บุหลันเคียงรัก - บทที่ 2 ยากจะเป็นคู่แต่งงานที่มีความสุข
ราชสีห์เก้าเศียรถูกจูงไปพักที่คอก เหล่าข้ารับใช้ติดตามมากมายที่องค์หญิงน้อยพามาด้วยต่างกระจายตัวออกไปอยู่กันตรงริมเกาะ ล้อมรอบเกาะเทพของราชาบุปผาจนกลายเป็นเหมือนถังโลหะอย่างไร้สุ้มไร้เสียง
การกระทำเช่นนี้ทำให้เหล่าทวยเทพมากมายต่างไม่พอใจ แอบส่งเสียงบ่นกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ยังไม่อยากกลับ เทพฝูชางและองค์หญิงแห่งเขาจงซานสุดท้ายแล้วจะชอบพอกันหรือไม่ ทุกคนล้วนให้ความสนใจในเรื่องนี้
เพราะเห็นเทพฝูชางเดินนำองค์หญิงน้อยเข้าไปในสวนดอกไม้ของราชาบุปผา ที่แห่งนั้นหากไม่ได้รับคำเชิญของราชาบุปผา ก็จะไม่สามารถเข้าไปได้โดยเด็ดขาด เหล่าทวยเทพจึงต้องพยายามมองตามช่องเข้าไปด้านใน แต่ละองค์ต่างคอยื่นคอยาวราวกับห่าน
ยิ่งเห็นดอกไม้สวยสดงดงามภายในสวนอย่างเต็มตา ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความชื่นชอบในดอกไม้ที่มีมากมายของราชาบุปผา สายลมพัดผ่านหอบกลิ่นหอมระลอกแล้วระลอกเล่ามา พาให้จิตใจเบิกบานและผ่อนคลาย
องค์หญิงน้อยเดินได้ช้ามาก อาจเป็นเพราะไม่มีข้ารับใช้คอยประคอง นางจึงยิ่งดูไม่มีแรงเดิน เทพฝูชางต้องเดินๆ หยุดๆ และหันหน้ามายืนรออยู่บ่อยครั้ง
ไม่มีผู้ใดพูดอะไร ดูเหมือนว่าเทพฝูชางไม่มีแม้แต่ความสนใจในการเลือกหัวข้อสนทนา นิ่งเฉยตลอดทางดั่งคนเป็นใบ้
ทว่าเพียงแค่ชั่วขณะ พลันได้ยินเสียงเสวียนอี่บ่นอย่างแผ่วเบาและนุ่มนวลอยู่ด้านหลังว่า “ทางเดินเส้นนี้เต็มไปด้วยเศษหิน ขรุขระมากเหลือเกิน ข้าเดินไม่คุ้น ทำให้ท่านพี่ต้องคอยดูแล ขอให้ข้าได้พักสักครู่เถิด”
ฝูชางหยุดอยู่ตรงบ่อเมฆริมทางเดินโดยไม่พูดแม้สักคำ เหลือบมองทางเดินน้อยใต้เท้าแวบหนึ่งขณะหมุนกาย ผิวด้านบนทางเดินเป็นหินทางช้างเผือกที่ขัดเงาจนราบเรียบเป็นอย่างยิ่ง ขรุขระหรือ
เสวียนอี่ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดรั้วกั้นหลายสิบรอบ แล้วจึงจะนั่งลงไปอย่างนุ่มนวล ทั้งยังโยนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นทิ้งเข้าไปในบ่อเมฆ
ฝูชางที่ยืนอยู่ข้างกายนางจึงเอ่ยเสียงต่ำว่า “บ่อเมฆในสวนของราชาบุปผาเลี้ยงปลาสวยงามไว้มากมาย องค์หญิงทำเช่นนี้ ดูจะไม่เหมาะสมนัก”
เสวียนอี่เงยหน้าขึ้นช้าๆ มองเขาแล้วพูดว่า “ท่านพี่พูดมีเหตุผล ภรรยาลูกหลานตระกูลจู๋อินแห่งเขาจงซาน บ่อเมฆเล็กๆ เช่นนี้ไม่เหมาะกับผ้าเช็ดหน้าของภรรยา เป็นเพราะภรรยาไม่ทันคิดให้รอบคอบ ปลาสวยงามในบ่อเมฆนี้วันนี้นับว่าโชคดีไป”
ฝูชางไม่ได้พูดอะไรอีก แต่เสวียนอี่กลับเปิดปากช้าๆ พูดต่อว่า “ภรรยาถูกเลี้ยงดูอยู่แต่ในห้องมาโดยตลอด เรื่องโลกภายนอกยังไม่รู้ประสา เรื่องเกี่ยวกับสามีก็เช่นกัน ก็ได้แค่ฟังท่านพ่อกล่าวถึงอยู่บ้าง สามีอายุน้อยผู้สง่าผ่าเผย ทั้งยังเคยแสดงระบำกระบี่ในงานเลี้ยงฉลองหนึ่งบทเพลง น่าเสียดายที่ภรรยามิอาจได้เห็นถึงความองอาจห้าวหาญของท่านด้วยตาตนเอง ทว่า ท่านพ่อและท่านเทพบูรพาต่างก็กล่าวถึงตลอด ภรรยานับถือ ตอนนี้จึงมีคำพูดอยากบอกให้สามีฟัง”
นางพูดอย่างเชื่องช้าแต่นุ่มนวล แต่ละถ้อยคำดูจริงจัง กล่าวออกมาอย่างยาวนาน ฝูชางอดทนฟังนางพูดอย่างสงบจนจบ เสียงตอบกลับจึงเย็นลงไปอีกหลายส่วน “องค์หญิงไม่ผิดที่จะกล่าวออกมาตามที่คิด”
เสวียนอี่ตอบเสียงเรียบ “สามีเป็นถึงบุตรชายคนเดียวของเทพบูรพาที่ไม่นานก็ต้องสืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดา ระบำกระบี่เป็นหน้าที่ของพลทหารชั้นต่ำ สามีเป็นเทพเซียนกระทำเช่นนี้ดูจะไม่เหมาะสมนัก”
ตั้งแต่ต้นจนจบสีหน้าท่าทางของนางดูสงบนิ่งเป็นอย่างมาก ไม่สนใจต่อสายตาอันล้ำลึกของเขาที่เข้มขึ้นเรื่อยๆ และกล่าวอีกว่า “วันนี้ภรรยาได้มาพบสามี ในใจรู้สึกนับถือเป็นอย่างยิ่ง การได้ครองคู่กันกับสามี ถือว่าเป็นความปรารถนาของภรรยา ดังนั้นจึงหวังว่าสามีจะคิดถี่ถ้วนแล้ว ภรรยาเพียงหวังว่าสามีของข้าจะเป็นเทพเซียนผู้มีการศึกษามีความคิด แต่กลับไปรำกระบี่อย่างพลทหาร”
ฝูชางขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วก็คลายออกทันที น้ำเสียงเฉยเมย “เรื่องนี้ดูเหมือนองค์หญิงจะกล่าวเร็วไป ผ่อนคลายสักหน่อย ดอกโบตั๋นเริงระบำในสวนของราชาบุปผาใกล้วันที่จะผลิบานแล้ว องค์หญิงสนใจไปชมด้วยกันหรือไม่”
เสวียนอี่ตอบรับอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก เดินตามหลังเขาต่อไปอย่างเชื่องช้า ครึ่งชั่วยามจึงเดินสุดทางเดินยาว ใช้เวลาอีกครึ่งชั่วยามกว่าจะถึงสวนโบตั๋น
เทพผู้พิทักษ์ดอกไม้เห็นเขาทั้งสองจึงรีบโค้งตัวอย่างเคารพนบนอบและเปิดประตูสวนออกในทันที แต่เมื่อเห็นดอกโบตั๋นจำนวนนับไม่ถ้วนใบสวนเบ่งบานต้อนรับ ลู่ไปตามสายลมแห่งวสันตฤดู ชวนให้หลงใหล สีม่วงหนึ่งกลุ่ม สีชมพูหนึ่งกอง ราวกับหมู่เมฆาสีสันสวยสดที่ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ทว่าบนแท่นแก้วหลากสีที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวตรงกลางกลับปลูกเพียงต้นโบตั๋นต้นหนึ่ง ขนาดดอกใหญ่ไม่เกินฝ่ามือ แต่กลับมีชั้นกลีบมากมายไม่น้อยกว่าหนึ่งพันชั้น สีของมันโปร่งใสราวกับน้ำค้างแข็ง บนกลีบผลึกน้ำแข็งยังมีเส้นใบละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วน สีดั่งหยกมรกต สมกับเป็นโบตั๋นเริงระบำที่สามหมื่นปีถึงจะบานสักครั้งในตำนาน
“เป็นโบตั๋นที่งดงามยิ่ง”
เสวียนอี่กล่าวชมหนึ่งประโยค ยกแขนขึ้นโดยพลัน แขนเสื้อผ้าไหมยาวหรูหราเลื่อนขึ้น เผยให้เห็นท่อนแขนบอบบางขาวสะอาด หมายจะไปเด็ดดอกโบตั๋นอันล้ำค่าดอกนี้
ผู้พิทักษ์ดอกไม้ตื่นตระหนกหน้าซีดในทันที รีบพูด “องค์หญิงไม่ได้ขอรับ!”
องค์หญิงแปลกใจ “เหตุใดถึงไม่ได้”
ฝูชางที่อยู่ด้านหลังรีบบอกอย่างรวดเร็ว เสียงเย็นดั่งน้ำแข็ง “ดอกโบตั๋นเริงระบำเป็นรากวิญญาณแห่งฟ้าดิน สามหมื่นปีถึงจะบานสักครั้ง องค์หญิงจะเห็นแก่ตนเอาไปเป็นของตนเองได้อย่างไร”
ประกายตาของเสวียนอี่พลันสั่นไหว คล้ายกับคับข้องใจอยู่บ้าง เอ่ยเสียงเบา “แต่ว่า ภรรยาชอบ นี่ถือเป็นวาสนาของเจ้าดอกนี้ รากวิญญาณแห่งฟ้าดิน ตระกูลจู๋อินแห่งเขาจงซานอย่างไรเสียก็ต้อง…”
ในที่สุดฝูชางไม่รอให้นางพูดอย่างเชื่องช้าจนจบ ถอยหลังหลายก้าว ประสานมือกล่าวลา “ข้ายังมีธุระ ไม่สามารถอยู่กับองค์หญิงได้นาน ต้องไปแล้ว”
พูดจบเขาก็ไม่รอนางตอบกลับ สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
เสวียนอี่ไม่ขยับ แขนของนางยังยกอยู่ ห่างไปไม่กี่ชุ่น นิ้วมืออันบอบบางก็จะสัมผัสกลีบดอกโบตั๋น ฝ่ายผู้พิทักษ์ดอกไม้ทั้งหวาดกลัวทั้งสับสน อ้อนวอนไม่ขาดเสียง “ขอองค์หญิงเห็นใจด้วย! ดอกโบตั๋นดอกนี้เป็นที่โปรดปรานที่สุดของราชาบุปผา!”
หลังจากนั้นสักครู่ มือคู่นั้นที่ทำให้คนหวาดผวาของเสวียนอี่ในที่สุดก็ถูกดึงกลับมาช้าๆ นางจัดแขนเสื้ออย่างเอื่อยเฉื่อย พลันเห็นผู้พิทักษ์ดอกไม้ที่รอดพ้นจากภัยพิบัติจึงแย้มยิ้มน้อยๆ “ดอกโบตั๋นเริงระบำช่างสมคำร่ำลือจริงๆ น่าเสียดาย”
‘น่าเสียดาย’ สามคำนี้ทำให้ผู้พิทักษ์ดอกไม้เหงื่อตก แต่เห็นองค์หญิงน้อยองค์นี้เริ่มดื่มด่ำดอกโบตั๋นอื่นในสวนอย่างสงบเสงี่ยม ท่านเทพฝูชางโกรธจนกลับไปแล้ว นางยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ไม่แม้กระทั่งอับอาย ทั้งยังไม่โกรธเคือง เดินไปทั่วสวนโบตั๋นหนึ่งรอบ ชื่นชมโบตั๋นทุกชนิด ถึงค่อยเดินออกจากสวนช้าๆ
เหล่าทวยเทพที่เดิมทีคอยเฝ้าต่างกระจัดกระจายราววิหคและสัตว์ป่า ที่ดีดพิณก็ดีดพิณต่อ ที่เต้นรำก็เต้นรำต่อท่ามกลางดงดอกสาลี่ การระบำรำฟ้อนเฉลิมฉลองมีความฝืนใจอยู่บ้าง
สายตาทุกคนล้วนแอบจับจ้องไปที่ร่างองค์หญิงน้อย หวังว่าจะมองเห็นร่องรอยการเปลี่ยนแปลงบนหน้านาง จะอย่างไรองค์หญิงผู้งดงามสูงศักดิ์ก็สามารถควบคุมตนเองได้ดีเลิศ สงบสุขุมจนกลัวว่าแม้ปักเข็มลงไปบนร่างก็ไม่อาจสะดุ้งสะเทือน
เหล่าผู้ติดตามมากมายยังตั้งแถวอีกครั้งอย่างเป็นระเบียบเหมือนตอนที่มา ออกจากเกาะเทพของราชาบุปผาด้วยท่าทีที่ทำให้คนประหลาดใจ ทิ้งไว้แต่กลุ่มทวยเทพที่ยังคงจ้อกแจ้กจอแจ ต่างถกเถียงกันถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นอย่างตื่นเต้น
ราชยานสีทองมรกตแวววาวเคลื่อนกลับเข้าไปในทะเลเมฆแล้ว เสวียนอี่หยิบบ๊วยที่ดองจนได้ที่ในตลับหยกบนมือเทพธิดารับใช้ พอหยิบเข้าปาก รสที่ทั้งเปรี้ยวทั้งหวานพานทำให้นางส่งเสียงอืมออกมาคราหนึ่งอย่างมีความสุข
เมื่อเห็นท่าทางสบายใจขององค์หญิง เทพธิดารับใช้จึงถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “องค์หญิง วันนี้พบกับท่านเทพฝูชาง ท่านรู้สึกอย่างไรเจ้าคะ”
เสวียนอี่กัดบ๊วยเม็ดนั้นอย่างใจจดใจจ่อ ชะงักไปสักพักแล้วจึงตอบว่า “เกรงว่ายากจะสำเร็จ”
เทพธิดารับใช้ตกตะลึง “แต่…นี่เป็นพระราชโองการขององค์จักรพรรดิสวรรค์…”
เสวียนอี่มองนางอย่างไร้เดียงสา “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว”
เทพธิดารับใช้ไม่เข้าใจความหมายของนาง จึงตอบอย่างใสซื่อว่า “สองหมื่นสามพันปี”
เสวียนอี่คายเม็ดบ๊วยออกมาด้วยท่วงท่าที่นุ่มนวลที่สุด ตอบเสียงเรียบ “เจ้าอายุสองหมื่นสามพัน ปีแล้วยังไม่แต่งงาน ข้าปีนี้เพิ่งเก้าพันเจ็ดร้อยปี ดังนั้นไม่ต้องรีบ”
เทพธิดารับใช้ตกตะลึง “ทาสรับใช้จะเอามาเปรียบเทียบกับองค์หญิงได้อย่างไร! ยิ่งไปกว่านั้นฮูหยินท่าน…มหาเทพเร่งร้อนหวังให้ท่านรีบหาที่พำนักพักพิงให้เจอในเร็ววัน”
เสวียนอี่ไม่ตอบ เพียงเปิดหน้าต่างให้ลมพัดเข้ามาพาให้มวยผมเสียทรง
“ในรถร้อนอบอ้าว” พลางพูดทันทีว่า “หยุดรถ ข้าอยากจะออกไป”
ขบวนผู้ติดตามมากมายพลันหยุดลงทันที เทพธิดารับใช้พยายามห้ามปรามองค์หญิงผู้ดื้อดึงองค์นี้ “องค์หญิง! ท่านมีชาติกำเนิดสูงส่ง จะเปิดเผยตัวตนต่อที่สาธารณะอย่างเทพทั่วไปได้อย่างไร…”
เสวียนอี่ไม่รอให้นางพูดจบ เปิดประตูราชยานไปก่อนแล้ว เมฆหมอกเข้ามาปกคลุมร่างบอบบางของนางในทันที ลมแรงพัดชุดอันหรูหราของนางให้สะบัดไหวขึ้นลง ดูแล้วบริสุทธิ์เป็นธรรมชาติ
“ข้าเป็นลูกหลานตระกูลจู๋อินมังกรแห่งจงซาน” นางเห็นว่าเทพธิดารับใช้จะกังวลมากเกินไป จึงพูดอย่างไม่รีบร้อน
เทพธิดารับใช้รีบพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น องค์หญิงท่านไม่อาจ…”
“เจ้าเคยเห็นมังกรนั่งรถไหม” เสวียนอี่ขยิบตา พลันขี่ลมโผนทะยานออกไปในทันที พริบตาเดียวก็บินหายไปจนมองไม่เห็นแล้ว