “สำหรับมหาเทพแล้ว ข้าก็เป็นเพียงของที่เมื่อถึงเวลาก็นำออกมาใช้หรือ”
พอถึงวัยแล้วย่อมต้องมีภรรยาคนหนึ่ง นางกลับส่งตัวเข้ามาติดบ่วงเอง เมื่อมีความปรารถนา ต้องการเทพธิดาสักองค์ นางก็ส่งตัวเข้ามาติดบ่วงอีก แต่เพราะว่านางชอบเขา หวังว่ามีสักวันที่เขาจะซาบซึ้งใจ และให้ความรู้สึกเดียวกันกับนาง เขากลับเหยียบย่ำนางอย่างนี้
เป็นนางเองที่ตอนนั้นไปไล่ตามตื๊ออยากจะแต่งงานกับเขา หาเรื่องเอง โทษใครไม่ได้
องค์หญิงเหย่าอิงหน้าซีดเผือด นางหลับตาแน่นแล้วกล่าวเสียงเย็น “เชิญท่านเร็วหน่อย”
รออยู่นาน เขากลับไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร ทันใดนั้น ริมฝีปากนางก็ถูกริมฝีปากที่อ่อนนุ่มทาบทับไว้ เขาจูบนางน้อยครั้งมาก ตอนที่แต่งงานกันใหม่ๆมีบ้างที่เขาจะจูบนางในช่วงตื่นตัว คิดว่าตัวเขาเองก็ไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าการจูบจะเป็นเรื่องที่มีความสุขอะไร แต่ว่าตอนนี้เขาอยากจูบนางเหลือเกิน
ริมฝีปากแนบกัน บดเบียดกัน ดึงดูดกัน จี้หรานไล้ลงไปที่มุมปากแล้ววนกลับมา ริมฝีปากล่างของนางอวบอิ่มยิ่งนัก เขาจึงอดที่จะอ้าปากครอบครองไว้ไม่ได้ นางขยับทันที ราวกับอยากจะดิ้นหนีออกไป เขากดข้อมือทั้งสองของนางเอาไว้แล้วจูบนางหนักๆ ซ้ำไปซ้ำมา
ภายในเรือนเงียบกริบ มีเพียงสายลมที่พัดผ่านมาเท่านั้น ร่างที่คุ้นเคยในอ้อมอกค่อยๆ อ่อนลง ผิวหน้าที่แนบชิดมานั้นร้อนจัด ลมหายใจก็ถี่กระชั้นขึ้น เรียวลิ้นและริมฝีปากของนางกำลั่งสั่นระริก
จี้หรานคิด นางยังคงชอบเขาอยู่
เมฆสีดำที่ปกคลุมในใจพลันสลายหายไป ราวกับหายไปจากร่างของเขาแล้วไปรวมกันบนฟ้าเหนือวังเทพบูรพา บดบังแสงแดดที่สว่างไสวเอาไว้ วังเทพบูรพาไม่มีฝนตกมานานมากแล้ว และได้ตกลงมาครั้งแรกของฤดูใบไม้ผลินี้
เหล่าเทพขุนนางของวังเทพบูรพาพบว่า เทพบูรพาของพวกเขาช่วงนี้เหมือนจะไม่ค่อยชอบอยู่ที่วังเทพบูพานัก มักจะไปหาฮูหยินที่เรือนตรงไหล่เขาอยู่บ่อยครั้ง ทุกวันเอาแต่ใช้แปลงปราณกระบี่เป็นมังกรชนง้าวของฮูหยินจนลอยออกไปอย่างอารมณ์ดี เขาเป็นเด็กหรือไร
สำหรับสถานการณ์อย่างนี้ ดูเหมือนองค์หญิงเหย่าอิงกลับยิ่งอึดอัด เพราะนางถูกรบกวนทุกวัน ทำให้การบำเพ็ญตบะของนางไม่ก้าวหน้าไปไหนเสียที
“ท่านอย่ามาเลย”
วันนี้หลังยามอู่[1] เทพบูรพาที่รีบร้อนจัดการธุระจนเสร็จก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูเรือนอีกครั้ง เหย่าอิงขัดเคืองเสียจนโยนง้าวใส่เขาอีกครั้ง แล้วกล่าวว่า “การบำเพ็ญตบะของข้าถูกท่านทำเสียจนวุ่นวายไปหมดแล้ว!”
จี้หรานกดง้าวเอาไว้แล้วโยนไปให้นางเบาๆ น้ำเสียงนุ่มนวล “เดิมก็เป็นการบำเพ็ญตบะที่วุ่นวายอยู่แล้ว ไม่ต้องทำก็ดี”
เหย่าอิงอยากจะงัดเอาเรี่ยวแรงมากมายก่อนหน้านี้ออกมา แต่กลับรับอำนาจที่ร้ายกาจของเขาไม่ได้ นี่จะต้องเป็นจุดที่น่าเศร้าของนางแน่ๆ เขาไม่ได้พูดว่าชอบนาง หนำซ้ำยังไม่ได้แสดงท่าทีอะไรอย่างอื่นออกมา แต่นางกลับไม่สามารถจะถอยออกมาได้อย่างสบายเช่นครั้งก่อนอีกแล้ว
องค์หญิงใหญ่ที่มักจะตรงไปตรงมาในที่สุดก็มีเรื่องที่เก็บไว้ในใจ นางวางง้าวไว้บนมือแล้วหมุนไปมาเงียบๆ ไม่รู้กำลังใจลอยคิดอะไรอยู่
เงาร่างสีเขียวขยับเข้าไปใกล้ นั่งบนระเบียงแล้วกล่าวว่า “การใช้ง้าวฝึกให้ได้ดั่งใจนึกไม่เหมาะสมกับวิถีทางของเจ้า”
เหย่าอิงได้สติกลับมาทันที ด้านวิถีกระบี่ ตระกูลหวาซวีคือผู้เชี่ยวชาญ นางกลับมีใจอยากขอคำแนะนำอย่างถ่อมตน “ถ้าอย่างนั้นข้ายังต้องฝึกการต่อสู้ระยะประชิดต่อไปเหมือนเดิมหรือ แต่ข้ากลับรู้สึกเหมือนยังขาดอะไรอยู่”
จี้หรานตบที่ว่างข้างตัว “มานั่งนี่สิ จะค่อยๆ พูดให้เจ้าฟัง”
องค์หญิงใหญ่ของเขาเดินมานั่งลงข้างกายเขาอย่างว่าง่าย ด้วยแววตาเป็นประกายที่ทำให้ใจเขาเคลิบเคลิ้ม
ภายหลังเทพจี้หรานมักจะคิดอยู่บ่อยครั้งว่า หากรู้แต่แรกว่าองค์หญิงเหย่าอิงจะไล่ตามความสำเร็จอันยิ่งใหญ่อย่างสัญชาตญาณไม่ดับสูญ เขายังจะชื่นชมความดื้อดึงของนางนี้อยู่อีกไหม
แต่ว่าคำตอบกลับยังคงเป็นคำว่าแน่นอน เขาชอบนางที่ต่อสู้เพื่อมุ่งไปยังจุดหมายของตนอย่างเร่าร้อน ไม่ว่าจะเป็นการบอกชอบเขาอย่างตรงไปตรงมาก็ดี หรือว่าเป็นการไล่ตามความสำเร็จครั้งใหญ่ก็ดี ความดื้อดึงที่ต่อให้เจออุปสรรคก็ไม่ย่อท้อนั้น มักจะสามารถทำให้เขาจับจ้องมองอย่างหลงใหล นั่นคือสีสันที่ไม่เหมือนกับเขาเลย นางชื่นชอบเขามานานและคอยอยู่ข้างกายเขาตลอด หวังว่าจะได้รับการตอบรับจากเขา แต่ทว่าเขากลับเชื่องช้าจนเพิ่งจะมาค้นพบเอาป่านนี้
แต่ว่าเขากลับไม่เคยบอกความรู้สึกนี้ให้นางฟังมาก่อน ไม่รู้เพราะอะไร บางทีอาจเพราะเอ่ยปากไม่ออก หรือกระทั่งแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจตนเองเลย ในสายตาเขาแล้ว เวลายังมีอีกยาวนาน พวกเขายังมีเวลาอีกนับไม่ถ้วนที่จะได้อยู่ด้วยกัน รอให้วันไหนเขาเข้าใจความรู้สึกจริงๆแล้ว ค่อยบอกนางก็ยังไม่สาย อย่างไรพวกเขาก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว อย่างไรก็ต้องอยู่ด้วยกัน
เพราะว่ายุคสมัยนี้เกิดหายนะไม่ขาดสาย เผ่าเทพโรยรา ฝันบอกเหตุจึงเหมือนจะมาเร็วกว่าปกติมาก หลังงานแต่งงานไปเจ็ดร้อยปี เทพจี้หรานก็มีฝันบอกเหตุ องค์หญิงเหย่าอิงย้ายกลับมาที่วังเทพบูรพา และเริ่มเข้าสู่ช่วงตั้งครรภ์ที่ไม่สามารถบำเพ็ญตบะได้โดยสิ้นเชิง
ผ่านไปหนึ่งพันปี ในวันที่ท้องนภาไร้เมฆบดบัง ยามรุ่งสางที่แสงอรุโณทัยส่องสว่างบนผืนฟ้าสีเข้ม ฝูชางก็ถือกำเนิดขึ้น
—
[1]ยามอู่ : ช่วงเวลาตั้งแต่ 11.00 น. – 12.59 น.
[2]อิงเถา : ผลเชอร์รี่