บุหลันเคียงรัก - บทที่ 187 ที่ของข้า (2)
ตอนอายุได้หนึ่งหมื่นสองพันปี เทพหงส์อายุน้อยก็เรียนรู้การหาความสนุกจากเรือนร่างของเทพธิดาสาวไม่ซ้ำหน้าแล้ว
ดวงตาและคิ้วที่งดงามหยาดเยิ้ม กลิ่นลมหายใจหอมกรุ่นที่พ่นออกมา ร่างกายที่นุ่มนวล นิสัยเย้ายวนหลากหลายอารมณ์ ทำให้เขามีความสุขอย่างยากจะลืมเลือนได้จริงๆ เขาชอบความแปลกใหม่ที่ต่างกันไปในแต่ละวัน และการหยอกเย้าที่น่าสนุกแต่ผิวเผิน การกอดรัดอย่างนุ่มนวลในเวลาสั้นๆ ไม่ต้องประโลมไปถึงจิตวิญญาณเทพ
ความเสเพลอย่างนี้ ความปล่อยตัวอย่างนี้ ชื่อเสียงด้านความเสเพลของท่านชายเทพหงส์ตระกูลชิงหยางก็ค่อยๆ โด่งดังขึ้นมา กระทั่งเขาอายุได้สามหมื่นปี เขาหลับใหลไปสามพันปี เทพธิดาข้างกายก็ยิ่งไม่เคยขาด
ท่านแม่เคยกล่าวเตือนเขาเรื่องนี้ เทพเสเพลไม่ใช่ชื่อเสียงที่ดีอะไร ต่อไปหากไปเจอเทพธิดาที่ชอบพอเข้าจะทำอย่างไร
ชอบจริงๆ รู้สึกอย่างไร เขารู้สึกว่าของอย่างนั้นช่างเป็นสิ่งรางเลือนที่จับต้องไม่ได้ เซียนหญิงก็ดี เทพธิดาก็ดี หรือกระทั่งปีศาจสาวก็ดี เขาชอบทั้งหมด แต่เมื่อหันหลังไปแล้วก็เหมือนกับว่าเขาไม่ได้ชอบเลยทั้งนั้น
ของที่ดีงามมักมีระยะเวลาสั้นเสมอ เขาคิด
มนุษย์กล่าวไว้ว่า ของประเภทเดียวกันจัดไว้ด้วยกัน คนที่เหมือนกันก็ย่อมอยู่รวมกัน ถือว่ามีเหตุผลมาก เหล่าคนที่มาสุงสิงกับเทพเสเพลเหล่านั้น ก็ล้วนแต่เป็นเทพที่เสเพลเช่นกัน
วันนั้น หลังจากลาดตระเวนที่โลกเบื้องล่างใกล้กับแม่น้ำอี๋สุ่ยเสร็จแล้ว ก็เกิดเรื่องไม่เล็กไม่ใหญ่เรื่องหนึ่งขึ้นมา
ในบรรดานักรบอายุน้อยมีองค์ชายห้าแห่งเทพมังกรทะเลอุดรรวมอยู่ด้วย เทพองค์นี้ไปยุ่งกับธิดาเทพแม่น้ำอี๋สุ่ยของโลกเบื้องล่างเข้า คิดว่าคงไปพูดจาจำพวกคำหวานที่ไม่เข้าใจนักเข้าด้วย ทำให้เทพธิดามีใจคิดจะแต่งงานกับเขา ใครจะรู้ว่าเขากลับทิ้งนางไปราวกับรองเท้าคู่เก่า ลืมเลือนนางไป ครั้งนี้ลงมาลาดตระเวนที่โลกเบื้องล่างมาพบกันที่แม่น้ำอี๋เข้า เทพธิดาตามตื้อไม่ยอมปล่อย แต่ก็ยังไม่ได้ผล จึงได้แต่ร้องไห้จนฟ้าแทบจะทลายลงมา
องค์ชายห้าหลบไปในกระโจมนักรบอย่างหวาดผวา เห็นเซ่าอี๋มาก็รีบมาร้องทุกข์ “ท่านชาย ข้ารู้ว่าท่านมีวิธีการมาก ท่านจะต้องจัดการนางให้ข้านะ อย่าให้นางร้องไห้โวยวายอย่างนี้ต่อไปอีก ยุ่งยากจะตายชัก”
ข้างๆ มีนักรบคนอื่นหัวเราะเขา “ในเมื่อรู้ว่าตื้อนัก แล้วตอนแรกจะไปยุ่งกับนางทำไมกัน”
องค์ชายห้าถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ตอนนั้นนางดูเหมือนจะไม่ได้เป็นอย่างนี้นี่ ใครจะรู้ว่าภายหลังจะเปลี่ยนไป”
เทพหงส์หนุ่มวางมาดหยิ่งยโสใหญ่โต แล้วออกไปดูนอกกระโจมนักรบให้เขาจริงๆ เทพธิดาอี๋สุ่ยผู้นั้นก้มหน้าน้ำตาตกอยู่ริมแม่น้ำ รูปโฉมโนมพรรณงดงาม เขามองไปหลายครั้งองค์ชายห้าก็หัวเราะเสียงเบาแล้วกล่าวว่า “ท่านชาย ได้ยินมาตลอดว่าต่อให้เป็นภูเขาน้ำแข็งแต่เมื่อมาอยู่ในมือท่านก็ยังต้องละลาย หากว่าท่านช่วยแก้ไขปัญหายุ่งยากนี้ให้ข้า อย่าว่าแต่นางเลย ข้ายังจะมอบเซียนหญิงที่งามหยาดเยิ้มแก่ท่านให้อีกสี่คนด้วย”
เซ่าอี๋เดินไปที่ริมแม่น้ำอี๋สุ่ยช้าๆ เห็นเทพธิดาอี๋สุ่ยร้องไห้อย่างหนัก เขาก็ล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอกยื่นให้พลางกล่าวเสียงนุ่มว่า “หากยังร้องไห้ต่อไป น้ำในแม่น้ำอี๋สุ่ยคงได้ล้นแน่แล้ว”
ใครจะรู้ว่านางไม่แม้แต่จะหันกลับมา เพียงแต่เอาแขนเสื้อเช็ดน้ำตาแล้วกล่าวเสียงแหบแห้งว่า “เจ้าไปเสีย ไปเรียกเขามา”
เซ่าอี๋นั่งลงข้างกายนาง “เพราะว่าเขาไม่ยอมมา ข้าถึงได้มา เจ้านี่นะ ทำไมต้องไปร้องไห้ให้เขาขนาดนี้ด้วย”
เทพธิดาอี๋สุ่ยหันกลับมามองเขา เทพธิดาของภูเขาแม่น้ำเหล่านี้บางทีอาจเพราะถือกำเนิดจากจิตวิญญาณแห่งภูเขาและแม่น้ำ จึงมีรูปโฉมงดงาม นางเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่ว่าดวงตากลับร้องไห้เสียจนบวม แววตาก็เย็นชาเยือกเย็น
“ข้าไม่ได้ร้องไห้ให้เขา ข้าร้องไห้ให้กับตัวเองต่างหาก” นางปล่อยแขนเสื้อลง ใบหน้ายังเต็มไปด้วยคราบน้ำตา “ข้ามอบความจริงใจไปให้ผิดคน ข้าแค้นตนเองที่ปล่อยวางไม่ได้เท่านั้น”
เซ่าอี๋เอียงคอคิด “หากว่าให้ผิดไปเปลี่ยนคนให้ก็ไม่ใช่ว่าได้แล้วหรือ ในโลกนี้อย่างไรก็ต้องมีคนที่ดีกับเจ้าและไม่ดีกับเจ้า หาพวกที่ดีกับเจ้าเหล่านั้นไม่ใช่ว่าได้แล้วหรือ”
เทพธิดาอี๋สุ่ยกล่าวเสียงเรียบ “แม้กระทั่งความจริงใจเจ้าก็ยังไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร”
เซ่าอี๋กลับยิ้มแล้วกล่าวสบายๆว่า “บนผืนฟ้าใต้ปฐพีมีเทพที่ดีกว่ามากมาย ทำไมเจ้าจะต้องไปคอยจ้องแต่คนที่ไม่อยากพูดด้วยใจจริงกัน”
เทพธิดาอี๋สุ่ยสูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง “ข้าเข้าใจแล้ว พวกเจ้ามันล้วนแต่เป็นพวกเดียวกัน เป็นข้าเองที่ไร้เดียงสาเกินไป ข้าหวังแค่ต่อไปอย่าให้คนสารเลวอย่างพวกเจ้าไปร้ายเหล่าเทพธิดาที่ไร้เดียงสาน่าสงสารเหล่านั้น”
นางกล่าวจบแล้วก็หมุนตัวกลายเป็นหมอกกลุ่มหนึ่งสลายไปริมแม่น้ำ เซ่าอี๋ลูบปลายคางแล้วยืนอยู่ริมน้ำครู่หนึ่ง เพิ่งจะเอาผ้าเช็ดหน้ากลับมาในอกไม่ทันไร องค์ชายห้าก็เข้ามารับอย่างยินดีแล้วกล่าวว่า “แก้ไขได้แล้วหรือ ท่านชายช่างมีฝีมือนัก!”
เซ่าอี๋พลันรู้สึกว่าท่าทีลิงโลดยินดีนี้ของเขาช่างขัดตานัก เขาขมวดคิ้วแล้วยิ้ม แต่ไม่ได้ตอบอะไร
เรื่องไม่ใหญ่ไม่เล็กนี้ ไม่นานเซ่าอี๋ก็ลืมไปแล้ว กลับเป็นองค์ชายห้า ภายหลังในวันอภิเษกกลับเกิดเรื่องใหญ่จริงๆ ขึ้นมา
หลายปีมานี้ไม่รู้ว่าเขาไปพัวพันอย่างไรกัน ถึงได้ไปคืนดีกับเทพธิดาอี๋สุ่ยได้ แต่ว่ากลับไปฟังที่บิดามารดาจัดการแล้วไปสู่ขอเทพธิดาองค์อื่นเข้า เทพธิดาอี๋สุ่ยจึงคิดจะแทงเขาในงานอภิเษกแต่ไม่สำเร็จ ทั้งยังฆ่าตัวตายท่ามกลางเสียงอึกทึกของแขกเหรื่อ เลือดย้อมทะเลอุดร เรื่องนี้พูดกันหลายสิบปีในแดนเทพก็ยังไม่จบสิ้น เทพมังกรทะเลอุดรรู้สึกเสียหน้ามากจนไปถึงน้ำพุเหลืองจิ่วโยวแล้ว เขาบันดาลโทสะมากจึงสั่งผนึกทะเลอุดรไปห้าร้อยปี
นับจากนั้นองค์ชายห้าที่มีพรสวรรค์สูงส่งและมีหวังว่าจะได้รับสืบทอดตำแหน่งเทพมังกรทะเลอุดรก็ไม่ได้มีชีวิตที่ดีอะไร การจะรับสืบทอดตำแหน่งต่อนั้นไม่มีทางแล้ว และยิ่งไม่มีเทพธิดากล้ามาแต่งงานกับเขาด้วย กระทั่งเหล่าปีศาจที่เสเพลปล่อยตนยังไม่สนใจเขา เซ่าอี๋รับตำแหน่งมหาเทพชิงหยางแล้ว เขาเองก็มาดูงานพิธี แต่รู้สึกว่าเขายังดูแก่กว่าท่านพ่อของเขาเสียอีก
ความหลงใหลช่างเป็นสิ่งที่ทำร้ายทั้งตนเองและผู้อื่นจริงๆ เซ่าอี๋คิด แล้วหมุนตัวไปหาฉางอวี้มหาเทพจงซานที่มากล่าวลา
แม้ว่าหลายปีมานี้พวกเขาทั้งสองจะได้เจอกันไม่มากนัก แต่ว่ากลับเสมือนต่างฝ่ายต่างลอบเปรียบเทียบกันอย่างนั้น ท่านชายเทพหงส์หลับใหลไปสามพันปีตอนอายุได้สามหมื่นปี องค์ชายมังกรเองก็หลับใหลไปพันปีตอนอายุได้สามหมื่นปี ท่านชายเทพหงส์เสเพลขี้เล่น องค์ชายมังกรเองก็มีชื่อเสียงมากด้านนอก องค์ชายมังกรที่อายุได้ห้าหมื่นปีด้วยเพราะผลงานการรบโดดเด่น จึงถูกจัดสรรไปอยู่ใต้บังคับบัญชาของมหาเทพโกวเฉิน ส่วนท่านชายเทพหงส์เมื่ออายุได้ห้าหมื่นปีเองก็ถูกส่งไปอยู่ใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิจื่อเวยที่มีชื่อเสียงเหมือนกัน
ตระกูลชิงหยางและตระกูลจู๋อินในรุ่นของพวกเขา ราวกับน้ำกับไฟ ไม่อาจเข้ากันได้
ฉางอวี้ยืนอยู่หน้าราชรถคันยาวราวกับเมฆดำของตระกูลจู๋อิน เหมือนเขาจะดื่มมากไป จึงพูดมากกว่าปกติมาก เขาหันมากล่าวกับเซ่าอี๋เสียงเรียบว่า “นับตั้งแต่ยังเล็กข้าก็ได้ยินว่าท่านชายตระกูลชิงหยางมีพรสวรรค์สูงส่งเหนือผู้คน ตอนนั้นพอได้ลองหยั่งเชิงไป เหนือกว่าธรรมดาจริงๆ ในเมื่อการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ยกเลิกไปแล้ว หากว่ามีโอกาส ก็หวังว่าจะได้ประมือกับมหาเทพสักครั้ง”
พูดประโยคมารยาทอย่างนี้ จริงๆแล้วก็ยังเหมือนกับเขา อยากจะสรุปผลความสัมพันธ์ทั้งสองตระกูลที่จะขาดก็ไม่ขาดนี้เสียที เพียงแต่ตระกูลจู๋อินไม่ชอบวางแผน แต่ไรมาจึงมักจะใช้กำลังตัดสินปัญหาทุกอย่าง
เซ่าอี๋กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “วันนี้ข้ากับเจ้าต่างก็เป็นมหาเทพแล้ว เรื่องการวัดฝีมือกันนั้น เกรงว่าจะต้องระวังหน่อยกระมัง”
ฉางอวี้แค่นยิ้มเย็น “เกรงว่ามหาเทพจะระวังตนมากไปแล้ว”
ระวังหน่อยก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดี ความปล่อยตัวทั้งหมดกว่าครึ่งชีวิตของเขาต่างถูกจำกัดไว้ในวงที่ตนเองขีดเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการสู้กับฉางอวี้ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง หรือว่าการเสเพลปล่อยตนไปตามอารมณ์ที่มีความสุขเหล่านั้น ในใจเขาอยากจะสู้กับฉางอวี้จริงๆ สักครั้ง แต่ว่าเขาไม่มีทางทำ ในใจเขาคิดอยากจะหาผู้ที่มีใจคิดตรงกันชอบพอกัน แต่ว่าเขาก็ไม่มีทางหาเช่นกัน
ของที่ดีงามเป็นประกายมักจะมีระยะเวลาที่สั้นมาก ทั้งยังแผดเผาตนเองโดยไม่สนใจอะไร หากประกายสว่างเหล่านั้นผ่านไปแล้วจะทำอย่างไร สิ่งที่เหลือจากการมอดไหม้นั้นเล่าจะทำอย่างไร
เหมือนกับที่สุดท้ายต่อมาเซ่าอี๋ก็ไปสู้กับฉางอวี้จนตัวตาย ความเสียใจก่อนดับสูญต้องจัดการเช่นไร ความมืดมิดที่ลึกล้ำ ทะเลหลีเฮิ่นที่ทุกวิชาไร้ผลนั้นเล่าจะทำอย่างไร
สุดท้ายก็เป็นเขาที่เหลืออยู่เพียงลำพัง และหวนคิดถึงเรื่องราวทั้งหมดนี้