บุหลันเคียงรัก - บทที่ 184 บุรุษผู้แก่เฒ่าไปด้วยกัน (4)
วังแก้วอัญมณีระยิบระยับเสียจนเทพบูรพาตาลายไปครู่หนึ่ง พาให้เขาอดขยี้ตาไม่ได้ เสียงใสของฮูหยินในกระบี่ดังขึ้นมาอีกครั้ง “จี้หราน ท่านเคยโทษข้าไหม”
เทพบูรพายิ้ม “โทษที่เจ้าไล่ตามสัญชาตญาณไม่ดับสูญน่ะหรือ ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้ ข้าจะโทษเจ้าได้อย่างไร”
เหย่าอิงถอนหายใจเสียงเบา “โทษที่ข้าไม่ได้ตรงไปตรงมาอย่างที่ท่านคิด จึงไม่สามารถผ่านด่านรักไปได้ ทำให้ท่านต้องมาลำบากอย่างนี้ และยังทำให้ฝูชางต้องไม่มีแม่เร็วขนาดนั้นด้วย”
เทพบูรพาเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงส่ายหน้าช้าๆ คนที่เขาโทษไม่เคยเป็นนางเลย แต่เป็นตัวเขาเองต่างหาก
เทพบูรพาที่ให้ความสำคัญกับพิธีการและความเรียบง่ายสง่างาม เทพบูรพาที่ทำให้ชื่อเสียงอันงดงามของตระกูลหวาซวีโด่งดังขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นแค่คนขี้ขลาดที่ใจบอบบางกระทั่งความรู้สึกยังพูดออกมาไม่ได้เท่านั้น ละโมบเพียงความเจิดจรัสบาดตาของนาง แต่กลับเก็บงำไม่ยอมให้คำตอบที่แน่นอนกับนาง
ไม่ว่าเหย่าอิงจะตรงไปตรงมาเปิดเผยอย่างไร พออยู่ต่อหน้าสามีที่รักแล้ว สุดท้ายก็เป็นเทพธิดาที่มีความคิดละเอียดอ่อนกว่าปกติหลายเท่า ทุกการกระทำของเขา ทุกคำพูดของเขา ล้วนแต่สร้างผลกระทบให้กับนางโดยไม่รู้ตัว
จู่ๆ เขาก็เกิดชอบนางขึ้นมาแล้วหรือ หรือแค่คิดอยากจะเรียกคืนความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาที่แตกร้าวพังทลายกลับมาเท่านั้น หรือว่า เป็นเพราะมีฝูชาง?
ความคิดสับสนวุ่นวายเหล่านี้มักจะปรากฏวนเวียนท่ามกลางเมฆดำภายในใจขององค์หญิงใหญ่เสมอ ไม่ว่าใครก็ไม่ทันได้สังเกต กระทั่งตัวนางเองก็ยังไม่ทันได้สังเกตเลย จี้หรานไม่เหมือนกับตอนแรกเริ่ม ทั้งสองคนยังคงมีช่วงเวลาที่ปรองดองเงียบสงบมากขึ้น
เทพจี้หรานยังจำได้ว่า คืนนั้นเป็นค่ำคืนหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิที่ดวงดาวพร่างพราวพระจันทร์ส่องสว่าง เหย่าอิงมีอารมณ์ตื่นเต้นมากอย่างเหนือคาด เมื่อทานอาหารค่ำเสร็จแล้วยังอุ้มฝูชางไว้ไม่ยอมปล่อย เด็กคนนี้เดิมก็ไม่ชอบใกล้ชิดกับคนรอบข้างนัก ยิ่งกว่านั้นอายุห้าพันปีก็ไม่ถือว่าเป็นเด็กน้อยแล้ว ยิ่งไม่ชอบการกอดแนบชิดอย่างนี้ เขาปั้นหน้าราวกับท่อนไม้ปล่อยให้ท่านแม่ลูบคลำเขา
เหย่าอิงประคองใบหน้าเขาเอาไว้แล้วยิ้มพลางกล่าวว่า “นิสัยของเจ้า หากว่าผ่านไปสองหมื่นปีแล้วยังเป็นอย่างนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี”
แท้จริงแล้วนางอิจฉาพ่อลูกคู่นี้ที่มีนิสัยสุขุมเรียบเฉยไม่สนใจรอบข้างเช่นนี้มาตลอด อารมณ์แทบไม่เปลี่ยนแปลง หัวใจก็สั่นคลอนยาก ย่อมบาดเจ็บได้ยาก มีปณิธานหนักแน่น และสามารถผ่านการเวียนว่ายตายเกิดร้อยชาติได้อย่างราบรื่น ทำให้สัญชาตญาณไม่ดับสูญ
ฝูชางมองมาที่ตนอย่างไม่เข้าใจ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาราวหยกงาม แฝงไปด้วยความอวบอิ่มของวัยเยาว์ ดวงตาใสกระจ่าง ราวกับเทพธิดาตัวน้อยอย่างไรอย่างนั้น
เหย่าอิงยิ่งมองก็ยิ่งชอบ อดใจไม่ไหวหอมแก้มเขาหนักๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฝูชางตัวแข็งทื่อกลายเป็นท่อนไม้อีกครั้ง
ถึงเวลานอน นางก็ยังไม่รู้สึกง่วง นางพิงขอบหน้าต่างมองพระจันทร์อยู่นาน จี้หรานอดไม่ได้เดินเข้าไปโอบบ่านางพลางกล่าวเสียงอ่อน “เจ้ามีเรื่องอะไรในใจใช่หรือไม่”
เหย่าอิงเอาศีรษะพิงซบกับอกเขา สามีของนาง พวกเขาเป็นสามีภรรยากันมาหลายปีอย่างนี้ เวลาส่วนมากของนางล้วนแต่เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขยินดี ถึงตอนนี้ ไปคิดเล็กคิดน้อยเรื่องชอบหรือไม่ชอบ ก็ออกจะทำลายบรรยากาศเกินไปหน่อย
นางยิ้มแล้วกล่าว “ท่านนี่ช่างฉลาดจริงๆ อะไรก็ปิดบังไม่ได้ทั้งนั้น ระดับของข้ามาถึงแล้ว วิถียุทธ์ราบเรียบราวกับน้ำ ข้าตัดสินใจว่าภายในห้าสิบปีจะไปเวียนว่ายร้อยชาติ พรุ่งนี้จะเริ่มปิดตนทำใจให้สงบ”
พรุ่งนี้จะปิดตน เมื่อปิดตนเสร็จก็จะลงไปเวียนว่ายร้อยชาติ นางเพิ่งจะมาบอกเขาเอาตอนนี้หรือ
ในใจของจี้หรานพลันเกิดโทสะขึ้นมา เขากุมไหล่ของนางเอาไว้แล้วถามนาง “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมไม่บอกข้าตั้งแต่แรก”
เหย่าอิงก้มหน้าลงแล้วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเบาว่า “หากว่าผ่านไปไม่ได้ ท่าน…รอให้ฝูชางโตขึ้นมาหน่อยแล้วค่อยแต่งงานใหม่…”
พูดอย่างนี้ออกไป นางบ้าไปแล้ว
จี้หรานกล่าวเสียงเย็น “นับตั้งแต่วันที่แต่งงาน ข้าก็บอกแล้วว่า ตระกูลหวาซวีครองคู่เพียงหนึ่งเดียวชั่วชีวิต ทั้งชีวิตนี้ จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้น”
แววตากระจ่างใสราวสายน้ำของเหย่าอิงมองไปที่ใบหน้าของเขา เสมือนกับกำลังแอบคาดหวังอะไรอยู่ “แค่เพราะว่าเป็นตระกูลหวาซวีหรือ”
ตอนแรกน่ะใช่ แต่ว่าไม่ใช่นานแล้ว ตระกูลหวาซวีครองคู่เพียงหนึ่งเดียวชั่วชีวิต เขาเข้าใจความหมายที่แท้จริงของมันแล้ว นั่นไม่ใช่ว่าหาใครมาก็สามารถทำได้ เขาที่แสนเกียจคร้านและจืดชืดกลับโชคดีเสมอมา และในชีวิตนี้โชคที่ดีที่สุดของเขาก็คือนาง
แต่ทว่าเขาก็ยังพูดไม่ออก
เขารู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาจริงๆ
สุดท้ายเหย่าอิงก็ยิ้ม “เห็นมหาวิถีใกล้จะสำเร็จแล้ว ข้าดีใจเกินไป กลับพูดจาเหลวไหลออกมาได้ พวกเราทั้งสองอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขแบบนี้ก็พอแล้ว รอให้ข้าบำเพ็ญสัญชาตญาณไม่ดับสูญได้แล้ว กลับมาข้าจะมาปกป้องท่านบ้าง สัญชาตญาณไม่ดับสูญน่าสนุกมากเลยลนะ”
น่าสนุก…จี้หรานทั้งรู้สึกแย่ทั้งรู้สึกขัน
วันนั้นเขาไม่ได้ห้ามเหย่าอิงไปปิดตน เมื่อออกจากการปิดตนแล้ว เขาก็ไม่ได้ห้ามนางไม่ให้ไปยังตำหนักเพื่อเขียนรายชื่อลงไปเกิด จิตใจของเหย่าอิงใสกระจ่าง เขาเชื่อว่ามหาวิถีนี้ นางจะต้องผ่านไปได้อย่างราบรื่นแน่นอน นั่นคือความต้องการของนางในชีวิตนี้ เขาก็ยินดีจะให้นางสมปรารถนา
อันตรายของการเวียนว่ายร้อยชาติ เทียบกับการลงไปเวียนว่ายธรรมดาแล้ว เป็นการรับรู้การเวียนว่ายของโลกเบื้องล่าง ไม่ใช่แค่ระดับพื้นๆ คิดว่าคงต้องไปทดลองความยินดี ความโมโห ความเศร้า ความทุกข์ ความขมขื่นทั้งหมดในแผ่นดิน และใช้จิตใจและร่างกายอันอ่อนแอนของมนุษย์ไปทดลองมันให้ครบ หากว่ามีสักชาติที่ไม่สามารถผ่านไปได้อย่างราบรื่น เกิดภัยพิบัติที่คาดไม่ถึงขึ้นหรือฆ่าตัวตาย ก็จะเท่ากับต้องทิ้งผลที่ทำมาก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะสำเร็จไปแล้วเก้าสิบเก้าชาติ ก็ยังต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่แรก
ตอนนั้นที่มหาเทพไป๋เจ๋อไปเวียนว่ายร้อยชาติ เขายังต้องทดลองถึงห้าครั้งถึงจะสำเร็จมหาวิถีได้ จี้หรานมั่นใจในตัวภรรยาสุดรักอย่างเปี่ยมล้น เหย่าอิงจะต้องสำเร็จได้ในครั้งเดียวแน่
ทว่าเขาผิดไปแล้ว ผิดอย่างมหันต์
ในชาติที่สามสิบสี่ของเหย่าอิง นางไปพบกับด่านรักเข้า และฆ่าตัวตาย
เมฆดำที่นางซ่อนไว้ในส่วนลึกของหัวใจเข้าปกคลุมอย่างไร้ซึ่งความปรานีในชาตินี้ จนทำให้ผ่านด่านรักไม่ได้ และยังกระทบไปถึงจิตวิญญาณเทพด้วย ตอนที่จี้หรานไปถึงตำหนักชางเซิง นางก็ใกล้จะดับสูญแล้ว
ไม่มีการเริ่มใหม่ การทดลองเวียนว่ายร้อยชาติจะพรากชีวิตภรรยาสุดรักของเขาไป
ตอนที่เหย่าอิงเห็นเขานั้น ราวกับรู้สึกขออภัย นางไม่สามารถพูดได้แล้ว แต่ดวงตากระจ่างใสราวกับฤดูใบไม้ร่วงคู่นั้นกลับบอกเขาว่า ขออภัย ข้าไม่ได้เก่งกาจอย่างที่ท่านคิด ทำให้ท่านผิดหวังแล้ว
ไม่ เป็นเขาที่ทำให้นางผิดหวัง
ทำไมถึงไม่สามารถสารภาพความรู้สึกกับนางอย่างตรงไปตรงมาได้ ทำไมถึงไม่ได้พูดออกมาตอนที่นางจากไป ตัวเขาคิดเอาเองว่าเขาดูแลเอาใจใส่นางอย่างครบถ้วนไม่มีตกหล่น ทุกรายละเอียดต่างก็ละเอียดถี่ถ้วน แต่เขากลับทำราวกับไม่เห็นความคาดหวังของนาง เขาช่างเป็นไอ้สารเลวที่โง่เง่าหัวทื่อที่สุดในโลกเลยจริงๆ
กระบี่ไม้ท้อเสมือนรับรู้อารมณ์ของเขาได้ แผดเสียงร้องอึงอลออกมา ราวกับเสียงเทพร่ำร้องวิญญาณร่ำไห้ ไอเยือกเย็นของตำหนักฉางเซิงที่เชื่อมไปถึงแดนวิญญาณและแดนมนุษย์ของน้ำพุเหลืองจิ่วโจวถูกดูดเข้ามาในกระบี่ไม้ราวกับสายน้ำ จี้หรานที่วิถีกระบี่ตระกูลหวาซวีไปถึงขั้นสำเร็จแล้วพลันเข้าใจขึ้นมาทุกอย่างในชั่วเวลานั้น กระบี่ไม้ท้อวิเศษกลายเป็นจวนระหว่างแดนมนุษย์และปรโลก พร้อมทั้งนำร่างและดวงวิญญาณเทพที่ใกล้จะแตกสลายของเหย่าอิงเข้าไปปกป้องภายในนั้นเพื่อไม่ให้สลายไป
เขาแบ่งจิตเทพส่วนหนึ่งเข้าไปในกระบี่ ภายในม่านหมอกมัวสลัวนั้น เงาร่างสีอิงเถาวนเวียนไปมา นั่นเป็นวิญญาณเทพของเหย่าอิง นางกำลังมองไปยังหมอกรอบด้านที่หนาแน่นอย่างเหม่อลอย ราวกับวันนั้นที่เขาบุ่มบ่ามไปหานางที่เรือนของนาง และได้เห็นเงาหลังของนาง
คราวนี้ เขากอดนางเอาไว้แน่น
“ข้า…”
น้ำเสียงที่แทบจะเจือสะอื้นของเขายังกล่าวไม่ทันจบ ดวงตาที่ไม่เคยมีหยาดน้ำตามาก่อนก็ไหลอาบแก้มเขาจนเปียกชุ่ม
ดวงวิญญาณเทพที่เยียบเย็นและนุ่มนวลโอบกอดเขาไว้ เสียงของนางยังคงใสกระจ่างเหมือนเคย “ข้ายังอยู่ อย่าเสียใจ”
จี้หรานหลับตาลงแล้วกล่าวเสียงต่ำ “ในใจข้ามีเพียงเจ้าคนเดียวมาตลอด ไม่ใช่เพราะข้าคือตระกูลหวาซวี”
แววตากระจ่างใสของเหย่าอิงมองมาที่เขาเงียบๆ ผ่านไปนาน แววตาของนางก็เบนออกไปแล้วหัวเราะเสียงเบา “ข้ารู้แล้ว”
นางมองไปรอบๆ ด้วยใบหน้าสงบราบเรียบ ทั้งยังมีความพอใจอยู่จางๆ ยังคงมีความผิดหวังอยู่บ้าง สุดท้ายก็กล่าวราวกับกำลังเย้ยหยันตนเองออกมาว่า “พวกเราทั้งสอง ช่างโง่งมเสียจริง”
องค์หญิงใหญ่ของมหาเทพไท่อี่บนสวรรค์ชั้นสามสิบสาม ฮูหยินเหย่าอิงของเทพบูรพา นับจากนี้ไป เป็นได้เพียงดวงวิญญาณที่อยู่ภายในกระบี่ไม้ท้อวิเศษเท่านั้น มีเพียงเขาที่เห็นนาง และมีเพียงเขาที่ได้ยินนาง
ไม่ว่าอย่างไร นางยังอยู่ก็เพียงพอแล้ว
“ในใจข้าตั้งแต่แรกถึงตอนนี้ก็มีเพียงฮูหยิน ฮูหยินไม่รู้หรอก” เทพบูรพาลูบกระบี่ไม้ท้อวิเศษเบาๆ “ดังนั้นตอนนี้ข้าจะพูดทุกวันวันละสักหลายหน ให้ฮูหยินวางใจ”
เหย่าอิงในกระบี่หัวเราะเสียงใส “เป็นสามีภรรยามาตั้งนานแล้ว อย่าพูดอะไรพวกนี้เลย ขนลุกออก”
เทพบูรพาแบ่งจิตเทพเข้าไปภายในกระบี่ เงาร่างสีดอกอิงเถาเหมือนเช่นในอดีตยังคงวนเวียนอยู่ภายในหมอกมืด เมื่อเห็นเขา คิ้วงามของนางก็เลิกขึ้นน้อยๆ แล้วเผยรอยยิ้มสว่างไสวดังเช่นแต่ก่อนออกมา “พูดด้านนอกไม่พอ ยังเข้ามาพูดต่อหน้าอีกหรือ”
นางล้อเลียนเขาอย่างซุกซน
เทพบูรพากุมมือนางเอาไว้ แล้วกล่าวเสียงนุ่ม “เพราะวังแก้วอัญมณีด้านนอกนั่นบาดตาเกินไป ไม่ทราบว่าเมื่อใดฮูหยินถึงอยากจะเปลี่ยนที่และไปเที่ยวต่อ”
รอยยิ้มของเหย่าอิงเด่นชัดขึ้น “จริงๆ แล้วข้าเองก็มองจนพอแล้ว แต่ข้าชอบเห็นท่านคลึงดวงตา น่าสนุกจะตาย”
คิดว่าฮูหยินผู้นี้ คงจะเรียนรู้นิสัยอันเลวร้ายมาจากลูกสะใภ้ผู้คาดเดาไม่ได้มาเสียแล้ว
เทพบูรพาได้แต่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
เห็นใกล้จะถึงยามโหยว่[1]แล้ว คลื่นหยกทองใกล้จะกลืนกินวังแก้วอัญมณีแห่งนี้จนมิดแล้ว เทพบูรพากลับมาบนแท่นสูงนั้น ท่านผู้เฒ่าจิ่วหยวนในชุดขนนกยังคงทอดสายตามองทะเลบูรพา
“วังแก้วอัญมณีประณีตงดงามหรูหราเหนือธรรมดา เรียกได้ว่าฝีมืองดงามมาก วันนี้ข้าถือว่ามีโชคถึงได้มาเห็น ต้องขอขอบคุณท่านประมุขวังมากที่มีน้ำใจ ยามนี้ใกล้จะค่ำแล้ว ข้าจึงมาเพื่อกล่าวลา”
มหาเทพแสดงพิธีการมารยาทของตระกูลหวาซวีออกมาอย่างคล่องแคล่ว เขาแสดงออกมาได้อย่างงดงามและมีพิธีรีตองมาก กล่าวแล้วจึงหมุนตัวจากไป
ท่านผู้เฒ่าจิ่วหยวนพลันกล่าวว่า “เทพบูรพา จริงๆ แล้วข้าเลื่อมใสท่านมาก คู่รักขวางกั้นด้วยอินหยาง[2] แต่กลับยังมั่นคงไม่แปรเปลี่ยน ข้ากลับไม่ได้มีพรสวรรค์ดั่งมหาเทพ จนถึงวันนี้ กระทั่งน้ำเสียงและรอยยิ้มของนางข้าก็ลืมเลือนไปมากแล้ว”
เทพบูรพาคิดไม่ถึงว่าประมุขวังที่เย็นชาผู้นี้จะเอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ออกมากะทันหัน จึงชะงักไปครู่หนึ่ง
ท่านผู้เฒ่าจิ่วหยวนกล่าวต่อว่า “ทุกวันมีเพียงระยะเวลาเพียงหนึ่งชั่วยามสั้นๆ เท่านั้นที่จะได้มองทะเลบูรพา นางเคยมีชีวิตอยู่ใต้ทะเลบูรพาของโลกมนุษย์มาก่อน แต่เวลาผ่านไปนานเข้า นางก็ดับสูญไป ข้ากับนางไม่ใช่เพียงแค่ถูกขวางกั้นด้วยอินหยางตลอดกาลเท่านั้น ยังถูกขวางกั้นด้วยความต่างของเซียนและมนุษย์อีกด้วย ไม่มีทางได้พบกันอีกแล้ว”
เขาหมุนตัวกลับมา ท่าทีเรียบเฉย แล้วผายมือออกเป็นเชิงส่งแขก “จู่ๆ ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา จึงพูดจาเหลวไหลไปบ้าง มหาเทพไม่ต้องใส่ใจ เชิญเถอะ”
เทพบูรพาเดินออกไปจากวังแก้วที่สว่างไสวบาดตานี้ช้าๆ เพิ่งจะเดินไปถึงริมเกาะฟางจั้ง คลื่นทองมรกตที่งดงามนี้ก็กลืนกินวังแก้วอวี้ไปจนมิดอีกครั้ง ประมุขวังที่เย็นชาทั้งหมดนั่นก็ถูกกลืนหายไปด้วย เกรงว่าคงไม่มีใครรู้อีกแล้ว
เหย่าอิงกล่าวเสียงเบา “เขาคือผู้ที่เสียใจคนหนึ่ง”
เทพบูรพากลายเป็นลมบริสุทธิ์แล้วลอยวนเวียนเหนือทะเลบูรพาช้าๆ กล่าวเสียงเนิบนาบว่า “ข้าเองก็เป็นผู้ที่เสียใจเช่นกัน”
จนถึงตอนนี้แววตาของเขาก็ยังคงพร่าลาย
เหย่าอิงหัวเราะออกมา “พวกเราทั้งสองอย่างน้อยก็ยังได้อยู่กันจนแก่เฒ่า มนุษย์ไม่ใช่มีประโยคกล่าวไว้หรือว่า แม้ไม่อาจเกิดวันเดียวกันเดือนเดียวกันปีเดียวกันได้ แต่ขอให้ได้ตายในวันเดียวกันเดือนเดียวกันปีเดียวกัน ฟังแล้วก็เพราะมากอยู่”
มือของเทพบูรพาลูบไปบนตัวกระบี่แล้วยิ้มน้อยๆ
ไม่ผิด เมื่อเขาดับสูญไปแล้ว ปราณกระบี่แปลงเป็นแสงและความมืดก็จะสลายไป นางเองก็ต้องติดตามเขาไปด้วย อย่างน้อยๆ พวกเขาก็ได้ดับสูญด้วยกัน และกลายเป็นไอบริสุทธิ์ด้วยกัน สลายไประหว่างฟ้ากับดิน นับจากนี้ในเจ้ามีข้า ในข้ามีเจ้า ไม่ต้องแยกจากกันอีก
แต่ทว่าแท้จริงแล้วพวกเขาไม่เคยแยกจากกันมาก่อนเลย อยู่กันจนแก่เฒ่า หนึ่งเทพหนึ่งกระบี่ นี่ก็คือการครองคู่เพียงหนึ่งเดียวชั่วชีวิตของตระกูลหวาซวี
—
[1]ยามโหย่ว : ช่วงเวลาตั้งแต่ 17.00 น. – 18.59 น.
[2]อินหยาง : ในที่นี้ อินเปรียบดั่งวิญญาณ ส่วนหยางเป็นร่างเนื้อหรือผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่