บุหลันเคียงรัก - บทที่ 192 หวังจะไปดูแลเจ้าพร้อมกับแสงจันทร์ (2)
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ความมืดที่งดงามค่อยๆ ถอยออกไป ลมบริสุทธิ์ที่สะอาดสดชื่นของแดนเทพโถมมาที่หน้า ผ้าปิดตาสีดำขยับ สัมผัสกับขนตาคันขยุกขยิก เสวียนอี่อดที่จะคลึงมันไม่ได้
เหนือศีรษะมีเสียงทุ้มต่ำของฝูชางดังขึ้น “ตื่นแล้วหรือ”
นางใช้แขนเสื้อปิดปากหาว หรี่ตามองไปรอบๆ แต่เห็นว่าที่นี่คือระเบียงคดวกวนที่ทั้งแคบทั้งยาวแห่งหนึ่ง เห็นกันมากที่แดนเทพ ดอกจื่อเถิง [1] ทิ้งตัวลงมาเป็นกลุ่มๆ กลิ่นหอมกำจายไปทั่ว นอกระเบียงคดคือทะเลเมฆเหนือสวรรค์ สถานที่ขึ้นชื่อที่สุดของวังสวรรค์ ภายในทะเลเมฆเลี้ยงมัจฉาล้ำค่ามากมายนับไม่ถ้วนเอาไว้ ดอกกล้วยไม้มากมายขนาดใหญ่หลากสีลอยอยู่ในทะเลหมอก มองเห็นได้อย่างเลือนราง
ฝูชางนั่งลงบนราวไม้ มือหนึ่งจับนางไว้ มืออีกข้างก็กำเบ็ดตกปลาคันหนึ่ง พลางมองไปยังเบ็ดตกปลาที่ลอยไปมาตามลมอย่างเอื่อยเฉื่อย
เขาตกปลาด้วยหรือนี่ เสวียนอี่เบิกตากว้าง
ราวกับรู้สึกถึงความประหลาดใจของนาง ใบหน้าเขาจึงมีรอยยิ้มบางปรากฏขึ้น “ท่านพ่อกล่าวว่า เวลาข้าทำอะไรยังมีจุดที่รีบร้อนไม่ละเอียดอยู่ จึงให้ข้าเรียนรู้การตกปลา เพื่อฝึกนิสัย”
ลมที่พัดมาปะทะใบหน้าเย็นสบายเป็นพิเศษ เสวียนอี่ขดตัวอยู่ในอ้อมอกแล้วบิดขี้เกียจอย่างปล่อยตัว นางลูบไปยังดอกจื่อเถิง ที่ทิ้งตัวลงมาบนศีรษะแล้วกล่าวถามอย่างเกียจคร้านว่า “ทำไมถึงมาที่วังสวรรค์ได้”
เพราะอยู่ในฉุนจวิน ร่างของนางจึงสวมเพียงชุดผ้าบางตัวหนึ่งเท่านั้น ทะเลเมฆสว่างมาก ชุดบนร่างถูกแสงสะท้อนจนราวกับโปร่งแสงอย่างนั้น ฝูชางเปิดสาบเสื้อชุดสีเขียวออก แล้วดึงนางมาห่อไว้ในอก “เจ้านอนหลับไปหกวัน สองวันก่อนคืองานอภิเษกขององค์ชายเจ็ดของจักรพรรดิสวรรค์ งานยังคงจัดอยู่ด้านหน้า”
งานอภิเษกหรือ เสวียนอี่ก้มหน้าลงมองร่างของตนอย่างไม่รู้ตัว เขากลับพานางที่ไม่ได้แต่งเนื้อตัวอย่างนี้ออกมาร่วมงานอภิเษก!
นางโมโหจนอยากจะมุดกลับเข้าไปในฉุนจวินใหม่ “ข้าไม่อยากแต่งตัวอย่างนี้ออกไป”
ฝูชางหลุดยิ้มทันที “ไม่ได้ออกไปข้างหน้าหรอก อย่าขยับ ปลาตกใจจนหนีหมดแล้ว”
ระหว่างพูดกัน ในทะเลเมฆก็มีปลาหลีฮื้อสีทองขนาดใหญ่มากตัวหนึ่งกระโดดขึ้นมา ทำให้น้ำสาดกระเซ็น เสวียนอี่พลันย้ายความสนใจออกไปทันที “ปลาหลีฮื้อสีทองทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
คางของฝูชางเกยอยู่บนกระหม่อมนางเบาๆ “ของบ้านเราเอง”
เมื่อห้าปีก่อนได้จัดงานหมั้นกันแล้ว แต่นางก็ยังพูดจาปากไม่มีหูรูดเช่นนี้เหมือนเดิม
“ในทะเลสาบเฉิงเจียงเดิมมีปลาหลีฮื้อสีทองอยู่สองคู่ ภายหลังงานอภิเษกของจักรพรรดิสวรรค์ ท่านปู่ทวดจึงส่งอีกคู่ให้มาเป็นของขวัญ และถูกเลี้ยงไว้ในทะเลเมฆเหนือสวรรค์แห่งนี้”
เห็นนางสนใจทะเลเมฆเหนือสวรรค์ เขาจึงเล่าเรื่องปลาและสัตว์ล้ำค่าเหล่านั้นให้นางฟังเสียงต่ำ เพิ่งจะเล่าไปถึงตำนานสมัยยุคโบราณที่เคยมีปลาหลีฮื้อสีทองกระโดดข้ามประตูมังกรและกลายเป็นมังกร พลันได้ยินเสียงร้องอย่างดีใจและประหลาดใจดังขึ้นจากระเบียงคด “เทพฝูชาง! ท่านก็มาแล้วหรือ”
ฝูชางหันกลับไป กลับเห็นเงาร่างสีชมพูใต้ดอกจื่อเถิงเข้ามาใกล้ ด้านหลังมีหางยาวขนาดใหญ่สีขาวราวกับหิมะเก้าหาง มันยังคงเลือนรางคล้ายเมฆหมอกเช่นเคย นี่ก็คือองค์หญิงเก้าที่พบที่เขาชิงชิวแห่งเผ่าจิ้งจอกสวรรค์เมื่อนานมาแล้ว เขาจึงพยักหน้าเป็นการทักทายตามมารยาท
องค์หญิงเก้ายังคงเหมือนเช่นแต่ก่อน เห็นเขาก็พลันหน้าแดง หางก็หลุบลงต่ำ แล้วกล่าวเสียงเบา “หลังจากที่ได้เจอกับเทพฝูชางที่ชิงชิวตอนนั้นแล้ว เชี่ยเซินก็ยากจะลืมเลือน วันนี้ได้มาพบกันที่นี่ ในใจของเชี่ยเซินดีใจอย่างมาก”
ฝูชางกล่าวเสียงเรียบว่า “องค์หญิงเก้าเกรงใจไปแล้ว”
องค์หญิงเก้ากุมใบหน้าแดงก่ำของตนไว้ แล้วเริ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นว่า “ไม่ได้เจอมานานหลายปี ท่าทางของท่านยิ่งสง่างามกว่าแต่ก่อน…เทพฝูชาง หากว่าท่านยิ้มให้กับเชี่ยเซินอย่างแต่ก่อน เชี่ยเซินยินดีเอาขนหางอีกสามเส้นให้ท่าน…”
ยังไม่ทันกล่าวจบ กลับได้ยินเสียงอ่อนหวานนุ่มนวลเสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหน้าของฝูชาง “ที่แท้ขนหางสามเส้นครั้งที่แล้วศิษย์พี่ฝูชางก็ได้มาจากรอยยิ้มเองหรอกหรือ”
องค์หญิงเก้ามัวแต่ยินดีที่ได้เจอกับฝูชาง จึงไม่ทันใดสังเกตเห็นว่าข้างกายเขายังมีเทพธิดาอีกองค์อยู่ด้วย เมื่อมองจ้องไป จึงได้เห็นว่าชุดคลุมสีเขียวที่สูงศักดิ์ของฝูชางกลับห่อเงาร่างเพรียวบางร่างหนึ่งเอาไว้ภายใน นางมีผมยาว ใบหน้าขาวซีด ดวงตาคาดผ้าสีดำ แม้ว่าจะมองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง แต่เค้าโครงรูปโฉมกลับงดงามมาก เป็นหญิงงามที่หาได้ยากยิ่งคนหนึ่ง
องค์หญิงเก้าก้าวถอยหลังไปสองก้าว และรีบเก็บงำความยินดีที่เห็นได้ชัดเจนบนใบหน้าลงไปทันที เมื่อหลายปีก่อนได้ยินว่าฝูชางหมั้นหมายกับองค์หญิงเสวียนอี่ของตระกูลจู๋อิน เหล่าเทพธิดาที่ใจสลายต่างพากันคาดเดากันว่า องค์หญิงตระกูลจู๋อินคงจะใช้ชื่อเสียงการกู้โลกรวมกับวิธีการที่แข็งกร้าวมาบีบบังคับจนทำให้เทพบุตรองค์นี้ต้องยอม แต่ว่าคราวนี้เห็นท่าทางของทั้งสองแล้ว กลับไม่เหมือนกับข่าวลือเลยสักนิด
“ข้าพูดเล่นเท่านั้นเอง” นางยิ้มแห้งแล้วก้าวถอยไปหลายก้าว “เชิญทั้งสองท่านชื่นชมทิวทัศน์อันงดงามต่อเถอะ ข้าขอตัวก่อน”
เสวียนอี่หรี่ตามองหางที่ใหญ่โตสีขาวทั้งเก้าขององค์หญิงเก้าหายไปตามทางระเบียงคดเล็กที่วกวน ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ฮึ่มออกมาเบาๆ “ข้าใส่ชุดผ้าขี้ริ้วยังงดงามกว่านางเลย”
นางยังคงมีโทสะกับการที่ตนไม่ได้แต่งตัว
ฝูชางเพียงแค่หัวเราะออกมา เห็นผมยาวของนางยุ่งเหยิง เขาจึงใช้มือสางให้เป็นระเบียบ นางขดตัวนิ่งอยู่ในอ้อมอกเขา แล้วเกี่ยวเอาลายปักเมฆาที่ปกเสื้อออกมาทีละเส้นๆ ใบหน้ายื่นเข้าไปใกล้ กลิ่นหอมพ่นออกไป เขาอดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลงไปจูบที่ปลายจมูกของนาง
กลับได้ยินนางกล่าวเสียงหวาน “ท่านจูบข้าครั้งนี้ ข้าไม่มีเกล็ดมังกรสามเกล็ดให้ท่านหรอกนะ”
พูดจบนางก็หัวเราะออกมาก่อนแล้ว
ซุกซนจริงๆ ฝูชางจัดการจับผมที่เป็นระเบียบแล้วของนางไปไว้ด้านหลัง เขาไม่มีอารมณ์ตกปลาอีกแล้ว มือทั้งสองประคองใบหน้าของนางแล้วโน้มศีรษะลง ประทับจุมพิตลงไปบนริมฝีปากของนาง
…
อยู่ในวังสวรรค์หนึ่งคืน เสวียนอี่นอนหลับไม่ค่อยสงบนัก ระหว่างหลับสนิทกลับรู้สึกราวกับใต้ผิวหนังตรงซี่โครงเจ็บปวดขึ้นมา เมื่อหายเจ็บปวดแล้วก็จะคันอย่างรุนแรง นางจึงเกาไม่หยุดมือ แต่กลับไม่ได้บรรเทาลงเลย
ตอนที่นางเกาครั้งที่ห้า ฝูชางก็กดมือนางไว้ไม่ให้ขยับ แล้วค่อยๆ แกะเสื้อผ้าออกน้อยๆ ตรงซี่โครงนางถูกเกาจนแดงหมดแล้ว เหมือนเลือดจะออกแล้ว
เขาขมวดคิ้ว กำลังจะถามออกไปกลับได้ยินเสียง “ปุ๊” องค์หญิงมังกรบนเตียงพลันกลายเป็นมังกรขนาดใหญ่สีดำสนิททั้งตัวตัวหนึ่ง แล้วตัวก็หดเล็กลงเรื่อยๆ กลายเป็นปลาดุกอุยยาวหนึ่งฉื่อตัวหนึ่ง
ปลาดุกอุยไม่มีเกล็ดตัวนี้หงายท้องขึ้น แล้วก้มหน้าลงมองใต้ซี่โครงอยู่นาน พลันเอ่ยปากออกมาว่า “ไอหยา เหมือนว่าเกล็ดมังกรจะขึ้นแล้ว”
เพิ่งจะพูดจบ ก็เห็นด้านข้างตัวของปลาดุกอุยตัวน้อยสีดำมีจุดน้ำหมึกเล็กๆ หลายจุด และมีเกล็ดมังกรเงาเป็นประกายสีดำสนิทขึ้นมาหนึ่งแผ่น
องค์หญิงมังกรตื่นขึ้นมาได้สิบปี เกล็ดมังกรเกล็ดแรกก็งอกออกมาอย่างไม่มีการบอกกล่าว
นางยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ ออกแรงเคาะลงไปบนเกล็ดนั้น มือข้างหนึ่งพลันยื่นออกไปขวางการกระทำของนางไว้ แล้วกุมมือนางเอาไว้ในมือเบาๆ ฝูชางใช้ฝ่ามือประคององค์หญิงมังกรตัวน้อยนี้เอาไว้ ความรู้สึกเยือกเย็นและอ่อนนุ่มที่ห่างหายไปนาน เขาใช้ปลายนิ้วแตะลงไปบนเกล็ดมังกรเงางามเป็นประกายแผ่นนั้นอย่างระวัง มันจั๊กจี้เสียจนนางกลิ้งไปกลิ้งมาบนฝ่ามือ กำลังจะเปลี่ยนเป็นร่างคน พลันรู้สึกว่ามีนิ้วหนึ่งแตะลงมาบนศีรษะเกลี้ยงเกลาเบาๆ
ศีรษะที่เคยเกลี้ยงเกลาของนางมีเขามังกรเล็กๆ สองอันนูนขึ้นมา ทุกวันนี้ในที่สุดก็ดูเป็นรูปเป็นร่างบ้างแล้ว ฝูชางลูบเขามังกรที่คล้ายกับปะการังนั้นเบาๆ ดวงตาดำขลับฉายแววยิ้มออกมา สัมผัสที่มือดีขนาดนี้เลยหรือนี่
เทพมังกรที่มีเกล็ดมังกรงอกออกมาน้อยๆ บนฝ่ามือยืดร่างยาวขึ้น พลันมุดเข้าไปในปกเสื้อเขา ก้อนเย็นๆ ขดตัวอยู่ที่หน้าอก แล้วกล่าวออกมาเสียงเนิบนาบว่า “อนุญาตให้ลูบได้ครู่เดียวเท่านั้น”
ฝูชางถูเขามังกรอันเล็กของนาง คิดว่าทำเช่นนี้นางคงรู้สึกสบาย นางจึงพ่นลมหายใจออกมา หนุนนอนบนผมของเขาแล้วพลันกล่าวว่า “ศิษย์พี่ฝูชาง ทำไมครั้งที่แล้วท่านถึงยิ้มให้องค์หญิงเก้า”
…ยังจะพูดอย่างนี้อีกหรือ คิดว่านางคงจะลืมการกระทำชั่วร้ายในตอนแรกของตนเองไปแล้ว
“เจ้าอยากรู้หรือ” เขาถามกลับอย่างนุ่มนวล
เสวียนอี่พยักหน้า
เขาไม่พูดอะไร ปลายนิ้ววาดไปบนหน้าท้องเกลี้ยงเกลาของนาง มันจั๊กจี้จนศีรษะนางร่วงจากที่ปกเสื้อมุดไปถึงแขนเสื้อ มีเสียงดังปุ๊ แล้วกลายเป็นร่างคน พลันถูกเขาคว้าจับที่ข้อมือเอาไว้แล้วลากกลับไป นางถูกบีบเอว ทำเอานางเกือบจะหัวเราะจนร้องไห้ออกมาแล้ว ฝูชางกล่าวเสียงเรียบ “หัวเราะได้ไม่เลว”
เจ้านี่ร้ายเกินไปแล้ว อาศัยตอนที่นางอ่อนแอที่สุดรังแกนาง รอให้ต่อไปนางร้ายกาจอย่างเดิมแล้ว จะต้องแก้แค้นคืนถึงจะได้ เสวียนอี่ออกแรงข่วนมือเขาหลายที
ขนตาของนางยังมีหยาดน้ำตาหลงเหลืออยู่จากการหัวเราะเมื่อครู่นี้ เขาจูบลงไป ช่วงนี้เพราะนางไม่มีเกล็ดมังกร นิสัยชั่วร้ายของเขากลับมากกว่าแต่ก่อนมาก จูบไปจูบไปก็อดไม่ได้ที่จะไล้ไปจนถึงริมหู แล้วทิ้งรอยช้ำเอาไว้รอยหนึ่ง
“เจ็บไหม” เขาสัมผัสไปที่รอยช้ำนั่นแล้วกล่าวถามเสียงเบา
นางพยักหน้าอย่างแรง
“จริงหรือ” เขาใช้มือสอดผ่านชุดไปลูบไปที่หน้าอกของนาง ผิวร้อนจัดแล้ว
ไม่จริง เสวียนอี่โอบรอบคอของเขา อ้าปากแล้วกัดลงไปที่หูของเขา
เมื่อความบ้าคลั่งอันชุลมุนนั่นผ่านไปแล้ว นางคล้ายหลับคล้ายไม่หลับ ได้ยินฝูชางพูดอะไรกับนาง กล่าวประมาณว่า “กลับเขาจงซาน” ใช่แล้ว ในที่สุดนางก็มีเกล็ดมังกรแล้ว ต้องให้ชิงเยี่ยนกับท่านพ่อดีใจเสียหน่อย ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ก็กลับไปดู เมื่อดูแล้ว นางยังอยากไปกับเขาอีกหลายที่ ใช่แล้ว หอโคมเขียวที่โลกเบื้องล่างนางก็ยังไม่ลืม จะต้องหาโอกาสไปดูนางโลมเสียหน่อยว่างดงามขนาดไหน ยังมีอีก ครั้งที่แล้วเขาพูดว่าเกาะสวรรค์ในทะเลทั้งสี่เหล่านั้นก็น่าสนใจมาก นางอยากจะไปดู
แต่ว่าหากเขายุ่งเกินไป ก็คงได้แต่ต้องอ่านหนังสืออยู่ในฉุนจวินอย่างเดียว มองเขาปราบเผ่ามารที่กระจัดกระจายเหล่านั้นก็น่าสนใจไม่น้อย
เสวียนอี่หลับไปอย่างมีความสุข
ครั้นตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ร่างของนางก็อยู่ในสระเลี้ยงมังกรบนยอดเขาจงซานแล้ว ท่านพ่อ ชิงเยี่ยนและฝูชางอยู่ริมสระไม่รู้กำลังพูดคุยอะไรกัน เมื่อเห็นนางตื่นแล้ว ฝูชางก็กล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “เจ้าอยู่ในสระเลี้ยงมังกรรอให้เกล็ดงอกดีๆ หากมีเวลาข้าจะมาเยี่ยมทุกวัน”
ก็ได้ เสวียนอี่พ่นฟองน้ำออกมาภายในสระเลี้ยงมังกรที่เต็มไปด้วยไอน้ำเย็นฉ่ำ การเดินทางที่มีความสุขเหล่านั้นได้แต่ต้องรอไว้วันหลังแล้ว
—
[1] ดอกจื่อเถิง : คือ ดอกวิสทีเรีย