บุหลันเคียงรัก - บทที่ 21 เหยียบเรือสองแคม
ยามเฉิน [1] ตรง เหล่าศิษย์ทยอยมารวมกันที่หน้าตำหนักเหอเต๋อ ในใจเสวียนอี่ยังคงคำนึงถึงเหยียนสยา มองเหม่อไปยังกลุ่มคนอยู่พักใหญ่ ทันใดนั้นพลันรู้สึกได้ว่ามีเงาร่างหนึ่งเข้ามาใกล้ตน เสียงหวานปนอบอุ่นดังขึ้น “ปลาดุกอุยน้อย วันนี้ข้าตื่นสาย ไม่ได้ระวังเรื่องตีระฆัง เจ้าอย่าถือโทษโกรธข้าเลยนะ”
เสวียนอี่รู้สึกขบขันขึ้นมา หันหน้าไปมองเทพเซ่าอี๋ตระกูลชิงหยางในชุดหรูหราที่อยู่เบื้องหน้า สีหน้าเขาเต็มไปด้วยแววขอโทษ ดูจริงใจหาใดเปรียบ
“ศิษย์พี่เซ่าอี๋คิดมากไปแล้ว” เสวียนอี่ค่อยๆ เอ่ยขึ้น “ข้าได้ยินมาว่าเมื่อวานนี้ท่านออกไปทำธุระแทนท่านอาจารย์ กลับมาก็ดึกมากแล้ว เลยตัดสินใจว่าไม่อยากรบกวนศิษย์พี่ ต่อไปหน้าที่ตีระฆังแต่ละวัน ก็ให้เป็นหน้าที่ข้าเถอะเจ้าค่ะ”
เซ่าอี๋ชะงักไป ยิ้มพลางเอ่ย “เจ้าได้ยินใครพูดมา”
เสวียนอี่ตอบ “เช้านี้ข้าพบศิษย์พี่หญิงเหยียนสยาที่ด้านล่างหอระฆัง นางบอกข้า”
เซ่าอี๋กระพริบตาปริบๆ ยิ้มหวาน “นางคงเสียใจมากแน่เลย”
เสวียนอี่ถอนหายใจ “ใช่แล้ว นางร้องไห้อยู่นาน ยังดีที่ชาทรายทะเลนั้นกับของว่างไม่เสียเปล่า”
เซ่าอี๋พูดอย่างตกใจ “ตายแล้ว นางเตรียมชาทรายทะเลกับของว่างมาด้วยหรือนี่ น่าเสียดายน่าเสียดาย เสร็จเจ้าปลาดุกอุยน้อยเลยน่ะสิ! รีบบอกข้ามา เหยียนสยาเตรียมของว่างอะไรบ้าง มีขนมดอกท้อชุบแป้งเคลือบน้ำตาลหรือไม่”
“มี” นางงอนิ้วนับเลข “ขนมน้ำผึ้งหยกเย็น ขนมดอกกุ้ยพันหน้า ขนมเปี๊ยะดอกเถิง [2] …”
เซ่าอี๋ทนฟังต่อไปไม่ได้ ตวาดว่า “ไม่ต้องสาธยายแล้ว! ตอนนี้เหยียนสยาเด็กคนนั้นอยู่ที่ไหน ข้าจะไปคิดบัญชีกับนางแน่! “
เขามองไปรอบกาย หน้าตำหนักเหอเต๋อมีเพียงศิษย์สิบสามคน เหยียนสยาไม่อยู่ เขาอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นอย่างแปลกใจ “นางยังไม่ตื่นอีกหรือ”
คงจะไปวางแผนทำการใหญ่ระดับสะเทือนฟ้าสะท้านดินอยู่กระมัง เสวียนอี่ตั้งตารอคอยอย่างเต็มที่
“ปลาดุกอุยน้อย” เซ่าอี๋เรียกนางเนิบๆ ดวงตาหงส์ยาวรีนั้นคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้มจับจ้องมองนาง “เมื่อเช้าเจ้าไปพูดอะไรกับเหยียนสยา”
เสวียนอี่ตอบ “ข้าให้กำลังใจศิษย์พี่หญิงให้ไปตามเกี้ยวท่านเจ้าค่ะ”
เซ่าอี๋จับผ้าคล้องแขนของหญิงสาว เอ่ยเสียงอ่อน “ลำบากเจ้าแล้ว อุตส่าห์คิดถึงข้าเช่นนี้”
เสวียนอี่จับชายแขนเสื้อเขา เอียงศีรษะคลี่ยิ้มบาง “ศิษย์พี่เซ่าอี๋จะขอบคุณข้าอย่างไร”
เขาไม่พูดอะไร เอาแต่ยิ้มเท่านั้น ส่วนนางก็ยิ้มสดใสพลางมองเขา วันนี้นางสวมเพียงกระโปรงยาวสีชมพูปะการัง คล้องผ้าไหมคล้องแขนสีขาวหิมะผืนใหม่ เรือนผมยาวยังคงประดับเพียงรัดเกล้าทองคำเช่นเดิม บนกายไม่มีเครื่องประดับชิ้นอื่นอีก แสงแดดส่องกระทบเรือนกายเล็กน้อย แลดูสะโอดสะอง เป็นความงามแบบบางน่าทะนุถนอม
เซ่าอี๋ยิ้มกว้างขึ้น “รอเจ้าโตอีกสักหน่อย ไม่แน่อาจงามยิ่งกว่าฟูหลัวเสียอีก”
เสวียนอี่ตาเป็นประกาย พูดช้าๆ “หรือว่าตอนนี้ข้ายังไม่งาม? “
เขาตอบอย่างอดไม่ได้ “อวดดีไปแล้ว ตอนนี้ยังห่างไกลนัก”
เสวียนอี่เอ่ยเนิบนาบ “สายตาของศิษย์พี่เซ่าอี๋ช่างล้าสมัยนัก จำเป็นต้องปรับปรุงเสียหน่อย”
เขาหัวเราะขึ้นมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “ข้าเถียงสู้เจ้าไม่ได้จริงๆ ช่างเถอะ ข้าไปหาเหยียนสยา หากท่านอาจารย์มาแล้วถามหา ก็ตอบท่านไปว่าพวกข้าใกล้มาถึงแล้วแล้วกัน”
เสวียนอี่โบกมือพลางมองส่งเขาด้วยสายตาเป็นมิตร ทว่าพอหันกลับมา กลับรู้สึกว่ามีดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องมองตนอยู่ ครั้นมองตอบกลับไป ก็สบเข้ากับสายตาเย็นชาขององค์หญิงฟูหลัวเข้าพอดี คราวที่แล้วที่พบนางคือที่ตำหนักหมิงซิ่ง เพราะแสงสว่างแยงตาเกินไปจึงมิได้พินิจมองอย่างละเอียด ยามนี้ได้พบกับอีกครั้งเมื่อฟ้าสว่าง ที่แท้ก็เป็นโฉมสะคราญแห่งยุคนั่นเอง ร่างสูงโปร่ง ผิวขาวราวหิมะ
นางยืนอยู่ข้างกู่ถิง เสวียนอี่หรี่ตามองอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกปลงอนิจจังอยู่บ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่ามองอย่างไรศิษย์พี่กู่ถิงหน้าตายคนนั่นก็ไม่เหมาะสมกับนางอยู่ดี หากว่าคนข้างๆ เปลี่ยนเป็นเซ่าอี๋หรือฝูชาง น่าจะเข้าตากว่า
เนื่องจากสายตาขององค์หญิงฟูหลัวจ้องมาที่ตนโดยตลอด เสวียนอี่จึงยิ้มให้อย่างมีไมตรี นางกลับพยักหน้ารับน้อยๆ ก่อนจะละสายตาไป
เย็นชาประดุจน้ำค้างแข็งเช่นนี้ ช่างต่างกับเทพธิดาสาวทรงเสน่ห์ที่นางพบเมื่อเช้าวานนี้อย่างมาก ถูกแล้ว นางเป็นธิดาของพญางูแห่งเขาถูเซียง พูดถึงเรื่องนี้ เหมือนเคยได้ยินฉีหนานพูดอยู่ครั้งหนึ่งว่า พญางูที่เขาถูเซียงนั้นมีรูปโฉมงดงามหาใดเปรียบ บุรุษที่อยู่ใต้ชายกระโปรงมีมากมายนับไม่ถ้วน มีเทพบุตรรูปงามให้นางเลือกจำนวนเฉียดร้อย เป็นที่เลื่องลือกันในโลกแห่งเทพ
พอคิดได้แบบนี้แล้ว การที่องค์หญิงฟูหลัวจะทรงเสน่ห์ขนาดนี้จึงเป็นเรื่องธรรมดามาก
ผ่านยามเฉินไปราวหนึ่งถ้วยชา มหาเทพไป๋เจ๋อยังคงไม่มีวี่แววว่าจะมา เหตุการณ์ชนิดนี้พบได้น้อยมาก เหล่าศิษย์อดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันไม่ขาดสาย ไม่นานนัก ศิษย์โปรดทั้งสองคือไท่เหยาและกู่ถิงจึงตัดสินใจไปหาเขาที่เรือนฟางซิน
เสวียนอี่ยืนอยู่ข้างทางเหม่อมองลายปักดอกไม้ที่แขนเสื้อตัวเอง ทันใดนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งมาบังตนไว้ ครั้นเงยหน้าขึ้นมอง ที่แท้ก็เป็นองค์หญิงฟูหลัว พอกู่ถิงไป นางก็เดินมาหาเสวียนอี่ ธิดาพญางูนี้รูปร่างสูงเพรียว สูงกว่าเสวียนอี่หนึ่งช่วงศีรษะ เมื่อยืนอยู่ตรงข้ามกันจึงบดบังแสงอาทิตย์ไว้จนมิด
“ศิษย์พี่หญิงฟูหลัว” เสวียนอี่ยืนตรง ทำความเคารพอย่างงดงาม
ฟูหลัวจ้องนางอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นช้าๆ “องค์หญิงเสวียนอี่ ข้ามีเรื่องจะพูดด้วย ไม่ทราบว่าจะคุยด้วยได้หรือไม่”
“ศิษย์พี่หญิงว่ามาได้เลยเจ้าค่ะ”
ฟูหลัวกล่าวเรียบๆ “องค์หญิงยังเด็กนัก เมื่อวันก่อนได้ยินมาว่าไม่เคยออกไปนอกเขาจงชานสักครั้ง เกรงว่าจะรู้เรื่องภายนอกน้อยนัก เทพเหล่านั้นเพียงล้อเล่นกับองค์หญิงเท่านั้น ทว่าไม่ได้ชอบองค์หญิงแต่อย่างใด ข้าในฐานะที่เป็นศิษย์ ฝึกฝนวิชากับท่านอาจารย์มานานย่อมเข้าใจในเรื่องนี้ องค์หญิงเพิ่งมาไม่นาน โปรดระมัดระวังกิริยาวาจาด้วย”
เสวียนอี่อึ้งงัน “คำพูดของศิษย์พี่หญิงฟูหลัวซับซ้อนนัก ข้าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่”
ฟูหลัวมองนางอีกครู่จึงเอ่ยต่อ “เซ่าอี๋เป็นคนอบอุ่นอ่อนโยน พูดจาหยอกล้อได้กับทุกคน ส่วนฝูชางเป็นคนพูดน้อยยิ่งกว่านั้นยังเป็นเทพที่มีมารยาทสูงมาก ที่ยอมเจ้านั้นก็เพราะว่าเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดเชียว”
เสวียนอี่เอียงคอครุ่นคิด เอ่ยออกมาอย่างเข้าใจ “ความหมายของศิษย์พี่หญิงคือ กลัวว่าข้าจะเป็นเหมือนศิษย์พี่หญิง มีใจให้ทั้งกับศิษย์พี่กู่ถิงและศิษย์พี่เซ่าอี๋ในเวลาเดียวกันจนแยกไม่ออกใช่หรือไม่”
ฟูหลัวสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “เจ้าพูดอะไร”
“บอกตามตรง” เสวียนอี่ยิ้มบางๆ “ข้านับถือศิษย์พี่จริงๆ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ข้าจะเก่งแบบศิษย์พี่บ้าง ไม่รู้ทำไมศิษย์พี่เซ่าอี๋กับศิษย์พี่ฝูชางถึงไม่ยอมติดเบ็ด ข้ายังอยากให้ศิษย์พี่ช่วยสอนเคล็ดลับข้าด้วยเลย”
“เจ้า! “
ขณะที่ฟูหลัวอารมณ์เกรี้ยวกราด จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งเข้ามาจากทางด้านหลัง เป็นเหยียนสยาที่ยึดแขนเสื้อเซ่าอี๋ไว้ กำลังรีบวิ่งกลับมา ไม่รู้ว่าเพราะรีบวิ่งเกินไปหรือเพราะสาเหตุอื่น ใบหน้าเหยียนสยาเป็นสีแดงระเรื่อ มุมปากประดับรอยยิ้มอย่างปิดไม่อยู่
“ข้ามาสายแล้ว” นางพูดเสียงเบา มองไปรอบๆ ตัว “ท่านอาจารย์ยังไม่มาอีกหรือ”
ฟูหลัวเอ่ยปากอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ “เมื่อวานเจ้านอนไม่หลับหรือเหยียนสยา ตาแดงเชียว”
เหยียนสยาไม่ตอบอะไร ก้มหน้างุดพลางเบียดเข้าไปใกล้เซ่าอี๋
ฟูหลัวมีสีหน้าไม่ดียิ่งกว่าเดิม เหลือบมองเซ่าอี๋อย่างเย็นชา ก่อนจะหันตัวเดินจากไป
เซ่าอี๋หัวเราะฝืนๆ “ศิษย์พี่หญิงฟูหลัวมองค้อนข้าแล้ว”
เหยียนสยาก้มหน้าถามเสียงเบา “เจ้า เจ้าเรียกนางว่าอะไรนะ ศิษย์พี่หญิง? เจ้า…คงไม่เรียกข้าว่าศิษย์พี่หญิงเหมือนกันใช่หรือไม่”
เซ่าอี๋ใช้นิ้วเก็บผมนางที่ถูกลมพัดปรกมาบนหน้าผาก ทว่ากลับไม่ตอบ เพียงส่งยิ้มบางๆ
เหยียนสยามองชายหนุ่มอย่างหวั่นไหว ดวงตาทั้งคู่มีน้ำตาคลอ นางเรียกเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาที่สุด “เซ่าอี๋ ข้า…”
ในช่วงขณะนั้นเอง เทพบุตรน้อยนำทางสามสี่คนวิ่งมาตามทางเล็กๆ นั้นอย่างกระหืดกระหอบ ในมือแต่ละคนมีสมุดปึกหนาอยู่ ไท่เหยากับกู่ถิงตามมาข้างหลัง สีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ท่านอาจารย์บอกว่า…เฮ้อ ท่านอาจารย์ช่วงนี้สุขภาพไม่ดีนัก หลังจากนี้สามเดือนจึงจะเริ่มสอน สมุดพวกนี้ให้พวกเจ้านำกลับไปดูกันเอง”
ไท่เหยาพูดพลางสั่งให้เทพบุตรน้อยนำทางแจกสมุดในมือ เสวียนอี่ได้รับแล้วจึงพลิกเปิดดูคร่าวๆ ภายในล้วนอธิบายเกี่ยวกับหยินหยางทั้งห้า แล้วยังมีของเล่นน่าเบื่ออย่างการแบ่งตำแหน่งเทพเจ้า
ดูท่าทางอาจารย์คงยังเสียดายกระพรวนทองคำแสนลูกนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาคงไม่เคยสูญเสียอะไรแบบนี้ แม้แต่จะเข้าสอนก็ยังไม่มีอารมณ์ แล้วยังหยุดไปอีกสามเดือน ช่างเล่นใหญ่โตโดยแท้
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การไม่ไปเรียนมักทำให้เหล่าเทพหนุ่มสาวยินดีปรีดาอยู่แล้ว มีเทพเสนอขึ้นมาทันที “เมื่อวานซืนที่ในสวนดอกไม้ทิศใต้ดอกเสาเย่าออกดอกตูม อีกสองวันคงบานพอดี พวกเราเอาสุรารสเลิศอย่างหลัวฝูชุนไปสักสองสามไห ดื่มไปพลางชมดอกไม้ไปพลางเป็นอย่างไร”
มีเสียงนับไม่ถ้วนเห็นพ้องทันที “เป็นความคิดที่ดี! แต่ว่าเหล้าหลัวฝูชุนเบาเกินไป! สวนดอกไม้ทิศใต้ในฤดูใบไม้ผลิงามนัก ควรคู่กับสุราชั้นเลิศอย่างฉางหรง! “
เหยียนสยาดึงแขนเสื้อเซ่าอี๋ไปมาอย่างตื่นเต้น พูดต่อว่า “ดีเลยดีเลย! ข้ารับผิดชอบของว่างเอง! เซ่าอี๋ พวกเราไปด้วย! ศิษย์น้องเสวียนอี่ เจ้าก็ไปด้วยกันเถอะ! “
องค์หญิงจู๋อินคนนั้นก็ไปด้วย?! ศิษย์ทุกคนพากันจ้องตาเขม็ง พวกเขายังไม่ลืมนะ คราวที่แล้วองค์หญิงคนนี้กล่าวหาว่าพวกเขาเป็นสุนัขของท่านอาจารย์
เสวียนอี่พยักหน้าอย่างสงบท่ามกลางสายตาแค้นเคืองนั้น “ได้เลย”
—
[1] ยามเฉิน ช่วงเวลาตั้งแต่ 07.00 น. ถึง 08.59 น.
[2] ดอกเถิง คือ ดอกวิสทีเรีย (Wisteria) ลักษณะเป็นเถาห้อยยาวลงมา ดอกมีสีม่วง