บุหลันเคียงรัก - บทที่ 23 จิตใจว้าวุ่น
เซ่าอี๋มีสีหน้าอบอุ่น ถามขึ้นเสียงอ่อน “ถามเช่นนี้ศิษย์พี่หญิงฟูหลัวหมายความว่าอย่างไร”
สายตาฟูหลัวยิ่งเศรากว่าเดิม “เจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่หญิง? เจ้าเรียกข้าแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือว่าเหยียนสยาตำหนิอะไรให้เจ้าฟัง เจ้าเชื่อนางหรือ”
เซ่าอี๋ยิ้ม “ลากมาเกี่ยวกับเหยียนสยาได้อย่างไร”
“เช่นนั้นข้าขอถามเจ้า วันนี้ตอนเช้าเจ้ากับเหยียนสยาไปทำอะไรกัน เมื่อคืนนี้เจ้ารับปากอะไรข้าไว้ เจ้า เจ้าแค่พูดดีๆ ไปเพื่อหลอกข้าเท่านั้นเองใช่หรือไม่ แล้วยังองค์หญิงจู๋อินคนนั้นอีก เจ้าลังเลระหว่างข้ากับเหยียนสยาไม่พอ วันนี้มีใหม่มาอีกคนแล้ว วันนี้เจ้าใช้ลูกไม้เดิมๆ อีก จะไปยั่วนางใช่หรือไม่”
เสวียนอี่แอบดึงกล่องขนมมาจากตรงหน้าฝูชาง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเอง อดไม่ได้ชะงักงันไป มือที่เอื้อมไปดึงกล่องนั้นถูกฝูชางดีดไม่เบาไม่แรงนักหนึ่งที นางร้องโอดครวญ เงยหน้ามองค้อน
แต่ฝูชางไม่สนใจนาง ทำเพียงหันกลับไป มองไปที่ภาพลวงตาในทะเลสาบเงียบๆ
สุดท้ายเสวียนอี่ก็แย่งกาน้ำชามาได้ เทชาใส่ถ้วยจนเต็ม ยกขึ้นจิบ เอ่ยขึ้นเสียงเบา “ดูท่าศิษย์พี่กู่ถิงจะโกรธมาก เจ้าไม่ใช่สหายสนิทเขาหรือ ไม่เข้าไปปลอบเสียหน่อยเล่า”
ฝูชางไม่ได้หันมามอง “ที่เจ้าเดินมานี่ไม่ยอมไปไหนเพื่อดูละครฉากนี้ใช่หรือไม่ สมกับที่เจ้ารอคอยแล้ว”
จะไม่ให้นางโกรธเทพตนนี้ได้อย่างไร มักมองนางแง่ร้ายอยู่เรื่อย
“เป็นข้าที่บอกให้ศิษย์พี่หญิงฟูหลัวลังเลใจอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าอยู่ด้านล่างหอระฆังกินของว่างของเหยียนสยาเยอะขนาดนั้น หรือนี่คือสิ่งที่เจ้าชดใช้ให้นาง? “
เสวียนอี่ตกใจขึ้นมาจริงๆ “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
น้ำเสียงของฝูชางฟังดูไม่แปลกใจนัก “คนที่ถูกท่านอาจารย์สั่งให้ไปตีระฆัง ไม่ได้มีแต่เจ้าคนเดียว”
“เจ้าแอบฟังอยู่? ” เสวียนอี่ขมวดคิ้วอย่างรังเกียจ “หน้าเนื้อใจเสือ”
เขาหันกลับมามองนาง บนหน้าชายหนุ่มไม่ปรากฏแววฉุนเฉียวเย็นชาอย่างเหนือคาด ทว่ากลับมองประเมินนางราวกับครุ่นคิดบางอย่าง บนเรือนผมสีดำสนิทที่ปล่อยสยายอยู่นั้นของนาง รัดเกล้าทองคำระย้ากำลังส่องประกาย ใบหน้าขาวเนียนราวหยก ดวงตาที่สงบเรียบอยู่เสมอ ไม่มีใครรู้ว่าในดวงตาคู่นั้นคิดอะไรอยู่ เยาะหยันหรือว่าเจตนาดี
ฝูชางหรี่ตาลงเล็กน้อย “สี่คำนี้เหมาะกับเจ้ายิ่งกว่า”
เสวียนอี่ยิ้มบางๆ “บังเอิญว่าช่วงนี้ข้าเปลี่ยนไปแล้ว ข้าเลิกที่จะทำเป็นหน้าเนื้อใจเสือแล้ว ศิษย์พี่ฝูชาง ข้ามองไม่ผิด พวกเรานี่มันคู่แท้สวรรค์ประทานจริงๆ “
นางส่งสายตาใสกระจ่างดุจน้ำในฤดูใบไม้ร่วงให้เขา ก่อนที่เขาจะเบือนหน้าหนีทันที
…
บทสนทนาที่หน้าทะเลสาบนั้นยังคงดำเนินต่อไป สถานการณ์ตอนนี้กลายเป็นว่าฟูหลัวรุกนำหน้าขึ้นมาหนึ่งก้าว ส่วนเซ่าอี๋ถอยหลังหนึ่งก้าว
“เหตุใดเจ้าจึงไม่พูด ทำไมต้องหลบหน้าข้าด้วย เมื่อวานยังดีๆ อยู่เลย ไฉนวันนี้ถึงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเล่า”
ฟูหลัวกระชากแขนเสื้อชายหนุ่มไว้อย่างเสียการควบคุม ร่างทั้งร่างแทบติดอยู่กับร่างฝ่ายชาย
เซ่าอี๋ถอนใจเบาๆ มองนางด้วยสายตารักใคร่ปนลำบากใจ นิ้วขาวเรียวค่อยๆ ลูบไล้ใบหน้างดงามของนางเบาๆ จับปลายคางเงยขึ้น “ศิษย์พี่หญิง ท่านยิ่งยโสเกินไป ทำให้ข้าทนไม่ได้จริงๆ “
ดวงตาทั้งสองข้างของฟูหลัวชุ่มไปด้วยน้ำตา ขบริมฝีปากล่างพลางเอ่ยขึ้น “เจ้าไม่ได้รู้จักข้าแค่วันเดียวนี่ เจ้ารู้แต่แรกว่าข้าหยิ่งยโสเช่นนี้ ข้าแค่ไม่ชอบที่เจ้าไปพูดหยอกเย้าสนิทสนมใกล้ชิดกับเทพธิดาองค์อื่น! หรือว่าเจ้าไม่ได้ชอบข้าแล้ว? “
เซ่าอี๋ยิ้มบางๆ ก่อนเอ่ยขึ้น “ศิษย์พี่หญิงรูปโฉมงดงาม ข้าชอบมาก แต่ว่าความหยิ่งยโสของศิษย์พี่หญิงนั้นกลับทำให้ข้าไม่กล้าชอบ บางครั้งศิษย์พี่หญิงมาร้องไห้ต่อหน้าข้า ข้าชอบที่สุด แต่ถ้ามาร้องไห้ทุกวัน ข้าก็ไม่ชอบ ศิษย์พี่หญิงหึงข้าในบางครั้ง ข้าก็ชอบ แต่ถ้าหึงทุกวัน ข้าก็รังเกียจ”
เขาเกลี่ยหยาดน้ำตาที่แก้มให้นางอย่างอ่อนโยน ในถ้อยคำหวานนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนสนิทชิดเชื้อ “เมื่อเราทั้งสองอยู่ด้วยกัน ยังคงเป็นช่วงที่มีแต่ความสุข แต่วันนี้ที่ข้าให้ท่าน ท่านกลับยังไม่รู้จักพอ ข้าให้ท่านมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ทำไมศิษย์พี่หญิงต้องมาคิดให้วุ่นวายด้วย ท่านกับศิษย์พี่กู่ถิงอยู่ในสถานะหมั้นหมายกัน ศิษย์พี่กู่งถิงมีศักดิ์สูงส่ง มีความหลักแหลม เหมาะสมกับท่านอย่างไร้ที่ติ”
ดวงตาฟูหลัวเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ถามเสียงเศร้า “ข้าเคยพูดกับเจ้าแต่แรกแล้ว ข้าถูกบังคับให้หมั้นกับศิษย์พี่กู่ถิง แม้ว่าข้าจะเคารพเขา แต่ข้าก็ไม่ได้รัก ข้า…ใจข้าอยู่ที่เจ้ามาโดยตลอด! เจ้าก็รู้! เหตุใดจึงยังฝืนใจทำกับข้าแบบนี้”
โอ้…พูดกันอย่างเปิดอกยิ่งนัก…ดวงตาระยับของลูกศิษย์พากันจ้องมองมาที่กู่ถิง มักทำให้คิดอยู่เสมอว่ามงกุฎทองคำบนศีรษะเขาแลดูเขียวขจี
เซ่าอี๋พูดอะไรอีก แต่กลับไม่มีใครได้ยิน เงามายาในม่านหมอกนั้นถูกกู่ถิงทำให้สลายตัวไป สีหน้าเขาเดี๋ยวซีดเดี๋ยวเขียว เดี๋ยวแดง ร่างค่อยๆ เริ่มสั่นสะท้านรุนแรง เขาคำรามเสียงดังทันที เอ่ยขึ้นเสียงก้อง “เป็นใคร?! ข้าไม่เชื่อ! เป็นใคร?! ใครที่เลือดเย็นแบบนี้?! “
จื่อซีจึงเดินตรงเข้ามา รีบก้าวไปด้านหน้าเพื่อปลอบโยน “ศิษย์น้องกู่ถิง เจ้าใจเย็นลงก่อน! ข้ารู้ว่าทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก! ฟูหลัวจะทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร”
นางปลอบพลางหันมาเรียกอย่างเร่งรีบ “ศิษย์พี่ไท่เหยา! ศิษย์น้องฝูชาง! รีบเข้ามาพยุงศิษย์น้องกู่ถิงเร็วเข้า! ให้เขาสงบสติอารมณ์ลงสักหน่อย! “
ไท่เหยากับฝูชางรีบตรงเข้ามาพยุงกู่ถิง ร่างเขาสั่นเทิ้มจนไม่มีแรงจะยืน หน้าซีดราวหิมะ ปากยังคงพึมพำอย่างตื่นตระหนกซ้ำไปซ้ำมา “ข้าไม่เชื่อ! ข้าไม่เชื่อ! โกหกทั้งเพ! “
เหล่าศิษย์อื่นๆ ที่คุ้นเคยกับเขามานานปี ต่างรู้ว่าเขามีความรู้สึกลึกซึ้งกับฟูหลัว ภาพลวงตานี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ย่อมทำให้ชายหนุ่มสะเทือนใจ ยิ่งกว่านั้น ตระกูลเหยาของราชาบุปผาให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และความนับถือของเหล่าเทพมาก
ไท่เหยาเพียงถอนใจพลางพูดขึ้น “นี่ก็แค่ละครโศกนาฏกรรมที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้ายเท่านั้น กู่ถิง เจ้าจะคิดเป็นจริงเป็นจังไปทำไมกัน”
จื่อซีพูดอย่างโกรธแค้น “ใครกันที่ใจดำขนาดนี้ แม้สุภาพบุรุษอย่างศิษย์พี่กู่ถิงยังทำร้ายได้ลง?! “
นี่น่ะหรือ…คนที่มีเรื่องกับกู่ถิง เหมือนว่าจะมีเพียงองค์หญิงตระกูลจู๋อินคนนั้นแล้วกระมัง สายตามีเลศนัยจากศิษย์ทุกคนมุ่งมาที่เสวียนอี่ พูดถึงเรื่องนี้ องค์หญิงท่านนี้เป็นพวกหน้าเนื้อใจเสือ ก็ไม่น่าแปลกใจที่จะทำเรื่องพวกนี้ออกมาได้
พอเผชิญหน้ากับสายตาของศิษย์ทั้งหลาย องค์หญิงน้อยจู๋อินราวกับว่าไม่สนใจเลยสักนิด ตาทั้งคู่จ้องที่ทะเลสาบเหอเกอ ท่าทางไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น
เห็นแบบนี้แล้ว ถ้าหากพูดว่าเรื่องนี้นางไม่ได้ทำ คงไม่มีใครเชื่อ
จู่ๆ มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง เสียงเหยียนสยาชัดเจนทว่าทำให้คนรู้สึกปวดใจ “…นี่เรื่องจริงใช่หรือไม่ ศิษย์พี่หญิงฟูหลัวกับเซ่าอี๋”
ตายแล้ว เหยียนสยาออกมาแล้ว
เสวียนอี่หันหน้าไปมองนาง ดวงหน้างามกลมขององค์หญิงน้อยยามนี้เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา เจ็บปวดอย่างที่สุดพลางถามขึ้นเสียงต่ำ “ข้าเพิ่งรู้…มิน่าเล่าเซ่าอี๋เขา….ศิษย์พี่หญิงฟูหลัวทำไมจึงเป็นแบบนี้”
จื่อซีรีบพูด “เหยียนสยา! นี่มันเรื่องโกหก! ไม่รู้ใครที่คิดร้ายขนาดนี้! เจ้าเชื่อได้อย่างไร”
เหยียนสยาค่อยๆ ซับน้ำตา พูดเสียงเบา “เมื่อคืนนี้ข้าไปหาเซ่าอี๋ กลับพบศิษย์พี่หญิงฟูหลัว นางตำหนิข้าว่าดึกขนาดนี้ไม่รู้จักมารยาท…ข้านึกว่าเพราะท่านอาจารย์มีธุระให้นางมาหาเขา คิดไม่ถึงว่า…”
คำพูดนางประโยคนี้แม้แผ่วเบาแต่ก็โหดร้าย แตกต่างจากองค์หญิงน้อยของจักรพรรดิแดงผู้บริสุทธิ์ในความทรงจำอย่างสิ้นเชิง จื่อซีฟังจนทนไม่ไหวอีกต่อไป ขมวดคิ้วพลางเอ่ย “เหยียนสยา! เจ้าพูดอะไรออกมา! “
กู่ถิงที่ถูกไท่เหยากับฝูชางพยุงไว้จู่ๆ ก็ขยับตัว สะบัดมือของคนทั้งสองออก แล้ววิ่งตรงไปยังโต๊ะหินท่ามกลางเสียงร้องฮือฮาด้วยความตกใจของศิษย์ที่มองอยู่ ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยความโกรธแค้นทั้งคู่จ้องมาที่เสวียนอี่ พักใหญ่จึงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงดุดัน “ทำไมต้องทำแบบนี้”
เสวียนอี่สีหน้าสงบเรียบ มองสวนกลับไปอย่างว่างเปล่า ถามเสียงเบา “ทำไมศิษย์พี่กู่ถิงจึงมั่นใจว่าข้าเป็นคนทำเล่า”
“เรื่องแบบนี้มีเพียงเจ้าที่กล้าทำ! ” เป็นครั้งแรกที่กู่ถิงรู้สึกเกลียดจนเข้ากระดูกดำ เขายังคงไม่ลืมเรื่องที่นางกล่าวหาว่าเหล่าลูกศิษย์เป็นสุนัขของอาจารย์เพราะเรื่องเทพเฟยเหลียนนั้น “เจ้าแค่ต้องการทำลายทุกอย่างของที่นี่! “
เห็นลูกศิษย์ต่างฝ่ายต่างไม่ไว้วางใจกัน ถึงขนาดคิดคดก่อเรื่องต่ำช้าต่างๆ นานาอยู่เบื้องหลัง นางถึงจะสบายใจ! องค์หญิงจู๋อินเลือดเย็นคนนี้! แค่รับไม่ได้ที่เห็นความเจริญที่มีติดต่อกันมาอย่างยาวนาน ทำสิ่งที่ดีงามทั้งหมดในสายตาเขาพังทลายลงตรงหน้าเขา!
“ศิษย์น้องกู่ถิง! ” จื่อซีกล่าวเตือนเสียงสูงอย่างอดไม่ได้ “ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือองค์หญิงเสวียนอี่ พูดแบบนี้ถือว่าใส่ร้ายนาง! “
ตาแดงก่ำของกู่ถิงมองไปยังจื่อซี
“ท่านช่วยพูดแทนใคร” เขาถามเสียงเย็นชา “ท่านเป็นพวกนางไปแล้วหรือ”
จื่อซีตะลึงงันอย่างไม่รู้ตัว หน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม “ข้าแค่ยืนอยู่ฝั่งเหตุผลเท่านั้น! ถึงข้าจะไม่ชอบองค์หญิงเสวียนอี่ แต่ข้าก็ไม่ใส่ร้ายนางโดยไม่มีที่มาที่ไป! ตอนนี้เจ้าอารมณ์รุนแรง พูดจาย่อมมีอคติ หากสุดท้ายแล้วมีพยานบอกว่านางไม่ได้ทำ เจ้าจะทำอย่างไร”
พูดยังไม่ทันจบ กู่ถิงพูดแทรกเข้ามาอย่างโกรธแค้น “มีเพียงนางเท่านั้นที่ทำเรื่องพรรค์นี้ได้”
“ศิษย์พี่กู่ถิง” เสวียนอี่เปิดปากเอ่ยขึ้นช้าๆ “ท่านรู้สึกว่าศิษย์ทุกคนของท่านอาจารย์นอกจากข้า ล้วนมีความฉลาดหลักแหลม ให้ความสำคัญกับระบบอาวุโส ดังนั้นท่านจึงคิดว่า ถ้าเป็นเรื่องนี้ควรเป็นข้าทำจึงจะสมเหตุสมผล ถูกหรือไม่”