บุหลันเคียงรัก - บทที่ 189 ใจข้าสงบสุข
วันที่สามสิบหลังจากวิญญาณเทพเสียหาย ฝูชางไม่มีแรงแม้แต่จะพลิกตัวแล้ว
เป็นเช้าตรู่ที่เหนื่อยล้ามากอีกวัน เขาที่ไม่สามารถหลับมาได้หลายวันมองไปยังยอดมุ้งสีเขียวที่คุ้นเคยเงียบๆ
ที่นี่คือเรือนของเขา เขาซ่อนอยู่ในส่วนลึกที่สุด สถานที่ที่ไม่มีทางที่จะยอมให้ใครเข้ามา ทั้งยังเป็นสถานที่ที่สงบเงียบแห่งสุดท้ายของเขาด้วย
แต่ว่ากระทั่งที่นี่ก็ยังถูกหิมะสีขาวขององค์หญิงมังกรย้อมเอา มุ้งสีเขียวแลดูคล้ายผมยาวที่ปล่อยสยายลงมาของนางไปทีละน้อย ฝูชางหลับตาลงทันที แต่ตรงหน้ากลับมีแววตาที่เงียบเหงาและใบหน้าขาวซีดของนางปรากฏขึ้น
หนีไปไหนไม่ได้
นางเอาชีวิตเขาได้จริงๆ
ตอนที่ท่านพ่อส่งเขาไปยังตำหนักฉางเซิงเพื่อไปตัดสัมพันธ์ที่โลกเบื้องล่างนั้นมีสีหน้าเคร่งเครียดยิ่ง “เหตุและผลมีต่างกันไป ในเมื่อลงไปตัดสัมพันธ์ที่โลกเบื้องล่างแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถตัดสัมพันธ์อันเลวร้ายนี้ลงได้จริงๆ เจ้ารู้ไหมว่าสิ่งที่ตนเองอยากจะได้จริงๆ คืออะไร”
ฝูชางคิด ให้เขาลืมนางเถอะ ทำเป็นว่าเรื่องทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ใครก็ไม่ต้องตำหนิใคร ให้เรื่องราวที่บิดเบือนไปนี้กลับมาตรงทางใหม่ ก็แค่รักผิดคนไปครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง
“ท่านพ่อ อย่าไปหานาง” เขากล่าวเสียงต่ำ
ไม่ต้องไปรบกวนความสงบของนาง เดิมพวกเขาก็ไม่ได้เดินทางเดียวกันอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น สภาพของเขาเช่นนี้ อันที่จริงก็ไม่ได้น่าดูสักเท่าไหร่เลย
แต่ว่าท่านพ่อกลับยังเขียนจดหมายไปให้องค์หญิงมังกร ส่วนนาง ก็มาแล้วจริงๆ
ตัดสัมพันธ์ใต้ต้นตี้หนี่ว์ชาง วิญญาณฟื้นฟูกลับมา พริบตานั้น เขากลับเข้าใจขึ้นมาได้ว่า สิ่งที่เขาต้องการนั้นไม่ใช่การลืมเลือน ส่วนนาง ก็รู้มาตลอด และให้สิ่งที่เขาต้องการอย่างแท้จริง
แววตาสองคู่สบประสานกัน ฝูชางมองเห็นแววตาที่ทั้งเศร้าเสียใจทั้งนุ่มนวลอบอุ่นของนาง ยามอยู่แดนเทพ นางไม่เคยมีแววตาเช่นนี้มาก่อน แต่ว่าที่โลกเบื้องล่าง แววตาของนางมักจะเผยประกายเช่นนี้เสมอ
เพราะว่าเผชิญหน้ากับเขาที่ไม่รู้อะไรและไร้เดียงสาบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิงอย่างนั้นหรือ หรือเพราะรู้ว่าสุดท้ายแล้วทุกอย่างของโลกเบื้องล่างจะกลายเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น
อย่าให้มันกลายเป็นเพียงภาพมายา อยู่ต่อก่อนอย่าไป รอเขาก่อน เขาจะต้องรีบกลับมาโดยเร็วที่สุดแน่นอน
แต่ว่าตอนที่ฝูชางกลับมาที่โลกเบื้องล่างนั้น นางก็ไม่อยู่แล้ว
ใต้ต้นตี้หนี่ว์ชางมีหิมะจับตัวเป็นชั้น เรือนในศาลเทพบูรพานั้นถูกหิมะผนึกเอาไว้ เขาเดินไล่ตามร่องรอยขององค์หญิงมังกรไป จนกระทั่งมองเห็นสุสานราชวงศ์ที่ถูกหิมะปกคลุมไว้จนมิด
บนแผ่นป้ายศิลามีของเล่นหิมะเล็กๆ หลากหลายอย่างที่นางปั้นให้เขาในช่วงเวลาเหล่านั้นวางไว้ พวกมันต่างถูกปั้นขึ้นใหม่อย่างประณีต แต่ละชิ้นวิจิตรงดงามมาก ฝูชางประคองพวกมันเอาไว้ รู้สึกว่าหิมะที่ปกคลุมอยู่ภายในสุสานราชวงศ์กดทับหัวใจของเขา ราวกับจะหายใจไม่ออก
ครั้นหมุนตัวไป แสงอาทิตย์ก็สาดส่องลงมา ทั่วทุกแห่งหนขาวโพลน ที่ที่นางอยู่บนโลกมนุษย์เป็นที่สุดท้ายก็คือสุสานของเขา
เขาทำอะไรผิดไปหรือ เขาเข้าใจผิดอะไรไปหรือ
แสงอรุณสาดส่องลงมายังภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะจู๋อิน ทำให้มีประกายเยือกเย็นออกมา ราวกับประกายน้ำตาในดวงตานาง นางไม่ยอมพูด ทั้งยังไม่ยอมแสดงสีหน้าอะไรออกมา และใช้ความเงียบที่โหดร้ายตัดสิ้นทุกสิ่ง
เป็นความโง่งมและความไม่รู้จักโตของเขาที่ทำให้ทุกอย่างมาถึงขั้นนี้
…
มาถึงเขาจงซาน ผู้ที่มาต้อนรับคืออำมาตย์ฉีหนานที่มีใบหน้าเคร่งเครียดเจ็บปวด พอเห็นฝูชาง เขาก็ราวกับรู้สึกผิดขึ้นมา ไม่ทันรอให้เขากล่าวอะไร เขาก็ชิงกล่าวออกมาก่อน “เทพฝูชาง เชิญกลับไปเถอะ องค์หญิงนาง…ไม่อยากพบใครทั้งนั้น”
นางไม่อยากพบ เขารอได้ รอหนึ่งพันปี สองพันปี เขารอต่อไปได้เสมอ รอจนกว่านางจะยอมพบเขา
แต่ทว่าสีหน้าเจ็บปวดของเทพอำมาตย์ฉีหนานชัดเจนเกินไป เขาทอดถอนใจกล่าวออกมาอีกว่า “ตอนแรกข้าไม่ควรจะบีบคั้นองค์หญิงเช่นนั้นเลย…ตอนยังเล็กยังเจอเรื่องแบบนั้นมาอีก ทำไมข้าถึงยังบีบคั้นนางอีก…”
ตอนยังเล็กหรือ หมายถึงเรื่องที่ฮูหยินของมหาเทพจงซานดับสูญน่ะหรือ
ฉีหนานกล่าวเสียงต่ำว่า “เทพฝูชาง ท่านเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา ให้ความสำคัญกับพิธีและมารยาททั้งยังงามสง่า ภายภาคหน้าจะต้องได้พบเทพธิดาที่ดีกว่ามาเคียงข้างท่านแน่ ท่าน…ปล่อยองค์หญิงของข้าไปเถอะ นางมีเรื่องในใจหนักหน่วง นิสัยประหลาด ก่อนหน้านี้ยังทรมานท่านอย่างนั้น นางช่าง…ไม่คู่ควรกับท่านเลยจริงๆ”
ฝูชางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “เรื่องอย่างนี้ มีแค่ชอบกับไม่ชอบเท่านั้น ข้าชอบนาง”
คำสารภาพตรงๆ อย่าง “ข้าชอบนาง” กลับทำให้ฉีหนานตาแดงก่ำ เขาพยายามกลั้นน้ำตาแล้วก้มหน้าลงยิ้มพลางกล่าวว่า “หากว่าองค์หญิงได้ยิน คงได้ทรมานท่านอีกแน่…สายไปแล้ว ทุกอย่างสายไปแล้ว เทพฝูชางท่านกลับไปเถอะ”
ฝูชางกลับขี่ลมขึ้นแล้วกล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “พรุ่งนี้ข้าจะมาหาใหม่”
วันแรก วันที่สอง วันที่สาม…พรุ่งนี้ผ่านไปหลายวัน เขายังคงคิดว่าจะมาตลอดไป องค์หญิงมังกรก็คิดว่าจะไม่ยอมมาเจอเขาตลอดไป ห้าสิบปีผ่านไป เช้าที่สดใสวันนั้น ฝูชางพลันรู้สึกว่าในใจเหมือนเข้าใจอะไรขึ้นมาได้ ไอบริสุทธิ์เข้ามาห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้และสั่นสะเทือนไม่หยุด
เวลาหลับใหลพันปีมาถึงแล้ว
ฝูชางฝืนไม่ยอมหลับไป เขาเดินไปหน้าโต๊ะหนังสือ แล้วเอาพู่กันกับน้ำหมึกออกมา ตรงหน้าคือกระดาษสีขาวว่างเปล่า แต่เขากลับเขียนอะไรไม่ออก
จะเขียนอะไรให้นางดีล่ะ ความรู้สึกขอโทษของเขาหรือ ความเสียใจของเขาหรือ หรือความรักของเขา
องค์หญิงมังกรที่ฉลาดเฉลียวจะไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้หรือ นางยืนกรานไม่ยอมมาพบและหลีกหนี ไม่ใช่เพราะโทษเขา แต่หวังว่ามีดที่ชื่อว่าความรู้สึกนั้นจะไม่ปรากฏขึ้นในใจของนางอีก
อย่าไป อย่าไปจากเขา หากว่าทุกอย่างย้อนกลับไปได้ เขาไม่มีทางยอมให้ความเหงากลืนกินนาง และไม่มีทางที่จะบีบคั้นบังคับนางอย่างนั้น อยากจะเป็นคู่แค้นที่ทะเลาะกันก็ได้ อยากจะเกาะติดเขาไปสุดหล้าฟ้าเขียวก็ได้ เขาจะอยู่เป็นเพื่อนนางเอง
คำพูดมากมายนับหมื่นนับพัน ไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหนดี
ฝูชางนำกระดาษขาวใส่ลงไปในซองของตระกูลหวาซวีแล้วใช้เวทส่งมันออกไป
เขามักจะช้าไปก้าวหนึ่งเสมอ บุพเพสันนิวาสที่เคยมากมายจนเกินพอดีเหล่านั้น ยามนี้ราวกับหายไปหมดสิ้น ความสัมพันธ์เลวร้ายที่ยึดติดเขากับนางเอาไว้สายนั้นขาดออกราวกับไม่มีอยู่อีกต่อไป หากว่าวาสนาในอดีตถูกตัดขาดแล้ว เช่นนั้นก็ทำให้ทุกอย่างมันเริ่มขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เขาจะอยู่ตลอดไป และจะรอนางตลอดไป
…
แสงอรุณที่แสนโดดเดี่ยวมาอีกครั้ง ฝูชางลืมตาขึ้น สิ่งที่เข้ามาในสายตาคือยอดมุ้งสีเขียวที่คุ้นเคยดังเดิม
นับตั้งแต่ที่เขาหลับใหลไปสี่พันปีและตื่นขึ้นมานั้น ทุกอย่างยังไม่เปลี่ยนไป แต่ว่าทุกอย่างก็เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน หลังจากที่เขาจงซานถูกม่านพลังเมฆหมอกปกคลุม กระทั่งเทพขุนนางที่คอยลาดตระเวนก็ไม่ได้ออกมาอีก
วันนี้องค์หญิงมังกรเป็นอย่างไรบ้างในนั้น จะมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมามากไหม หากว่านางยิ้มได้เช่นนั้นก็ดีแล้ว
เขาลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว แล้วรีบร้อนกินข้าวเช้าพร้อมกับออกไปจากวังเทพบูรพา
เทพบูรพาที่ยังคงนิ่งเงียบกับเรื่องนี้มาตลอดหลายปีมานี้ในที่สุดก็อดไม่ไหวแล้วเอ่ยปาก “ฝูชาง องค์หญิงเสวียนอี่ตระกูลจู๋อินยอมลงไปตัดสัมพันธ์ที่โลกเบื้องล่างให้เจ้า จุดนี้ข้าขอบคุณนางมาก แต่ว่าข้าไม่อยากเห็นนางกับเจ้าไปมาหาสู่กันอีก เทพธิดาผู้หนึ่งหากว่าชอบเจ้าอย่างจริงใจ ไม่มีทางที่จะทรมานเจ้านานขนาดนี้หรอก”
ใช่ แต่ว่านางชอบเขาอย่างจริงใจ และทรมานเขาเหมือนกัน มักเป็นอย่างนี้เสมอ ก่อนหน้านี้อยากจะเอาของที่ดีงามที่สุดในโลกมาให้นาง ภายหลังกลับแค้นนางเสียจนอยากจะใช้มือบีบนางจนแตกสลายเป็นชิ้นๆ
ถึงตอนนี้ อารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดในชีวิตของเขาที่ปรากฏขึ้นและเคยได้รับมาต่างมอบให้องค์หญิงมังกรทั้งสิ้น เขาไม่อาจกลับไปโดดเดี่ยวเงียบเหงาดังเช่นแต่ก่อนได้อีกแล้ว หากว่าไม่เคยได้รักมาก่อน ก็ไม่มีทางถึงตาย แต่เมื่อได้ลิ้มลองรสชาติที่ฝังลึกถึงกระดูกนั่นแล้ว ทั้งชีวิตก็มีแต่จะต้องจมดิ่งลงไป
เทพบูรพากระแอมไอ “หลายวันก่อนจักรพรรดิแดงพูดถึงองค์หญิงเหยียนสยากับข้า ตอนนั้นนางลงไปตัดสัมพันธ์ที่โลกเบื้องล่าง ได้รับการปกป้องจากวิถีกระบี่ที่ตื่นขึ้นมาของเจ้า พอดีกับที่มหาเทพไป๋เจ๋อที่ช่วงนี้แอบเกียจคร้านไม่ยอมบรรยายบทเรียน ช่วงเวลาพักนี้ จักรพรรดิแดงจะพาบุตรีมาขอบคุณถึงวัง พรุ่งนี้เจ้าจะต้องอยู่ที่วังเทพบูรพา”
ในใจเขาก็ไม่ได้พอใจกับเหยียนสยานัก แต่ว่าทั้งสองตระกูลมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน จะอย่างไรเหยียนสยาก็ดีกว่าองค์หญิงมังกรที่นิสัยแปลกประหลาดนั่นมาก
ฝูชางออกจากวังเทพบูรพาเงียบๆ วิถีกระบี่ของเขานับตั้งแต่ที่ได้รับฉุนจวินมา ก็คอยปกป้องเทพธิดาเพียงองค์เดียวมาตลอด
ผ่านไปหนึ่งวัน ตระกูลจักรพรรดิแดงก็มาจริงๆ เมื่อตัดสัมพันธ์แล้วความเยาว์วัยบนใบหน้าของเหยียนสยาก็ลดลงไป กระทั่งคำพูดยังน้อยลงไปมาก ได้แต่นั่งในศาลาต้านเย่ว์นับเม็ดข้าวในชามไปเงียบๆ
ฝูชางนั่งอยู่ตรงข้าม ก็เพียงแค่ประคองจิบสุราหลัวฝูชุนเงียบๆ ไปหลายแก้วเท่านั้น พวกเขาทั้งสองไม่มีใครพูดจา
ฮูหยินจักรพรรดิแดงรู้สึกเก้อมาก จึงยิ้มเจื่อนแล้วลองหาหัวข้อสนทนาให้พวกเขา “พวกเจ้าทั้งสองคนเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน ทั้งยังไปตัดสัมพันธ์ที่โลกเบื้องล่างเหมือนกันอีก มีเรื่องพูดคุยกันมากมาย ทำไมแต่ละคนถึงเงียบกันอย่างนี้เล่า”
เทพบูรพากล่าวเสียงอ่อน “คิดว่าคงเพราะที่นี่มีผู้ใหญ่นั่งอยู่หลายคน ฝูชาง พาองค์หญิงเหยียนสยาไปเดินเล่นรอบวังเทพบูรพาเถอะ เจ้าเป็นเจ้าบ้าน”
ฝูชางวางแก้วสุราลงแล้วกล่าวเสียงเรียบ “ศิษย์พี่หญิงเหยียนสยาเชิญตามข้ามา”
ยามนี้คือต้นฤดูหนาว ทางเดินใหญ่ริมทะเลสาบเฉิงเจียงมีลมเย็น บนทะเลสาบจับตัวเป็นน้ำแข็งชั้นบาง พวกเขาทั้งสองเดินไปหนึ่งหน้าหนึ่งหลังอยู่นาน สุดท้ายก็เป็นเหยียนสยาที่ทำลายความเงียบนี้ “ศิษย์น้องฝูชาง ศิษย์พี่กู่ถิงเขา…ยังคงโทษข้าอยู่ไหม”
นางตัดสัมพันธ์และกลับไปยังตำหนักหมิงซิ่ง ก็ยังไม่กล้าไปคุยกับกู่ถิง เพราะครั้งที่แล้วนางสร้างเรื่องไว้ใหญ่เกินไปที่สวนดอกไม้ทิศใต้ กู่มีท่าทีเฉยชากับนาง ไม่ได้แลดูกระตือรือร้นอย่างแต่ก่อน ยิ่งเขาเป็นอย่างนี้ นางก็ยิ่งไม่กล้าไปขอโทษเขา
ฝูชางหยุดเท้าลงแล้วหันกลับไปมองนาง “กู่ถิงไม่ใช่คนที่จิตใจคับแคบ”
เหยียนสยาก้มหน้าลงเล่นนิ้วมือ “แล้ว แล้วเจ้าว่า หากว่าข้าไปขอโทษเขา เขาจะยกโทษให้ข้าไหม”
องค์หญิงผู้นี้ตัดสัมพันธ์แล้วคิดว่าคงแค่ตัดความคลั่งไคล้หลงใหลที่มีต่อเซ่าอี๋ออกเท่านั้น เห็นท่าทางก็นิ่งลงไปไม่น้อย แต่แท้จริงแล้วกลับยังเหมือนเดิม พอเจอเรื่องอะไรก็คว้าคนแล้วขอให้ช่วยเหลือ
ฝูชางคิด “คนที่เขาตำหนิน่าจะไม่ใช่ท่าน”
เหยียนสยาผ่อนลมหายใจออกมา ไม่รู้ทำไมจู่ๆ กลับเครียดขึ้นมาอีก “ถ้าอย่างนั้น รอให้อาจารย์เริ่มบรรยายบทเรียนอีกครั้ง ข้าจะไปขอโทษเขา…ศิษย์น้องฝูชาง เจ้าช่วยพูดแทนข้าหน่อยได้ไหม”
นางถามสองรอบแต่ไม่ได้การตอบกลับ กลับเห็นฝูชางจ้องมองไปยังปลาหลีฮื้อตัวใหญ่สองตัวกระโดดอยู่ในทะเลสาบเฉิงเจียงอย่างเหม่อลอย นางนึกขึ้นได้ว่าตอนที่ตนกลับมายังตำหนักหมิงซิ่งก็ได้ยินเรื่องเสวียนอี่พัวพันกับฝูชาง พูดตามตรง นางไม่แม้แต่จะคิดเลยว่าพวกเขาทั้งสองจะมารวมตัวอยู่ด้วยกันได้
คิดว่าคงเป็นองค์หญิงที่นิสัยประหลาดคนนั้นทำผิดกับเขาสินะ เหยียนสยาลอบเดา เหมือนกับที่เซ่าอี๋ทำกับนาง ทุกวันนี้เวลานึกถึงเซ่าอี๋ นางก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว กลับนึกย้อนไปถึงการพัวพันกันในวันเก่าๆ ก็แค่รู้สึกน่าขันเท่านั้น ดังนั้นเหยียนสยาจึงไม่ได้ห้ามความอยากรู้ของตนแล้วกล่าวถามไปว่า “ศิษย์น้องฝูชาง ระหว่างเจ้ากับศิษย์น้องหญิงเกิดอะไรขึ้น”
ใครจะรู้ว่าฝูชางกลับถามกลับมา “ศิษย์พี่เหยียนสยาตอนนี้รู้สึกอย่างไรกับเซ่าอี๋หรือ”
เหยียนสยายิ้ม “เจ้าเองก็ตัดสัมพันธ์แล้วเหมือนกันไม่ใช่หรือ แน่นอนว่าก็ต้องรู้ว่า เหมือนกับลมพัดผ่านกิ่งไม้ เมื่อถูกจับให้กลับมาตั้งตรงใหม่ก็ปกติแล้ว”
แต่ว่าเขาไม่ใช่ เส้นทางนับวันยิ่งสับสน นับวันยิ่งดิ่งลึกลงไป
ฝูชางหมุนตัวแล้วเดินไปด้านหน้าต่ออย่างเชื่องช้า “ใจข้ามีเจ้าของแล้ว หวังว่ามิตรภาพของเพื่อนร่วมสำนักกับศิษย์พี่จะดำรงต่อไปอย่างยาวนาน”
เหยียนสยาลอบถอนหายใจโล่งอก กล่าวตามตรง นางไม่ชินกับท่าทีเย็นชานิ่งเฉยของฝูชางเอาเสียเลย เพราะทำให้นางไม่กล้าพูดคุยยิ้มแย้มได้ตามใจ
เทพน้อยทั้งสองเดินเล่นรอบทะเลสาบเฉิงเจียงช้าๆ เรื่องนี้แน่นอนว่าไม่สำเร็จ จักรพรรดิแดงรู้สึกเสียดายมาก เดิมจักรพรรดิแดงชอบฝูชางมาก ใครจะรู้ว่าบุตรสาวกลับไปจับคู่เข้ากับเทพเสเพลตระกูลชิงหยางนั่นได้ กว่าบุตรสาวจะตัดสัมพันธ์กลับมาอย่างยากเย็นได้ ทางฝั่งฝูชางก็ไปพัวพันยากจะตัดขาดกับองค์หญิงตระกูลจู๋อินอีก
ดูท่าแล้วเรื่องแต่งงานคงไม่มีชะตาต้องกัน
ค่ำวันนั้นเทพบูรพาคุยกับฝูชางทั้งคืน สุดท้ายก็ยังไร้ผล คิดแล้วนิสัยดื้อดึงไม่ยอมหันหลังกลับมานี้คงเหมือนกันกับแม่ของเขา
…
เสียงฝนตกปรอยๆ ดังขึ้นข้างหู แสงอรุณเบาบางลอดผ่านม่านเข้ามา ฝนตกลงมาที่วังเทพบูรพายามรุ่งสาง เมื่อฝูชางตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่าหัวใจสงบนิ่ง
ในสายลมแฝงไปด้วยกลิ่นหอมที่คุ้นเคย เขาลูบข้างกายโดยไม่รู้ตัว แต่กลับพบว่าข้างกายว่างเปล่า ถึงได้ประหลาดใจที่พบว่า องค์หญิงมังกรที่มักนอนเร็วตื่นสายกลับไม่ได้นอนอยู่ข้างกาย
วันแต่งงานสามวันแขกเหรื่อทั้งหลายมาไม่ขาดสาย นางแทบจะไม่ได้นอนเท่าไหร่นัก วันนี้กลับตื่นเช้าขนาดนี้เชียว?
ฝูชางเดินเท้าเปล่าออกไปนอกห้อง ก็เห็นองค์หญิงมังกรสวมชุดคลุมของเขาไว้ นั่งพิงระเบียงไม้คดเหม่อมองแสงรุ่งอรุณที่ถูกเมฆฝนบดบัง สายฝนโปรยปรายลงมาทำให้เท้านางเปียกชื้น ผมยาวที่ปล่อยสยายลงมาก็เปียกจนมีน้ำหยดลงมา
ทิวทัศน์เช่นนี้ ต่อให้มองไปทั้งชีวิตก็ไม่เบื่อเลยจริงๆ
เมื่อรู้สึกได้ว่าเขาเข้ามาใกล้ เสวียนอี่ก็หันกลับไปยิ้มให้เขา เอาศีรษะพิงไหล่เขาอย่างนุ่มนวลพลางกล่าวเสียงเบาว่า “ข้ายังคิดว่าต้องย้ายไปวังเทพบูรพาที่ยอดเขาไท่ซานนั่นเสียอีก”
เดิมควรต้องย้ายไป แต่ว่าเขาไม่ย้าย
“ข้าชอบที่นี่มากกว่า” นางยกเท้าขึ้นแล้วสะบัดน้ำฝนเล่นไปมา “ครั้งแรกที่มาที่นี่ข้าก็ชอบแล้ว”
เขาก็เหมือนกัน ชอบที่นี่มากกว่า
“ดังนั้นเลยไปรื้อค้นห้องข้าจนเละเทะไปหมดอย่างนั้นหรือ” ฝูชางดีดนิ้วใส่หยดน้ำที่ผมของนางออกแล้วหัวเราะออกมา
นางหันหน้ากลับมา “ที่อื่นขอให้ข้าไปค้นข้ายังไม่ไปค้นเลย”
เขาเคาะศีรษะนางอย่างเบาที่สุด แล้วโอบไหล่นางเอาไว้อีกครั้ง พิงร่างกับระเบียงไม้คดมองท้องฟ้าที่มีสายฝนตกโปรยปรายลงมาด้วยกัน เสียงสายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างแผ่วเบานั่นกระทบไปบนใบไม้ของต้นไม้ที่สูงเทียมฟ้า กระเซ็นลงมาถูกร่างของเขาและนาง ทั้งยังสาดลงไปในใจเขาด้วย
สุขุมทว่าลึกล้ำ ราบเรียบและสงบสุข
“จะนอนต่ออีกสักครู่ไหม” องค์หญิงมังกรที่ยากจะตื่นเช้าในอ้อมอกเริ่มหาว
บังเอิญเลย เขาเองก็รู้สึกเกียจคร้านอย่างหาได้ยากขึ้นมาเช่นกัน ครั้งนี้ได้นอนหลับไปพร้อมกัน หากว่าตื่นขึ้นมาพร้อมกันได้ นั่นก็ยิ่งดีแล้ว