บุหลันเคียงรัก - บทที่ 20 ความลับยามฟ้าสาง
นับแต่มหาเทพไป๋เจ๋อรับศิษย์ใหม่เข้าสำนัก ภายในลานสามร้อยลานมักไม่เคยขาดเสียงหัวเราะ บรรดาศิษย์ที่ให้ความสำคัญกับหลักคุณธรรมย่อมไม่มีทางปล่อยให้ศิษย์ร่วมสำนักคนใหม่ต้องโดดเดี่ยวหรือตะขิดตะขวงใจสักครั้ง
ครั้งนี้ท่านมหาเทพรับศิษย์ติดกันถึงสองคน ตั้งแต่วันแรกที่มาก็ก่อเรื่องใหญ่แล้ว คนหนึ่งอาจหาญให้เทพเจ้าอารมณ์อย่างเฟยเหลียนไล่ตามจากวังวั่งซูมาจนถึงตำหนักหมิงซิ่ง อีกคนก็ไม่เห็นหัวใครทั้งนั้น ตัดผมเทพเฟยเหลียนต่อหน้าธารกำนัลไปกว่าค่อนศีรษะ
พฤติกรรมต่อต้านเช่นนี้ เหล่าศิษย์ล้วนไม่เคยได้ยินมาก่อน ด้วยเหตุนี้นี่จึงเป็นวันแรกที่ภายในลานสามร้อยลานเงียบสงบหลังจากผ่านความวุ่นวายเละเทะมา
เสวียนอี่กลับนอนหลับสนิทที่สุดในคืนนี้ เสียงลมหนวกหูนอกตำหนักไม่สามารถรบกวนนางได้ พอตื่นขึ้นมาจากฝันหวานนั้น ฟ้ายังไม่สว่าง แต่ก็ใกล้เวลาตีระฆังพอดี
นางนอนอยู่บนเตียงน้ำแข็งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน หยิบเสื้อมาคลุมแล้วผลักประตูออกไป
ถนนสายเล็กที่ขนาบด้วยดอกทานตะวันสีม่วงบานสะพรั่ง เดินไปไม่กี่นาทีก็ถึงหอระฆัง สายลมหนาวในยามเช้าที่พัดมาทำให้นางรู้สึกสบายใจ ยกแขนเสื้อขึ้นปิดปากแล้วอ้าปากกว้างหาว หลังจากนั้นนางก็เห็นเงาคนยืนอยู่ด้านล่างหอระฆัง
อย่าบอกนะว่าศิษย์พี่เซ่าอี๋ยินดีจะมาตีระฆังแทนนางทุกวันจริงๆ
เสวียนอี่เดินฝ่าสายหมอกบางๆ ทว่ากลับเห็นเพียงสนามหญ้าที่มีดอกไม้บานสะพรั่งด้านล่างหอระฆังถูกปูด้วยพรมที่ถักทอจากเมฆอย่างหรูหรา บนพรมวางกาน้ำชาลวดลายสวยงาม ในกาหยกเขียวนั้นต้องเป็นชาทรายทะเลแน่นอน นางได้กลิ่นหอมกรุ่นแล้ว แล้วยังมีกล่องอาหารสวยงามขนาดเล็กอีกหลายกล่อง ที่สำคัญ คล้ายว่าบนพรมทอด้วยเมฆเป็นลายดอกไม้นั่น ภายในมีสีสันละลานตาอยู่เต็มไปหมด ดูเป็นของว่างที่น่ากินที่สุด
จู่ๆ นางก็รู้สึกโกรธขึ้นมา นี่มันอะไรกัน ฟ้ายังไม่ทันสว่างก็กินดีขนาดนี้เสียแล้ว!
“ศิษย์น้อง ทำไมถึงเป็นเจ้าได้เล่า”
มีเสียงผู้หญิงลอยมาจากบนพรมที่ทอจากเมฆดังขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ เสวียนอี่พยายามละสายตาจากขนมเหล่านั้น เห็นบนพรมมีสาวงามใบหน้ากลมคนหนึ่งยืยอยู่ ราวกับว่านางตั้งใจแต่งตัวมาอย่างพิถีพิถัน ชุดชาวสวรรค์ปักเลื่อมดาวพราวระยับทั้งชุด ทัดดอกไม้สดที่หูทั้งสองข้าง นั่นคือองค์หญิงน้อยเหยียนสยาแห่งจักรพรรดิแดง
เนื่องจากเห็นว่าคนที่เดินมาไม่ใช่เซ่าอี๋ แต่เป็นเสวียนอี่ สีหน้าเหยียนสยาจึงเปลี่ยนไปไม่ค่อยดีนัก หลังจากที่นางฝืนใจถามนางออกไป ก็เหลียวมองไปรอบๆ ก่อนจะถามขึ้นอีก “ศิษย์น้องมาทำอะไรที่นี่ หรือว่าเจ้าก็มาหาเซ่าอี๋เช่นกัน…”
“มาตีระฆัง” เสวียนอี่อธิบายจุดประสงค์ของตนเองอย่างชัดเจน
เหยียนสยาเปลี่ยนสีหน้าอย่างอดไม่ได้ “แต่ตีระฆังเป็นหน้าที่เซ่าอี๋ ใครใช้ให้เจ้ามา”
“ท่านอาจารย์” เสวียนอี่ตอบคำอย่างรวบรัดต่อไป
เหยียนสยากระทืบเท้า “เจ้ากลับไปเถอะ เซ่าอี๋จะต้องมา! ตีระฆังเป็นหน้าที่ของเขา! “
เสวียนอี่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “ข้าเดาว่าวันนี้เขาคงไม่มาแล้วล่ะ”
เหยียนสยายังคงยืนกราน “เขาต้องมาแน่”
เสวียนอี่เอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ “หรือว่าศิษย์พี่หญิงกับศิษย์พี่เซ่าอี๋นัดพบกันที่นี่”
เหยียนสยาหน้าแดงขึ้นมาในบัดดล ทว่าแวบเดียวก็กลับขรึมลง พูดเสียงเบา “ไม่ได้นัด เมื่อวานเขากับศิษย์พี่หญิงฟูหลัวถูกท่านอาจารย์ใช้ไปทำธุระข้างนอก กว่าจะกลับก็ดึกมากแล้ว ข้าไปหาเขาที่เรือนตันเฟิ่ง แต่เห็นว่าศิษย์พี่หญิงฟูหลัวยังอยู่ ข้าจึงมารอเขาอยู่ที่นี่”
เสวียนอี่พยักหน้า “ดี ท่านรอไปก็แล้วกัน”
นางขึ้นไปบนหอระฆัง รอจนกระทั่งถึงเวลาที่ต้องตีระฆัง หลังจากนั้นก็เดินลงจากหอระฆัง สุดท้ายยังเห็นเหยียนสยายืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“ศิษย์พี่หญิง ข้าขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
ก่อนไปเสวียนอี่ใช้สายตาลิ้มรสชานั้นนิดหนึ่ง ขณะที่กำลังเดินจากไป จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเหยียนสยาร้องไห้สะอึกสะอื้นดังมาจากเบื้องหลัง
นางจึงจำต้องชะงักฝีเท้าลง มองไปยังสาวงามที่ร้องไห้อย่างยากจะเก็บอาการด้วยความลำบากใจ นางจำเป็นต้องปลอบเหยียนสยาหรือไม่ ถ้าปลอบแล้ว หญิงสาวตรงหน้าจะให้นางดื่มชาทรายทะเลหรือเปล่า
“ขายหน้าเจ้าเสียแล้ว…” เหยียนสยาพยายามใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา ทว่ายิ่งเช็ดกลับยิ่งไหลมากขึ้น
เสวียนอี่ส่ายหัว “อยากร้องไห้ก็ร้อง อยากหัวเราะก็หัวเราะ มีอะไรน่าอายกันศิษย์พี่หญิง”
นางพูดพลางค่อยๆ เดินขึ้นมาบนพรมที่ทอจากเมฆ ทรุดกายนั่งลงตรงหน้าถ้วยชานั้น รินชาสองถ้วย แล้วยกถ้วยหนึ่งส่งให้เหยียนสยาด้วยความนอบน้อม “ศิษย์พี่ ดื่มชากินของว่างช่วยคลายความกังวลใจเถิด”
เหยียนสยามัวยุ่งอยู่กับเช็ดน้ำตา “ข้าไม่อยากกิน ไม่มีอารมณ์ เจ้ากินเถอะ”
ให้ความเคารพย่อมมิสู้การทำตามอย่างเชื่อฟัง
เสวียนอี่ค่อยๆ เลือกจิ้มขนมดอกท้อชุบแป้งเคลือบน้ำตาลขึ้นมาเป็นอย่างแรก พิศดูมันอย่างพิถีพิถัน แล้วจึงป้อนเข้าไปในปากคำใหญ่ หอมแต่ไม่ฉุน หวานแต่ไม่เลี่ยน ทว่าข้อด้อยของชาทรายทะเลคือเข้มข้นเกินไป ควรต้องเป็นชาสุริยันจรัสแสงจากทะเลประจิมถึงจะดี
เหยีนสยาร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่พักใหญ่ ไม่รอให้นางปลอบ สุดท้ายหญิงสาวก็ร้องจนร้องต่อไม่ได้อีก เช็ดน้ำตาบนใบหน้าพลางเอ่ยด้วยเสียงขึ้นจมูก “ศิษย์น้อง เจ้า เจ้าคิดว่าเซ่าอี๋เป็นอย่างไร เขาไม่เคยใส่ใจข้าเลยใช่หรือไม่”
เสวียนอี่คิด ‘ศิษย์พี่เซ่าอี๋ไม่รู้ว่าเจ้ารอเขาที่ไหน หน้าที่ตีระฆังไม่ใช่ของเขาอีกแล้ว คำพูดของศิษย์พี่หญิงออกจะเข้าข้างตัวเองไปสักหน่อย’
ในที่สุดเหยียนสยาก็มีสีหน้าดีขึ้นบ้าง ก้มหัวใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่ เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าศิษย์พี่กู่ถิงเป็นอย่างไรบ้าง”
เสวียนอี่แปลกใจอยู่บ้าง “ท่านถามข้าเรื่องพวกนี้ไปทำไม”
เหยียนสยาขบริมฝีปากล่าง พูดเสียงต่ำ “ข้าถามเจ้า ถ้าหากว่าเทพธิดาองค์หนึ่งได้ตกลงหมั้นหมายแล้ว แต่ยังคงไปพลอดรักอยู่กับเทพองค์อื่นเสมอ หวงชายคนนั้น ไม่ยอมให้คนอื่นเข้าใกล้ เจ้าคิดว่านางเป็นอย่างไร”
เสวียนอี่เข้าใจแล้ว “อ๋อ ท่านพูดถึงศิษย์พี่หญิงฟูหลัว? “
เหยียนสยาตกใจ “เจ้าก็รู้เหมือนกันหรือ เจ้าเองก็ดูออกใช่ไหม”
เสวียนอี่ยิ้ม “ท่านพูดว่าหมั้นหมายแล้ว ศิษย์ในสำนักท่านอาจารย์ที่เป็นคู่หมั้นกันก็มีเพียงศิษย์พี่กู่ถิงกับศิษย์พี่หญิงฟูหลัวเท่านั้น หรือท่านพูดถึงเทพธิดาองค์อื่น เช่นนั้นข้าก็ไม่รู้จักแล้ว”
เหยียนสยาเริ่มขบริมฝีปากอีกครั้ง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยว่า “ถะ ถูกแล้ว! ข้าหมายถึงนาง! นางกับศิษย์พี่กู่ถิงอยู่ในสถานะหมั้นหมายกันชัดเจน กลับยังหวงเซ่าอี๋เสมอ ไม่ยอมให้เขาพูดคุยใกล้ชิดกับเทพธิดาอื่น เจ้าไม่รู้สึกว่านี่มันจะมากไปหน่อยหรือ! “
เสวียนอี่พูดขึ้นอย่างประหลาดใจ “พวกท่านทุกคนล้วนมีอายุมากกว่าข้า นางเป็นคนอย่างไร ท่านควรรู้มานานแล้ว เหตุใดวันนี้ยังต้องมาถามข้าอีก”
เหยียนสยาน้ำตาคลอ พูดเสียงแผ่ว “คนที่เซ่าอี๋ชอบคือนาง ข้าแค่กำลังคิดว่า อย่างไรเสียศิษย์พี่หญิงฟูหลัวต้องแต่งงานกับศิษย์พี่กู่ถิงแน่ ข้าอยู่ข้างเซ่าอี๋มาโดยตลอด ต้องมีสักวันที่เขารู้สึกว่าข้าดีพอ ทว่าไม่กี่วันก่อนเซ่าอี๋เข้ามาใกล้ชิดข้าครู่หนึ่ง นางก็โกรธแล้ว เมื่อวานข้าไปหาเซ่าอี๋ที่เรือนตันเฟิ่ง นางอยู่ตรงนั้นไม่ยอมไปไหนเลย ซ้ำยังชักสีหน้าเย็นชาใส่ข้าอีก ศิษย์น้อง เจ้าไม่รู้สึกว่านางทำเกินไปหรือ”
เสวียนอี่เคี้ยวของว่างคำสุดท้ายแล้วดื่มชาทรายทะเลอีกอึก พ่นลมหายใจออกมาอย่างพอใจ แล้วจึงเอ่ยปากขึ้น “ไม่รู้สึก”
เหยียนสยาร้อนรน “ชีวิตของเจ้าข้าเคยได้ยินมาก่อนแล้ว เจ้าน่าจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องน่าสะอิดสะเอียนพรรค์นี้ไม่ใช่หรือ?! “
เสวียนอี่พูดเรียบๆ “ไม่รู้ว่าชีวิตความเป็นมาของข้ามีอะไรจึงทำให้ศิษย์พี่เหยียนสยาเกิดความเข้าใจผิดขึ้น ชายหญิงสมัครใจรักใคร่กัน วิธีการพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องธรรมดา ศิษย์พี่หญิงฟูหลัวมีวิธีเหนือชั้น ทั้งที่หมั้นกับคนอื่นแล้วยังสามารถมัดใจศิษย์พี่เซ่าอี๋ไว้ได้ เนื่องจากท่านมีวิธีที่สู้นางไม่ได้ จึงมานินทานางลับหลัง เยี่ยงนี้จะมีประโยชน์อันใดอีก”
เหยียนสยาคิดไม่ถึงว่านางจะกล้าพูดคำแทงใจดำพวกนี้ออกมา ตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง
เสวียนอี่ลุกขึ้นคำนับอย่างสง่างาม “ขอบคุณศิษย์พี่สำหรับชาชั้นเลิศและของว่างรสเยี่ยม วันหน้าข้าจะต้องเลี้ยงท่านบ้าง ขอตัวก่อน”
เหยียนสยาร้องไห้คร่ำครวญ “พวกเจ้าอยู่ฝั่งนางกันทั้งนั้น! “
เสวียนอี่ถอนหายใจ “ศิษย์พี่ ท่านไม่รู้สึกหรือว่าศิษย์พี่เซ่าอี๋คิดว่าใครคือคนสำคัญที่สุด”
“คนที่เซ่าอี๋ชอบคือศิษย์พี่หญิงฟูหลัว…” เหยียนสยายังคงพูดต่อไป “แต่ระหว่างศิษย์พี่หญิงฟูหลัวกับเขามันเป็นไปไม่ได้”
จริงหรือ ไฉนนางจึงไม่รู้สึกว่าเทพบุตรตระกูลชิงหยางมิใช่เทพที่จะลุ่มหลงในรักจนถึงขนาดนี้เล่า
เสวียนอี่มองใบหน้านางที่อาบไปด้วยน้ำตา พูดเสียงอ่อนโยน “ศิษย์พี่หญิงร้องไห้แบบนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไร ข้าเคยได้ยินว่าความรักของชายหญิงนั้นเปรียบดุจสงคราม แต่ละฝ่ายควรใช้วิธีห้ำหั่นกันถึงจะถูก ศิษย์พี่หญิงงดงามขนาดนี้ แล้วยังไม่มีคู่หมั้นหมาย เหตุใดจึงมาเศร้าโศกอยู่เช่นนี้เล่า”
เหยียนสยานิ่งงันไปครู่ใหญ่ ในสายตาปรากฏแววระยับประหลาดขึ้นทันที พูดเสียงต่ำ “ไม่เลว เจ้าพูดถูก! ข้าจะแพ้ให้นางได้อย่างไร! ข้ามีวิธีสู้กับนางแน่นอน! “
ราวกับว่าจะมีเรื่องยอดเยี่ยมอะไรบางอย่างเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น…
เสวียนอี่มองเงาหลังเด็ดเดี่ยวนั้นของนาง ก่อนจะยกแขนเสื้อขึ้นบังปากพลางเรอออกมาอย่างอิ่มหนำสำราญ