บุหลันเคียงรัก - บทที่ 191 หวังจะไปดูแลเจ้าพร้อมกับแสงจันทร์ (1)
โลกมนุษย์ยามพลบค่ำของฤดูร้อน ในเมืองคลื่นความร้อนระอุ ไอขุ่นมัวที่เบาบางกว่าปกติไม่น้อยราวกับควันสีเทาเบาบางวนเวียนไปมา บนต้นไม้เก่าแก่ข้างทางกลับมีไอบริสุทธิ์แน่นหนา ด้านหลังกิ่งไม้ที่มีใบไม้ดกรกครึ้มมีชายเสื้อสีขาวโผล่ออกมา ฝูชางกุมกระบี่ฉุนจวินเอาไว้ พิงกายกับต้นไม้ดูเวทีละครของโลกมนุษย์ที่ส่งเสียงอึกทึกครึกโครมตรงหน้าอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ภายในฉุนจวินมีเสียงขององค์หญิงมังกรที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นกันดังขึ้น “คนที่สวมชุดสีเขียวคนนั้นอยู่ด้วยกันกับคนที่สวมชุดลายใช่หรือไม่”
นางจำตัวละครโดยอาศัยจำจากเสื้อผ้าเอา
ฝูชางกล่าว “คนชุดลายตายแล้ว”
เสวียนอี่รีบเบนสายตาออกจากรูทันที แล้วกลับไปมองหนังสือบนมือ “ถ้าอย่างนั้นไม่ดูแล้ว”
ดีเลย เขาเองก็ไม่อยากจะดูเจ้าสิ่งที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นแปลกๆ นั่นเหมือนกัน
ฝูชางมองไปรอบๆ ฟ้ามืดแล้ว เป็นช่วงเวลาที่พวกปีศาจและเผ่ามารจะออกเคลื่อนไหว สิบวันก่อน พื้นที่ตรงนี้ส่งคำร้องไปยังประตูสวรรค์ทิศใต้ กล่าวว่าที่นี่มีเผ่าปีศาจร้ายกาจที่กินมนุษย์เป็นอาหารและเชี่ยวชาญการอำพรางตัวอยู่มาก มันกินมนุษย์ไปไม่ต่ำกว่าสิบคนแล้ว เขาได้รับคำฟ้องจึงมาเฝ้าอยู่ใกล้ๆนี้นานแล้ว จนตอนนี้ก็ยังไม่เกิดเหตุผิดปกติอะไร
เขาแบ่งจิตเทพสายหนึ่งเข้าไปในฉุนจวิน ปราณกระบี่แปลงเป็นมังกรของเขาถูกใช้ไปกับนางอย่างสิ้นเชิง ท่ามกลางแสงสีทองเจิดจรัสมีพรมเมฆาผืนหนึ่งปูลาดอยู่ ด้านซ้ายคือกล่องบ๊วยเคลือบน้ำตาลหนึ่งกล่อง ด้านขวาคือชาที่ยังมีไอร้อนกรุ่น รอบด้านเต็มไปด้วยหนังสือมากมายวางระเกะระกะ องค์หญิงมังกรขดตัวอยู่ในผ้าห่มทอเมฆาอย่างเกียจคร้าน วงแหวนทองบนหัวเบี้ยวแล้ว และกำลังอ่านหนังสือเรื่องปีศาจสาวกับบัณฑิตในมือที่นางชอบที่สุดในระยะนี้อย่างได้อารมณ์
ราวกับรู้สึกได้ว่าถูกมอง นางจึงปิดหนังสือ “ห้ามแอบดู”
ฝูชางเคาะไปบนฉุนจวินแล้วเก็บจิตเทพกลับมา เห็นฟ้าค่อยๆมืดลง เขาจึงพยายามเก็บพลังเทพและไอบริสุทธิ์เข้าไปแล้วกระโดดลงไปจากต้นไม้เบาๆ ก่อนจะเดินไปบนถนนขรุขระของโลกมนุษย์
เสียงขององค์หญิงมังกรดังลอดมาจากในฉุนจวินเบาๆ “ศิษย์พี่ฝูชาง ปีศาจกินมนุษย์ยังจับไม่ได้หรือ”
นางจะต้องอึดอัดในกระบี่แน่ โลกเบื้องล่างไอขุ่นมัวหนาแน่น เกล็ดมังกรยังไม่งอกจึงออกมาไม่ได้ ทั้งยังมีภารกิจทำให้ไม่สะดวกที่จะพานางไปท่องเที่ยวรอบๆ ได้ เสียงฝูชางนุ่มนวลลง “ทนอีกหน่อย ถ้าคืนนี้ยังไม่ได้เจอก็จะกลับแดนเทพแล้ว”
จริงๆ แล้วนางไม่ได้รีบ…เสวียนอี่ห่อตัวในผ้าห่มแล้วกระเถิบคลานไปยังรูนั่น หรี่ตาลงแล้วมองออกไปข้างนอก แสงไฟจากโคมของเมืองมนุษย์ราวกับดวงดาวบางตา ยิ่งเดินลงไปทีละน้อย บนถนนมีคนสัญจรน้อยมาก
หลายปีมานี้เพราะนางหลับอยู่ในฉุนจวินมาตลอด จึงทำให้แทบจะกลายเป็นแขกประจำของโลกเบื้องล่างแล้ว ดูอะไรก็ไม่น่าแปลกใจ ครั้นมองดูผ่านๆ ไปรอบหนึ่งแล้วจึงก้มหน้าอ่านเรื่องราวในหนังสือปีศาจสาวงามกับบัณฑิตต่อ ไม่รู้เห็นอะไรเข้า นางพลันเอ่ยปาก “ศิษย์พี่ฝูชาง ท่านยังไม่เคยพาข้าไปยังหอโคมเขียวเลย”
ฝูชางถูกนางถามเข้าก็หยุดเดินทันที สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “…ไปรู้จักคำนี้มาจากที่ไหน”
เสวียนอี่โบกหนังสือในมือช้าๆ แล้วกล่าวอย่างภูมิใจ “ในหนังสือมีสุวรรณคูหา ในตำรามีโฉมสะคราญงามดั่งหยก[1]”
คำพูดน่าสนใจของมนุษย์มีมากจริงๆ
“หอโคมเขียวคือหอที่ทาเป็นสีเขียวใช่หรือไม่” นางพ่นเม็ดบ๊วยออกมาเม็ดหนึ่ง แล้วหยิบใส่ปากเข้าไปอีกเม็ด “ในนั้นไม่ใช่ว่าเป็นที่อยู่ของกลุ่มสาวงามหรือ หากว่าใครสวยที่สุดก็จะมีเงินทองใช่ไหม”
ฝูชางหรี่ตาลงมองไปยังท้องฟ้ายามราตรีที่ห่างไกล ผ่านไปนาน จึงให้คำตอบ “…ใช่แล้ว”
เสวียนอี่มองไปนอกรู ดวงตาหลังผ้าสีดำจ้องไปยังใบหน้าของเทพบุตรชุดขาว “ตอนที่ท่านเป็นมนุษย์ท่านเคยไปหรือไม่”
ฝูชางขมวดคิ้วแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่เคยไปมาก่อน และไม่เคยคิดอยากจะไปด้วย”
กิจการที่ขายเนื้อหนังและกามารมณ์ เหล่านั้น เทพฝูชางที่มีประสบการณ์ลงมาเกิดเป็นมนุษย์แน่นอนว่าต้องเข้าใจความหมายในนั้น องค์หญิงมังกรผู้ไม่เคยลงมาเกิดเป็นมนุษย์กล่าวอย่างแปลกใจว่า “ทำไมถึงไม่ไปล่ะ หากว่าท่านไปน่าจะได้เงินมากมายไม่ใช่หรือ”
ฝูชางพบว่าตัวเขาตามความคิดอันเหนือล้ำของนางไม่ทันอีกแล้ว ‘ทำไมถึงไม่ไป’ คำถามนี้ยังไม่ต้องพูดถึง แต่ ‘ได้เงินมากมาย’ นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน นางเข้าใจอะไรผิดไปใช่หรือไม่
แล้วนางก็กล่าวต่อว่า “ข้าอ่านเจอในหนังสือ เขาบอกว่านางโลมล้วนแล้วแต่เป็นหญิงงามที่คัดเลือกมาอย่างยากลำบากทั้งนั้น หากว่าท่านไป จะต้องเป็นนางโลมอันดับหนึ่งของมนุษย์แน่ๆ และจะต้องรับเงินทองมากมายเลย”
จนถึงตอนนี้ นางยังจำได้ว่า เขาแค่ใช้รูปโฉมก็สามารถหลอกเอาขนหางจิ้งจอกสามเส้นจากองค์หญิงเก้าเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ได้แล้ว
ความรู้สึกในใจของฝูชางไม่เคยสับสนขนาดนี้มาก่อน ไม่รู้ควรจะดีใจ หรือควรจะโมโห หรือว่าถูกความคิดจินตนาการที่ไม่เหมือนใครของนางซัดจนลงไปกองที่พื้นดี
เขาเพียงก้าวเท้าเดินออกไปด้านหน้า แล้วกล่าวเสียงเย็นว่า “หยุดพูด จะทำภารกิจแล้ว”
บังเอิญจริง เพิ่งจะพูดจบไม่ทันไร ก็รู้สึกว่าในลมยามค่ำคืนมีคลื่นไอปีศาจสั่นไหวน้อยๆมาจากที่ไกลๆ ฝูชางรีบกลายเป็นลมบริสุทธิ์ไล่ตามไปอย่างรวดเร็วทันที
วกๆวนๆออกไปจากเมือง บินอยู่นาน ไอขุ่นมัวโดยรอบก็ค่อยๆเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ใกล้กันนี้คือสถานที่รกร้างว่างเปล่าแห่งหนึ่ง เต็มไปด้วยความอาฆาตก่อนตายของมนุษย์ที่ยังหลงเหลืออยู่ คิดว่าน่าจะเคยเป็นสนามรบของมนุษย์มาก่อน สถานที่เช่นนี้เป็นที่ที่เทพและปีศาจต่างหลบเลี่ยง ปีศาจกินมนุษย์มาหลบอยู่ที่นี่นับว่าชาญฉลาดมาก
ลมเย็นจากที่ไกลๆ กลุ่มนั้นพัดมาใต้ต้นไม้ใหญ่สีดำสนิททั้งต้นต้นหนึ่ง ก่อนจะปรากฏเป็นร่างปีศาจออกมา เป็นปีศาจขาเดียวซานเซียว ในมือของเขาจับมนุษย์ที่หมดสติไปแล้วสองคนเอาไว้ เขานั่งลงใต้ต้นไม้ที่เต็มไปด้วยกองกระดูกสีขาว พลางถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “คำสั่งปราบปีศาจจากแดนเทพยกเลิกไปหลายปีแล้ว เหล่าเทพต่างคงกำลังยุ่งวุ่นวายกับการเสพสุข ไม่ทันได้สนใจมารตัวเล็กๆ อย่างเจ้าหรอก อดีตเซียนพิภพอย่างเจ้าเองก็อย่าดิ้นรนอีกเลย กลายเป็นมารแล้วก็ดี ดูสิ ไอบริสุทธิ์เหลือเพียงแค่นี้แล้ว ถูกเทพลาดตระเวนพบเข้าก็มีแต่ต้องตายสถานเดียว สู้ไปเที่ยวอย่างอิสระไม่ได้ ทำไมต้องหาเรื่องลำบากด้วย”
ฝูชางยังไม่สนใจเขา แล้วมองไปรอบๆ ที่นี่ต้นไม้ใบหญ้าแห้งเหี่ยว เป็นพื้นที่รกร้างไร้สิ่งมีชีวิต มันคือแคว้นต้าเหลียงอันหรูหราโอ่อ่าในวันวาน เวลาบนโลกมนุษย์ผ่านไปเร็วนัก พื้นที่แห้งเฉาง่าย และมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ทำให้เขารู้สึกปลงอนิจจังขึ้นมา
ต้นไม้ใหญ่สีดำสนิททั้งต้นนั้น ก็คือต้นท้อเซียนพิภพในศาลเทพบูรพา ลำต้นถูกไอขุ่นมัวกลืนกินแล้ว มีเพียงกิ่งใกล้ๆ นี้เท่านั้นที่ยังมีไอบริสุทธิ์หลงเหลืออยู่บ้าง
ปีศาจซานเซียวผู้เป็นราชครูจูเสียแห่งต้าเหลียงฉีกเสื้อผ้าของมนุษย์ข้างกายช้าๆ เลือกส่วนอ่อนนุ่ม แล้วกล่าวต่อไปว่า “ที่นี่คือที่รกร้างแล้ว ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะต้องจบสิ้นแน่ เป็นเซียนพิภพมีอะไรดีกัน เหนื่อยแทบเป็นแทบตาย เศษแผ่นดินตกลงมาทุกอย่างก็ไม่เหลือแล้ว…”
พูดแล้วเขาก็หยิบเอามนุษย์ที่ดูเนื้ออ่อนนุ่มขึ้นมา กำลังคิดจะเขมือบคำใหญ่ พลันมีเสียงลมบริสุทธิ์โถมเข้ามาตรงหน้า เขารู้สึกมีแสงสีทองสว่างวาบ พริบตาเดียวก็ถูกมังกรสีทองขนาดใหญ่ตัวหนึ่งคาบเอาไว้แล้วลากไปกับพื้นยาวกว่าสิบจั้ง เจ็บจนมันร้องเสียงโหยหวนออกมา
จากนั้นคาถาชาดสีแดงกับโซ่คล้องปีศาจก็รัดเขาเอาไว้อย่างแน่นหนาตั้งแต่หัวจรดเท้า ปีศาจซานเซียวถึงได้พบว่ามังกรสีทองตัวนั้นก็คือปราณกระบี่แปลงเป็นมังกรของตระกูลหวาซวี ส่วนเทพนักรบชุดขาวที่เย็นชาเบื้องหน้า ก็คือเทพฝูชางที่ถูกเขาแก้แค้นเมื่อคราวลงมาเป็นมนุษย์ตอนนั้น ใบหน้าของเขาพลันซีดเหลืองทันที ไม่รู้ว่าเจ็บหรือตกใจกันแน่
“เผ่าปีศาจจับมนุษย์กินคือโทษหนัก” ฝูชางสะบัดแขนเสื้อ มังกรทองก็กัดปีศาจซานเซียวขาเดียวที่ตกใจจนโง่งมตนนั้นไว้ในปาก แล้วลอยไปอยู่ข้างตัวเขา “กลับไปรับโทษที่ฝ่ายอาญากับข้า”
เขาเดินไปใต้ต้นท้อแก่นั้นช้าๆ เงยหน้ามองอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวเสียงอบอุ่นว่า “ตอนนั้นที่ข้าลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ต้องขอบคุณท่านเซียนพิภพที่คอยดูแลข้าอย่างดี”
กิ่งไม้ต้นท้อสีดำสนิทสั่นไหวน้อยๆ ไม่รู้ว่าทอดถอนใจ หรือว่าหวาดกลัว หรือบางที อาจเพราะรู้สึกว่าในที่สุดก็ได้ปลดเปลื้องเสียที ตอนนั้นเศษทะเลหลีเฮิ่นกระจายไปทั่ว บังเอิญกับที่ต้นท้อเซียนพิภพแปลงเป็นร่างคนครั้งที่สามสิบหกพอดี ด้วยไม่อยากถูกเศษแผ่นดินแทงเข้าไปภายในต้นท้อ จึงถูกไอขุ่นมัวย้อมเข้า ทำให้ไม่อาจปรากฏร่างเซียนพิภพได้อีก
เขาบำเพ็ญตบะจากต้นท้อเป็นเซียนพิภพ ความยากลำบากในยามนั้นยากจะกล่าวได้ แล้วจะยอมเป็นมารอย่างเต็มใจได้อย่างไรกัน จึงได้แต่ต้องอยู่ในดินแดนรกร้างนี้ต่อสู้กับไอขุ่นมัวในร่างอย่างยากลำบาก จนกระทั่งตอนนี้ เขาถูกไอขุ่นมัวกัดกินร่างไปกว่าครึ่งแล้ว แทบจะไม่เหลือความหวังอะไรอีก คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับคนรู้จักเก่าเสียได้
ฝูชางยกมือขึ้นตบที่กิ่งต้นท้อเบาๆ เศษแผ่นดินที่จมลึกเข้าไปในต้นท้อถูกดีดออกมา และถูกฝักกระบี่ฉุนจวินที่แปลงเป็นมังกรทองใช้หางฟาดจนกลายเป็นฝุ่นผง
พลังเทพของทองและไม้หมุนวนเป็นกังหันคลื่นน้ำ ต้นไม้ใบหญ้าที่แห้งเหี่ยวกลายเป็นสีเขียวขจีขึ้นมาในพริบตา ไอบริสุทธิ์เปี่ยมล้นไปทั่วทั้งดินแดนรกร้างแห่งนี้
ฝูชางมองไปยังต้นท้อแก่ที่ยังคงเป็นสีดำสนิทแล้วกล่าวว่า “หวังว่าเจ้าจะขจัดไอขุ่นมัวได้ในเร็ววัน และนำสิ่งดีงามมาสู่ดินแดนนี้”
คราวนี้ไม่ต้องอาศัยควันธูปจากศาลเทพบูรพาอีกแล้ว ตัวเขาสร้างศาลต้นท้อขึ้นมาสักหลังก็แล้วกัน
เทพบุตรชุดขาวที่ทำภารกิจเสร็จสิ้นขี่ลมเหาะขึ้นไป บินอยู่นานก็ยังไม่เห็นองค์หญิงมังกรพูดอะไรออกมา จึงแบ่งจิตเทพสายหนึ่งเข้าไปในฉุนจวิน แต่กลับเห็นว่านางหนุนหนังสือปีศาจสาวและบัณฑิตหลับไปแล้ว เพราะพลังเทพเบาบาง นางคิดจะนอนก็นอน ทนสักนิดก็ไม่ไหว จึงได้แต่หวังว่าครั้งนี้อย่าหลับไปหลายวันอีก ไม่อย่างนั้นคงได้แต่ต้องอึดอัดอยู่ในฉุนจวินแล้ว
—
[1]ในหนังสือมีสุวรรณคูหา ในตำรามีโฉมสะคราญงามดั่งหยก : หมายถึง การเป็นผู้มีความรู้ก็จะมีทรัพย์สมบัติและได้ภรรยาที่งดงาม