บุหลันเคียงรัก - บทที่ 27 พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก
ฝูชางขี่หลังราชสีห์เก้าเศียร ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางมวลเมฆเหนือแม่น้ำอูมาหนึ่งชั่วยามเต็มๆ แล้ว
ริมชายฝั่งแม่น้ำอูกว่าหนึ่งพันลี้ ตั้งแต่บนยอดเขาจนกระทั่งถึงปลายแม่น้ำ เขาหาทุกอย่างไม่เว้นกระทั่งหินสีประหลาด แต่ไม่ว่าจะค้นหาละเอียดอย่างไรก็ยังหาร่องรอยของที่อาจารย์ทำหายไปไม่พบ
ก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วยาม พวกเขายังหาสร้อยไข่มุกที่ท่านอาจารย์ทำหายไปเมื่อสองหมื่นปีก่อนที่ริมฝั่งแม่น้ำอูอยู่
นี่คือการบ้านที่อาจารย์สั่งมา จริงๆ หากจะบอกว่าคือการบ้าน ยังสู้บอกว่าคือการบีบบังคับเหล่าลูกศิษย์เหมือนกับครั้งก่อนที่ให้ไปเอาผมของเทพเฟยเหลียน อาจารย์พูดอย่างสวยหรูว่าเป็นการฝึกฝนลูกศิษย์ แต่ว่าจริงๆ ก็คือการใช้แรงงานพวกเขา
หากไม่ใช่เพราะกู่ถิงอารมณ์ไม่ดีเพราะเรื่องถอนหมั้นและต้องการจะลงมาปลดปล่อยอารมณ์ที่โลกเบื้องล่างนี้ล่ะก็ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางหาเรื่องยุ่งยากอย่างนี้มาใส่ตัวแน่
พวกเขาลงมาโลกเบื้องล่างโดยแท่นกระจกชางเซิงกันตั้งแต่เมื่อหนึ่งเดือนก่อน เทพทั้งสองค้นหากันอยู่หนึ่งเดือน เรียกว่าจะพลิกแม่น้ำอูก็ยังไม่ใช่เรื่องยาก กู่ถิงถึงกับไปขุดเอากระดูกชิ้นเล็กๆ ใต้แม่น้ำขึ้นมา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังหาร่องรอยของสร้อยไข่มุกไม่พบ
ยังจำได้ว่าตอนนั้นกู่ถิงถึงกับโอดครวญว่า บางทีอาจารย์อาจจะจำที่ผิดไป จนทำให้พวกเขาต้องมาเสียแรงเปล่าอย่างนี้ ฝูชางลอยผ่านขุนเขาเขียวขจีริมแม่น้ำไปพักหนึ่ง พอเขาหมุนตัวกลับมา กู่ถิงกลับไม่อยู่ที่เดิมแล้วและหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หรือว่าใกล้ๆ แม่น้ำอูแห่งนี้จะมีเผ่าปีศาจมาก่อกวน ใกล้ๆ นี้น่าจะไม่มีเผ่าปีศาจโบราณที่ร้ายกาจอยู่ แต่ว่าปีศาจธรรมดาๆ ทั่วๆ ไปใครจะกล้าลงมือ และที่น่าแปลกก็คือ เทพอย่างพวกเขาทั้งสองคนค้นตามแม่น้ำอูไปทั่วตลอดทั้งเดือน แต่ว่าเทพแห่งแม่น้ำกลับยังไม่รู้สึก มันผิดปรกติจริงๆ
อากาศเดือนเจ็ดของโลกมนุษย์ร้อนอบอ้าวมาก จิตใจฝูชางเองก็ไม่สงบสุข เขากระโดดลงไปจากราชสีห์เก้าเศียรแล้วไปบนแม่น้ำอู จากนั้นจึงปล่อยให้มันไปกินน้ำ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเพลงอันไพเราะจับใจดังมาตามลม ดูแล้วเหมือนกับจะเป็นเสียงของผู้หญิงกำลังร้องเพลงอยู่
เขามองไป ก็เห็นว่าในลำน้ำที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตานี้ มีเรือลำหนึ่งลอยมาตามน้ำจากที่ไกลๆ บนเรือมีหญิงสาวชุดขาวคนหนึ่งนั่งอยู่ ผมสีดำของนางปล่อยสยายลงมาที่หลัง รูปโฉมงดงามยากจะบรรยายได้ ที่มือของนางถือดอกไม้สีแดงเอาไว้หนึ่งดอก นางเลิกชายกระโปรงขึ้นจนเห็นขาเรียวขาวราวกับหยกคู่นั้นกำลังตีขาเล่นอยู่ในน้ำ ปากสีแดงชาดของนางร้องเพลงว่า “มองเห็นอาภรณ์ ข้าก็นึกถึงท่าน ข้าไม่ไปหาท่าน แล้วไยท่านจึงไม่มาหาข้า”
ฝูชางมองไปยังเรือที่กำลังเข้ามาใกล้นิ่งๆ หญิงสาวในชุดขาวเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขาก็ยิ้มจางๆ เรือหยุดลงท่ามกลางน้ำในแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว
“คารวะ เทพฝูชาง” นางคารวะอย่างนุ่มนวล
ฝูชางลูบไล้ไปที่ขานุ่มของราชสีห์เก้าเศียรช้าๆ แล้วกล่าวเรียบๆ ว่า “เจ้ารู้จักข้า”
หญิงสาวชุดขาวกล่าวเสียงอ่อนหวานว่า “ปีที่ธิดาแห่งจักรพรรดิสวรรค์อภิเษกนั้น เทพฝูชางได้ร่ายรำกระบี่เพลงหนึ่งทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทุกสารทิศ ต่อให้เป็นเทพเล็กๆ ที่โลกเบื้องล่างและเผ่าปีศาจอีกนับไม่ถ้วน ต่างก็พากันชื่นชมท่าน แน่นอนว่าข้าน้อยเองก็รู้จักท่าน”
กล่าวจบนางก็ยกชายกระโปรงขึ้น แล้วก้าวเท้าเปล่าขึ้นไปบนเรือ จากนั้นก็ค้อมร่างลงพลางกล่าวว่า “เทพแม่น้ำอูเจียง พบเทพฝูชาง ในโลกมนุษย์นี้อากาศแสนขุ่นมัวและร้อนแรง ไม่ทราบว่าท่านเทพยินดีจะไปนั่งพักผ่อนที่ตำหนักของข้าสักครู่หรือไม่ ให้ข้าน้อยได้รินชาให้สักถ้วย”
ฝูชางมองพิจารณานาง ก็พบว่าชุดสีขาวของนางคือชุดของเทพแม่น้ำ ที่ข้อมือของนางมีกระพรวนโปร่งใสซึ่งเป็นตราของเทพแม่น้ำอยู่ พลังแห่งเทพแม่น้ำเบาบางไหลออกมาจากภายในตรานั้น
“เทพแม่น้ำอูเจียง ข้าจำได้ว่าคือผู้เฒ่าท่านหนึ่ง” เขากล่าวเสียงเรียบ
เทพีอูเจียงกล่าวออกมาว่า “เรียนเทพฝูชาง ท่านปู่อายุมากแล้ว จึงไม่ได้ทำหน้าที่เทพแม่น้ำแล้ว เบื้องบนยังไม่ได้ส่งหนังสือประกาศิตลงมา ดังนั้นข้าจึงบังอาจล่วงเกินรับหน้าที่แทนท่านปู่ก่อนชั่วคราว”
เทพของแม่น้ำที่โลกเบื้องล่างจะมีการ ‘แทนที่’ กันได้อย่างไร หากว่าไม่มีการได้รับพรพลังเทพจากเบื้องบน ก็จะไม่มีทางที่จะรับคำอธิษฐานของมนุษย์ได้ไหว ฝูชางไม่ได้กล่าวเปิดโปงออกไป เขามองไปรอบด้านแล้วถามว่า “ยังมีเทพอีกองค์ที่ลงมาที่โลกเบื้องล่างนี้พร้อมกันกับข้า เจ้าลงมาตามแม่น้ำ พอจะเห็นเขาบ้างหรือไม่”
เทพีอูเจียงกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านเทพองค์นั้นหายไปเฉยๆ หรือ”
ฝูชางมองนาง “มิผิด เจ้ารู้อะไรบ้าง”
เทพีอูเจียงแย้มยิ้มน่ารัก “เรียนท่านเทพฝูชาง ข้าน้อยรู้แค่ว่าที่แม่น้ำอูเจียงแห่งนี้มีทิวทัศน์ที่งดงามมาก และมักจะมีเทพที่ผ่านมาหลายองค์ไม่อยากจะกลับออกไป บางทีเขาอาจจะเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขาก็เป็นได้”
นางเห็นฝูชางนิ่งเงียบไป ดวงตาสีดำสนิทและเย็นชาคู่นั้นมองมาที่ใบหน้าของนาง นางก็อดที่จะก้มหน้าลงอย่างเขินอายไม่ได้
“ที่นี่อากาศร้อนนัก ท่านเทพฝูชางทำไมไม่คุยกันที่ตำหนักของข้า หากว่าท่านมีข้อสงสัยตรงไหน เรื่องไหนที่รู้ข้าไม่มีทางที่จะไม่พูดหรือพูดไม่หมดแน่”
ฝูชางยิ้มแล้วกล่าวออกมาเนิบๆ ว่า”ทำไมจะไม่ได้ เชิญเทพีนำทาง”
เทพีอูเจียงแย้มยิ้มราวกับบุปผา แล้วเดินเท้าเปล่าขึ้นไปบนเรือ จากนั้นเรือก็ค่อยๆ ไหลตามทางน้ำลงไป ฝูชางปล่อยราชสีห์เก้าเศียรไป จากนั้นเขาก็ก้าวมาข้างกายนาง นางครวญเพลงออกมาทันที “มองเห็นอาภรณ์ ข้าก็นึกถึงท่าน ข้าไม่ไปหาท่าน แล้วไยท่านจึงไม่มาหาข้า”
เรือล่องไปตามน้ำอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นด้านหลังภูเขาหินลูกใหญ่ก็มีเทพีสาวบินสวนทางลมขึ้นมาองค์หนึ่ง กระโปรงยาวสีเขียวพลิ้วไสว ผ้าคลุมไหล่สีขาวราวกับปีกใสคู่หนึ่งกำลังขยับไปตามลม ในผมสีดำสนิทนั้นประดับไปด้วยเครื่องประดับทองเป็นประกายแวววาว
นางไม่ได้สังเกตด้านหน้าแม้แต่น้อย และบินมาอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายพลางมองไปรอบๆ อย่างไม่ใส่ใจ ทันใดนั้นนางก็มองฝูชางกับเทพีอูเจียง นางชะงักไปแล้วรีบเบี่ยงสายตาออกแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น จากนั้นก็ค่อยๆ บินห่างไปด้านหน้า
โชคร้ายเกินไปแล้ว เพิ่งจะลงมาโลกเบื้องล่างก็มาเจอฝูชางที่น่ารังเกียจเลย หรือว่าการบ้านของเขาก็คือการมาหาสร้อยไข่มุกเหมือนกัน ถ้ารู้แต่แรก นางยอมให้ฉีหนานบ่นนางไปหนึ่งร้อยปียังดีกว่าต้องลงมาโลกเบื้องล่างนี้อีก
เสวียนอี่รีบหันหน้ากลับไป นางรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ใช่คนดีอะไร พอดีให้นางมาเห็นเลยไม่ใช่หรือ เขากำลังระริกระรี้อยู่กับเทพธิดา ณ โลกเบื้องล่าง พวกผู้ดีจอมปลอมชอบสร้างภาพ!
ฝูชางที่ใบหน้าเย็นชากลับกล่าวออกมาเสียงดังว่า “ศิษย์น้องหญิงเสวียนอี่ เจ้ามาแล้ว”
…เขาหมายความว่าอะไร
เสวียนอี่หรี่ตาลงพิจารณาเขา เขากลับเรียกนางว่า “ศิษย์น้องหญิงเสวียนอี่” วันนี้เทพีซีเหอลากพระอาทิตย์ให้ขึ้นทางตะวันตกหรือไร
นางไม่พูด ฝูชางกลับยิ้มให้นางแล้วกล่าวว่า “เทพีอูเจียงเชิญให้ข้าไปที่ตำหนักของนาง ศิษย์น้องหญิงไปด้วยกันดีหรือไม่”
เสวียนอี่มองไปที่เขา แล้วก็มองไปยังเทพีข้างกายเขาที่งดงามราวกับเดินออกมาจากภาพวาด แล้วนางก็รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าจะต้องมีเรื่องยุ่งยากแน่ อืม แสร้งทำเป็นผ่านมาจะดีกว่า
นางหันหัวกลับไปอีกครั้งแล้วบินห่างออกไปต่อ
ทันใดนั้นฝูชางกลับไล่ตามหลังมาแล้วจับไปบ่านางไว้ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าแววตากลับเยือกเย็นมาก “ศิษย์น้องหญิงไยถึงไม่สนใจข้า”
เสวียนอี่ลอบดิ้นขัดขืนอยู่หลายที แต่ว่ากลับดิ้นไม่หลุด ในแววตาของเขาเขียนบอกเอาไว้ว่า ข้าไม่มีทางปล่อยมือแน่
ซวยจริงๆ นางรู้อยู่แล้วว่ามาเจอเขาทีไรไม่มีทางเจอเรื่องดี
นางยกยิ้มมุกปากแล้วยิ้มเหยียดออกมา “ศิษย์พี่ฝูชาง ข้ามาช้าไปแค่ไม่นาน ศิษย์พี่กลับไปเกี้ยวเทพีที่งดงามอย่างนี้แล้ว ในใจท่านไม่มีข้าอยู่ ข้าไม่สนใจท่านแล้ว! “
ฝูชางชะงักไป “ศิษย์น้องหญิงอย่างงอแง จริงจังหน่อย กู่ถิงหายตัวไปกะทันหัน ศิษย์น้องหญิงไปกับข้า ข้าถึงจะวางใจ”
นางบิดตัวไปมา “ข้าไม่อยากฟัง! ในใจท่านไม่มีข้าแล้วแน่! “
ฝูชางเงียบไปแล้วยื่นกระบี่ฉุนจวินให้นางแล้วกล่าวเรียบๆ ออกมาว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร ใจข้ามั่นคงกับศิษย์น้องไม่แปรเปลี่ยน ให้กระบี่เป็นพยาน”
คิดว่าคำพูดของทั้งสองคนคงจะชวนขนลุกเกินไป ใบหน้าของเทพีอูเจียงจึงกระตุกแล้วกล่าวอย่างฝืนๆ ว่า “ท่านเทพ…เทพี…ตำหนักของอูเจียงอยู่ใต้แม่น้ำ…พวกท่านว่า…พวกเราจะไปกันเมื่อไหร่ดี”
“ไปเดี๋ยวนี้”
ฝูชางเห็นเสวียนอี่เอากระบี่ฉุนจวินมาถือไว้ในมือแล้วโบกไปมาราวกับกิ่งไม้ กล่าวเสียงเย็นว่า “ถือดีๆ “
เสวียนอี่บ่นพึมพำ “ถ้าไม่ให้ข้าเล่น ท่านก็เอาคืนไป”
ฝูชางหันหน้าไปมองนางด้วยสายตาน่ากลัว เสวียนอี่ยิ้มตอบเขาอย่างอ่อนหวานแล้วกอดแขนของฝูชางพร้อมกันกล่าวเสียงหวานว่า “ไปกันเถอะ ศิษย์พี่ฝูชาง”