บุหลันเคียงรัก - บทที่ 25 จากไปอย่างโศกเศร้า
ดูแล้วทุกคนคงปักใจเชื่อแล้วว่านางเป็นคนวางแผนทำเรื่องนี้แน่นอน
เสวียนอี่คร้านจะอธิบาย เดินไปนั่งยังฝั่งตรงข้าม หมุนข้อมือ เริ่มใช้มือปั้นดอกไม้หิมะอย่างตั้งอกตั้งใจอีกครั้ง
“เรื่องนี้กลับเป็นศิษย์พี่เซ่าอี๋ที่ทำได้งดงามยิ่งนักต่างหาก” กู่ถิงชมเสียจนนางรู้สึกขนลุกไปหมดแล้ว
เซ่าอี๋คลี่ยิ้ม ขนตายาวกะพริบถี่ๆ ครู่ต่อมาจึงเตือนนางอีกครั้งอย่างจริงจัง “ที่ข้าพูดล้วนเป็นความในใจของข้าจริงๆ”
แล้วนี่มันเกี่ยวอะไรกับนาง? เสวียนอี่ใช้ปลายเล็บวาดลวดลายบนกลีบดอกไม้อย่างใจลอย
นางไม่พูดอะไรอีก เซ่าอี๋ก็ไม่พูดเช่นกัน เอนกายลงบนโต๊ะน้ำแข็งอย่างเกียจคร้าน มองหญิงสาวที่ค่อยๆปั้นหิมะจนกลายเป็นดอกชาดอกหนึ่ง ปลายนิ้วเล็กเรียว ฝ่ามือและข้อมืออันเรียวงาม สีแดงที่ย้อมบนเล็บสวยงามสดใสเป็นพิเศษ คล้ายดั่งสีของเปลวไฟมิปาน ขับเน้นเรียวนิ้วขาวนั้นให้เด่น แลดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
“เจ้าปลาดุกอุยน้อย” จู่ๆเขาเรียกนางด้วยน้ำเสียงอันทรงเสน่ห์แผ่วเบา “เจ้าทำแบบนี้ทำไม”
เสวียนอี่จ้องดอกชาหิมะในมือ พูดเสียงเรียบ “ศิษย์พี่เซ่าอี๋ พวกท่านล้วนอายุมากกว่าข้าหลายเท่าอีกทั้งเป็นเทพวัยเยาว์ที่มีความโดดเด่นในเหล่าทวยเทพ เหตุใดจึงยังไม่รับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป จำเป็นต้องหาคนอื่นมารับโทษแทน เหตุผลข้อนี้ข้ากลับไม่เข้าใจนัก”
เซ่าอี๋มองนางพลางยิ้มตาหยี “ข้าไม่เชื่อ”
นางกอบเศษหิมะที่เหลือขึ้นมาปั้น “ศิษย์พี่หญิงทั้งสองทั้งร้องไห้ทั้งทะเลาะกันเพราะศิษย์พี่เซ่าอี๋จนมุกประดับศีรษะตกหายไปแล้ว แต่ศิษย์พี่กลับมากล่าวโทษข้าอยู่ที่นี่ ท่านไม่รู้สึกผิดสักนิดเลยหรือ”
ใบหน้าชายหนุ่มเต็มไปด้วยความสับสนงงงวย “ทำไมต้องรู้สึกผิดด้วย”
เสวียนอี่ครุ่นคิด “พวกนางต่างชอบท่านด้วยใจจริง ไม่ใช่พูดออกมาแค่ลมปากเท่านั้น รักแท้นั้นได้มายากที่สุดมิใช่หรือ”
เซ่าอี๋ถอนหายใจ สีหน้าเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน เอ่ยเสียงต่ำ “ข้าเองก็ชอบพวกนางด้วยใจจริงเช่นกัน เทพธิดาที่งดงามอ่อนวัย มีอารมณ์ลึกล้ำ ข้าชอบที่สุดแล้ว”
ฟังดูแล้วราวกับว่าผู้ที่ชายหนุ่มชอบหาได้มีเพียงฟูหลัวกับเหยียนสยาเพียงสองคนนี้เท่านั้น
“เทพธิดาที่น่ารักมีมากมายขนาดนั้น ข้าจะฝืนใจทำให้หนึ่งในนั้นต้องผิดหวังเสียใจได้อย่างไร” เซ่าอี๋คลี่ยิ้มบาง “กาลเวลายาวนานเพียงนั้น ต้องหาเรื่องพวกนี้มาทำให้แต่ละวันไม่รู้สึกเบื่อ ข้ามีความสุข พวกนางก็มีความสุข มีสุขแล้วเหตุใดจึงไม่ร่วมเสพเล่า แต่หากอยู่ร่วมกันแล้วไม่มีความสุข แล้วเมื่อพบกันกลับเป็นศัตรู มิสู้แยกกันอย่างมีความสุขจะดีกว่า”
เสวียนอี่เข้าใจแล้ว “ศิษย์พี่เซ่าอี๋พูดได้มีเหตุผลนัก ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”
เซ่าอี๋เสียงอ่อน “เจ้าฉลาดหลักแหลม ข้าก็ชอบเช่นกัน”
เสวียนอี่ยกดอกชาหิมะในฝ่ามือขึ้นพินิจดูแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณที่ศิษย์พี่เซ่าอี๋เอ็นดูข้า”
เอ่ยจบก็ยิ้มเหลือบมองชายหนุ่มผาดหนึ่ง ดวงตาเป็นประกายระยับ
เซ่าอี๋อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจช้าๆ อีกครั้ง “ยากนักที่ท่านอาจารย์จะให้หยุดถึงสามเดือน เวลาช่วงนี้น่าเบื่อที่สุด ใช่แล้ว องค์หญิงองค์โตแห่งเทพมังกรทะเลบูรพาใกล้จะมีงานวันเกิดครบห้าหมื่นปี จึงส่งเทียบเชิญมาให้เหล่าเทพแล้ว เจ้าปลาดุกอุยน้อย เจ้าต้องการไปเที่ยวทะเลบูรพากับข้าสักสองสามวันหรือไม่ ที่นั่นต้องสนุกสนานน่าสนใจเป็นที่สุดแน่”
“องค์หญิงองค์โตแห่งเทพมังกรทะเลบูรพาผู้งดงามที่สุดตามที่เล่าลือกันผู้นั้นน่ะหรือ”
เซ่าอี๋มองนาง “งดงามที่สุดรึไม่ข้าไม่รู้ แต่นางคงงามไม่เท่าองค์หญิงมังกรตระกูลจู๋อินผู้สูงส่งเป็นแน่”
เสวียนอี่เลิกคิ้วขึ้น “งามไม่เท่าข้า แล้วข้าจะไปดูทำไม ศิษย์พี่เซ่าอี๋ไปเถอะ มีเรื่องน่าสนใจอะไร กลับมาอย่าลืมมาเล่าให้ข้าฟังบ้าง”
สุดท้ายเซ่าอี๋นิ่งงันไป นางได้ตีกรอบเขาเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มยิ้นเจื่อนขึ้นมา “หากข้าบอกว่า งามยิ่งกว่าเจ้าเล่า”
“เช่นนั้นข้าก็ยิ่งไม่ไปใหญ่” นางปั้นดอกชาหิมะได้ไม่ประณีตพอ จึงบีบเบาๆ จนมันแตก “งามกว่าข้า ข้าเห็นแล้วจะโกรธ ไม่อาจหาความสุขให้ตัวเองได้”
เจ้าคนอารมณ์แปรปรวนคนนี้
เซ่าอี๋ไม่โกรธเช่นกัน ลุกขึ้นพลางพูด “แล้วแต่เจ้าแล้วกัน ถ้าเกิดเบื่อขึ้นมาเมื่อใด ก็ไปหาข้าเมื่อนั้น ข้าจะช่วยเจ้าฆ่าเวลาแทนเอง”
เสวียนอี่โบกมือพลางใช้สายตาส่งชายหนุ่มเดินจากไป กลับเข้าไปงีบหลับในตำหนักครู่หนึ่ง แล้วจึงทำความเข้าใจตำราเล่มหนาที่ท่านอาจารย์มอบให้ ค่อยๆ พลิกอ่านไปทีละหน้า
ทว่าเมื่อพูดถึงเรื่องที่ฟูหลัวกับเหยียนสยาทะเลาะกันเพราะเซ่าอี๋ ปิ่นประดับผมทองคำของกู่ถิงขึ้นสีเขียวมันวาว เดิมทีพวกไท่เหยาตัดสินใจจะปิดบังเอาไว้ แสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใครจะคิดว่าพวกเทพเด็กจะพูดมาก สุดท้ายกระดาษก็ห่อไฟไว้ไม่มิด ทำให้มหาเทพไป๋เจ๋อรู้เรื่องทั้งหมด
หลังจากฟูหลัวกับเหยียนสยาถูกโทษไปรอบหนึ่งแล้ว แต่ละคนก็ถูกส่งกลับบ้านให้ไปพิจารณาตัวเองสามเดือน
ซ้ำร้าย ยิ่งไปกว่านั้นคือ หลังจากกู่ถิงกลับไปเก็บตัวที่เกาะของราชาบุปผาได้ห้าหกวัน จู่ๆ ก็มีข่าวสะเทือนโลกแห่งเทพแพร่ออกมาว่า ตระกูลเหยาของราชาบุปผากับตระกูลพญางูแห่งเขาถูเซียงถอนหมั้นกัน
ช่วงเวลานั้น เทพทุกองค์ต่างฮือฮา ข่าวลือไร้สาระสารพัดเต็มไปหมด
แม้ว่าเรื่องถอนหมั้นพวกนี้จะไม่นับว่าเป็นเรื่องผิดปรกติ ทว่ากลับเริ่มขุดคุ้ยข่าวฉาวออกมา สุดท้ายแล้วเป็นฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชายกันแน่ที่มีข้อบกพร่อง ถึงได้ถูกถอนหมั้น
ตระกูลเหยาของราชาบุปผามีชื่อเสียงอันดีงามมาตลอด เมื่อเทียบกันแล้ว ชื่อเสียงของพญางูเขาถูเซียงก็ไม่ได้ดีอะไรนัก ตัวพญางูเองเมื่ออายุยังน้อยก็มีเรื่องชู้สาวอยู่แล้ว บัดนี้ยิ่งมีข่าวลือออกมานับไม่ถ้วน องค์หญิงฟูหลัวนั้นเป็นลูกสาวแท้ๆ จึงดูเหมือนจะมิได้ทำให้พวกเทพแปลกใจนัก
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การหมั้นนี้ถือว่าเป็นอันโมฆะไป มีข่าวลือแว่วมาว่า องค์หญิงฟูหลัวไปที่เกาะของราชาบุปผาหลายคืนติดต่อกัน เดินวนเวียนอยู่ด้านนอกประตูหนึ่งวันหนึ่งคืน ทว่ากู่ถิง โอรสแห่งราชาบุปผาก็มิได้ใจอ่อน สุดท้ายองค์หญิงฟูหลัวจึงจากไปอย่างโศกเศร้า
แม้จะถอนหมั้นแล้ว ฝั่งเขาถูเซียงเสียหน้าเป็นอย่างมาก แม้แต่ฝั่งมหาเทพไป๋เจ๋อเองก็เสียหน้า พญางูจึงส่งสาส์นไปให้มหาเทพ ความหมายหลักๆ คือฟูหลัวโง่เขลาเลอะเลือน การเรียนตกต่ำ ขอพาตัวลูกสาวกลับไปที่เขาถูเซียง แล้วจะหาอาจารย์ท่านอื่นมาสอน เป็นการหลีกเลี่ยงมิให้นางต้องเสียใจต่อไปอีกด้วย
มหาเทพไป๋เจ๋ออนุญาตอย่างเงียบๆ
เทียบกับข่าวคราวใหญ่โตของกู่ถิงกับฟูหลัวแล้ว ทางฝั่งเหยียนสยากลับเงียบเชียบไม่มีข่าวคราวใดๆ
จักรพรรดิแดงส่งข่าวมาอย่างห้วนสั้นว่า บุตรีร้องไห้สะอึกสะอื้นกลับบ้าน หลังจากที่เขาเข้าใจสถานการณ์ หวนคิดแต่หนหลังว่ายามนั้นคำนึงถึงชื่อเสียงอันโด่งดังของมหาเทพไป๋เจ๋อถึงได้ส่งบุตรีไปร่ำเรียน ใครจะรู้ว่าอีกไม่กี่พันปีถัดมา ยังไม่ทันได้เห็นนางก้าวหน้าอะไร กลับกลายเป็นว่ามาเกาะติดพัวพันกับศิษย์พี่ศิษย์น้อง ยิ่งไปกว่านั้นคือทะเลาะกับสหายร่วมสำนักในเรื่องเหลวไหล จึงรู้สึกเสียหน้าอย่างยิ่ง และในเวลาเดียวกันก็อดคิดไม่ได้ว่ามหาเทพไป๋เจ๋อมิได้ตั้งใจสั่งสอนอย่างจริงจัง
พอรู้ว่าคนที่บุตรีหลงรักคือเทพเซ่าอี๋เผ่าหงส์ฟ้าเก้าสวรรค์ตระกูลชิงหยาง จักรพรรดิแดงยิ่งไม่ยินดีใหญ่ เทพเซ่าอี้ผู้นี้แม้ยังเยาว์วัย แต่อายุก็ไม่น้อยแล้ว ที่สำคัญยังชอบเด็ดบุปผาริมทางสนุกสนานไปเรื่อย ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าสำราญ
จักรพรรดิแดงรู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจกับเรื่องพรรค์นี้อย่างล้ำลึก ยิ่งไปกว่านั้นมีเด็กเจ้าเล่ห์แบบนี้เป็นศิษย์ร่วมสำนักกับธิดาตน เขาจึงออกคำสั่งอย่างเข้มงวดให้ลูกสาวอยู่แต่ในบ้าน ห้ามออกไปไหนเด็ดขาด แล้วจัดการเขียนสาส์นขอออกจากสำนักด้วยข้อความสั้นๆ ส่งให้มหาเทพไป๋เจ๋ออย่างรวดเร็ว
มหาเทพไป๋เจ๋ออนุญาตอย่างเงียบๆ อีกครั้ง
เมื่อเรื่องเหล่านี้แว่วมาถึงหูเสวียนอี่ เวลาก็ผ่านไปหนึ่งเดือนกว่าแล้ว ยังคงเป็นฉีหนานมาบอกข่าวนางด้วยความเบื่อหน่าย เขามักจะรู้สึกว่านางกำลังจะก่อเรื่องวุ่นวาย เวลาพูดมักต้องคอยหยั่งเชิงนางอย่างเลี่ยงมิได้
“ได้ยินมาว่าองค์หญิงฟูหลัวกับองค์หญิงเหยียนสยาทะเลาะกันจนแตกหักเพราะเทพเซ่าอี๋ตระกูลชิงหยางคนนั้น…องค์หญิงเป็นศิษย์ร่วมสำนักกับเทพเซ่าอี๋ ความสัมพันธ์ของพวกท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
ฉีหนานรู้สึกว่าตัวเขาเองแสดงความหมายออกมาชัดเจนที่สุดแล้ว ไม่ว่าเขาจะอยากให้นางรีบแต่งงานออกไปมาเพียงใด แต่กับเทพเซ่าอี๋ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด!
เสวียนอี่กำลังกินบ๊วยดำพลางอ่านตำราท่านอาจารย์ให้ไว้ แม้จะพูดว่าสิ่งที่อยู่ภายในช่างจืดชืดสิ้นดี ทว่าเมื่ออ่านดูแล้วกลับวางไม่ลง
“ก็พอได้นี่” นางยังคงสนใจกับตำราในมือ
“แล้ว…เทพฝูชางเล่า” ใจฉีหนานเตือนถึงเรื่องเก่า
พอเสวียนอี่ได้ยินชื่อนั้นหัวคิ้วพลันขมวดเข้าหากัน “ไฉนถึงเอ่ยของน่ารังเกียจนี้ขึ้นมาเสียได้”
ฉีหนานเอ่ยตะกุกตะกัก “ไม่ ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ…”
ดูแล้ว เทพฝูชางน่าจะหมดหวังเป็นแน่แท้ เขาก็เพิ่งเคยเห็นองค์หญิงรู้สึกต่อต้านใครสักคนอย่างรุนแรงเช่นนี้ แต่ว่าทั้งคู่ต่างเป็นศิษย์ร่วมสำนักกัน อย่างไรก็ต้องพบหน้ากัน หากนานวันไปความบาดหมางยิ่งฝังลึกกว่าเดิม แล้วเขาควรจะทำเช่นไรดี
พูดถึงมหาเทพไป๋เจ๋อ ฉีหนานก็อยากจะถอนหายใจอีกครั้ง
มหาเทพไป๋เจ๋อเป็นความใฝ่ฝันของตระกูลเทพมากมายตั้งเท่าไหร่ เทพีวั่งซู มหาเทพเสวียนหมิง ราชาบุปผาแล้วยังรัชทายาทแห่งจักรพรรดิสวรรค์ ล้วนมีเขาเป็นอาจารย์ทั้งสิ้น ศิษย์ที่ได้รับการอบรมชี้แนะจากเขาแทบทุกคนล้วนมาจากตระกูลเทพที่มีชื่อเสียงและความเก่งกาจในโลกแห่งเทพ ไม่เพียงมีชาติกำเนิดสูงส่ง ทั้งการกระทำและผลงานในทุกๆ ด้านล้วนเจิดจรัสและโดดเด่นยิ่งกว่า
องค์หญิงสามารถเป็นศิษย์ของเขาได้ ทำให้ฉีหนานภูมิใจอย่างที่สุด
แต่ดูจากหลายวันมานี้ ดูเหมือนว่าจะต่างจากที่จินตนาการไว้มาก ตอนนี้เหตุใดศิษย์ของเขาล้วนมีอารมณ์ไร้สาระเช่นนี้ องค์หญิงเสียผู้เสียคนมากพอแล้ว ถ้าถูกทำให้เสียคนยิ่งกว่านี้จะทำอย่างไร