บุหลันเคียงรัก - บทที่ 29 ค่ายกลชีซา
ฝูชางไม่พูดอะไร แต่กลับขมวดคิ้วแล้วมองมาที่นาง
เสวียนอี่ยิ้มไปให้เขาแล้วพลันเห็นเขาใช้มือยันพื้นลุกขึ้น นางไม่รอให้เขาเดินเข้ามา และรีบใช้สองมือประคองกระบี่ฉุนจวินส่งไปให้เขาอย่างเชื่อฟัง เทพโง่เง่าชั่วช้าไร้สมอง ผู้หญิงอย่างข้าไม่มีทางยอมเสียเปรียบหรอก
ฝูชางปรายตาไปมองนาง “เมื่อครู่นี้ไฉนต้องหนีด้วย”
ที่เรียกนางมาก็เพราะนางคือตระกูลจู๋อินที่เก่งกาจ ใครจะรู้ว่านางจะไร้ประโยชน์ได้ขนาดนี้ ครั้งที่แล้วที่ไปหาเทพเฟยเหลียนก็เหมือนกัน ตอนนั้นเขายังคิดว่านางปิดบังความสามารถเอาไว้ ที่ไหนได้ นางมันขยะชัดๆ
เสวียนอี่กล่าวอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรว่า “ข้าต่อยตีไม่เป็น”
ตระกูลเทพมังกรจู๋อินที่เชี่ยวชาญการต่อสู้และกล้าหาญองอาจ เหตุไฉนพอนางพูดออกมากลับกลายเป็น “ต่อยตี” เสียได้
“แล้วเจ้ากลับมาอีกทำไม”
เสวียนอี่มองไปที่เขาราวกับมองคนโง่ “มีหญ้าน้ำกำลังไล่ตามข้าอยู่ ข้าหนีไปไม่ได้”
ฝูชางหายใจติดขัดขึ้นมา จะกลืนก็ไม่ได้จะคายก็ไม่ออก เขาไม่อยากจะสนใจนางอีก เขาฟังเสียงรอบด้าน ก็ได้ยินเสียงด่าของกู่ถิงดังมาจากในตำหนัก ฟังดูแล้วตอนนี้เขาน่าจะยังไม่เป็นอะไร
ครั้นมองไปที่ตาค่ายกลของค่ายชีซา แสงสีแดงที่ตรงบริเวณเสาหินหักๆ เหล่านั้น จากขนาดของตาค่ายกล คิดว่าน่าจะครอบคลุมตำหนักเทพแม่น้ำทั้งตำหนัก แต่ว่าเขากลับไม่รู้สึกว่าถูกชิงเอาพลังเทพไป และยังรู้สึกว่าพลังเทพที่เสียไปเพราะพิษปีศาจกำลังกลับฟื้นฟูมาอย่างรวดเร็วอีกด้วย
ฝูชางย่อตัวลงไปคว้าหิมะขึ้นมากำหนึ่ง แล้วปล่อยให้มันไหลออกไปจากระหว่างง่ามนิ้ว หิมะของจู๋อิน มิน่าเล่า ก็ยังนับว่านางพอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง
“ข้ามีคำถามอยู่ข้อหนึ่ง” เสียงนุ่มนวลของเสวียนอี่ดังขึ้นมา “เมื่อไหร่พวกเราจะไปจากที่นี่กัน”
ฝูชางกุมกระบี่ฉุนจวินแล้วมองไปยังแสงจากค่ายกลชีซาที่แผ่กระจายไปทั่วบนพื้นแล้วกล่าวว่า “ทนอีกสักครู่”
เสวียนอี่กล่าวเสียงต่ำว่า “ทางที่ดีเร็วหน่อยจะดีกว่า พลังเทพข้าเบาบางมาก ทนได้อีกไม่นาน”
พอกล่าวจบนางก็โยนหิมะขนาดประมาณกำปั้นมาแล้วกล่าวว่า “หากว่าลูกหิมะละลายแล้ว ทุกคนก็อยู่ที่นี่รอเป็นอาหารของนางแล้วกัน”
ฝูชางยอมให้หิมะเข้ามาในอกของเขา ทันใดนั้นก็พลันคว้าแขนของนางเอาไว้แน่น นิ้วทั้งห้าของเขาจับนางเอาไว้ราวกับคีมเหล็กจนทำให้นางดิ้นรนไปไหนไม่ได้
เสวียนอี่ขมวดคิ้วมองไปที่เขา “หมายความว่าอะไร”
เขากล่าวเสียงเรียบว่า “หมายความว่า อย่าเป็นตัวถ่วง”
นาง? เป็นตัวถ่วง? เสวียนอี่กำลังจะโต้เถียงกลับ แต่ฝูชางกลับดึงกระบี่ฉุนจวินออกมา แล้วแสงสะท้อนกระบี่ก็สว่างวาบ ค่ายกลชีซาบนพื้นถูกฟันจนแตกออก พลังเทพและพลังปีศาจที่สะสมอยู่ในนั้นก็ระเหยออกมา แล้วก็มีแรงสายหนึ่งดึงร่างของนางจนเท้าลอยขึ้นจากพื้นเร็วราวกับสายฟ้า ก็ได้ ดูแล้วนางคงจะเป็นตัวถ่วงจริงๆ
เสียงโต้เถียงกันในตำหนักเงียบลง แล้วร่างอรชรอ้อนแอ้นของเทพีอูเจียงก็ปรากฏที่หน้าประตู ฝูชางรวบรวมสมาธิแล้วท่องคาถาออกมา นิ้วหนึ่งกดไปที่บ่าของนางจนนางร้องออกมาอย่างตกใจ ร่างของนางลอยกลับไปด้านหลังไปไกลถึงสิบกว่าจั้ง และถูกลำแสงสีทองยึดเอาไว้จนขยับไม่ได้
“ฝูชาง! องค์หญิงเสวียนอี่”
กู่ถิงที่อยู่ในตำหนักเสื้อผ้าหลุดลุ่ยผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอบสีแดง ไม่รู้ว่าถูกจุมพิตไปกี่ครั้ง ไร้ท่าทีเข้มงวดและเคร่งขรึมเช่นในเวลาปรกติ เสวียนอี่ถูกสายตาเขาที่มองมาด้วยความยินดีจนอดไม่ได้ที่จะหลุดขำพรืดออกมา
“รีบไป” ฝูชางท่องคาถาต่อ ทำให้แสงสีทองที่ไปยึดเทพีอูเจียงมากขึ้น แล้วถึงได้คว้าเสวียนอี่พุ่งไปที่ประตูใหญ่ตำหนัก แล้วใช้กระบี่ฟันไปที่ประตู พริบตาเดียวก็มีแสงสว่างส่งเข้ามา รอบด้านกลายเป็นใต้น้ำมืดสนิท พลังเทพในร่างของเขาสั่นไหว แล้วแสงเทพก็เปล่งออกมาจากร่างจนทำให้พื้นที่ในรัศมีรอบสิบลี้ใต้แม่น้ำสว่างขึ้นมา
เสวียนอี่รู้สึกตาจะบอด นางรีบใช้มือข้างหนึ่งมากุมเอาไว้แน่น แล้วก็ได้ยินเสียงของกู่ถิงดังมาว่า “ปีศาจนี่ใจกล้าจริงๆ ! นางไม่เพียงแต่จะฆ่าเทพแม่น้ำตายทั้งตระกูล ยังสวมรอยเป็นเทพแม่น้ำ แล้วจับตัวเหล่าเทพที่ผ่านไปมาเอามากินเป็นอาหารอีก! โทษมหันต์อย่างนี้ เทพที่อยู่แถวนี้กลับไม่มีใครรายงานไปเบื้องบน! “
ถึงจะไม่พอใจ แต่ว่าเขาก็ไม่ยอมรับไม่ได้ว่า ตบะของเทพีอูเจียงคนนี้ลึกล้ำจนยากจะหยั่งถึง คิดว่าแม้แต่เทพเฟยเหลียนยังยากจะต่อกรกับนางได้ ปีนี้เทพเฟยเหลียนมีอายุสามแสนสองหมื่นปี ปีศาจที่ร้ายกาจกว่าเขา ก็ล้วนแต่เป็นตระกูลปีศาจโบราณขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงทั้งนั้น ไม่มีทางที่จะไม่มีบันทึกไว้ในแดนเทพแน่ จริงๆ แล้ว หากว่าที่โลกเบื้องล่างมีปีศาจที่อายุเกินกว่าหนึ่งแสนปีอยู่ เทพภูเขาและพื้นดินก็จะรีบรายงานไปที่เทพผู้ตรวจการทันที และให้พวกเขาบันทึกลงในหนังสือ ไม่มีทางที่จะตกหายไปได้แน่
แล้วยิ่งเป็นปีศาจที่กินเทพด้วยแล้ว นี่มันไม่เคยมีมาก่อนเลย! แดนเทพกลับไม่มีใครรู้เรื่อง และให้พวกเขาทั้งสามคนมาที่นี้อย่างไม่รู้อะไรจนเกือบจะต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้
ทันใดนั้นด้านหลังก็มีเสียงนุ่มนวลของหญิงสาวดังขึ้น “ที่แท้ก็ตระกูลจู๋อิน มิน่าเล่าถึงได้หนีออกมาเร็วขนาดนั้นได้ แล้วยังเอาสร้อยไข่มุกของข้าไปอีก ข้ากลับมองพลาดไปได้ แต่ว่า พลังเทพที่เบาบางขนาดนี้ อายุน้อยขนาดนี้ ทำไมผู้ใหญ่ในตระกูลเจ้าถึงได้วางใจยอมปล่อยเจ้าออกมา”
พวกเขาต่างตกใจกันมาและรีบหันกลับไปมอง แล้วก็เห็นว่าเทพีอูเจียงกำลังเดินอยู่บนดอกบัวสีขาวบนฟ้า และไล่ตามหลังพวกเขามาอย่างไม่ช้าไม่เร็ว ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามบินอย่างไรก็สะบัดนางไม่พ้น
กู่ถิงกล่าวอย่างโมโหว่า “เจ้ามีโทษมหันต์แล้ว! ยังกล้าทำผิดอีก! “
เทพีอูเจียงยิ้มน้อยๆ “ได้ยินว่ามหาเทพไป๋เจ๋อคืออาจารย์ของพวกเจ้า ข้าไม่ได้พบมหาเทพไป๋เจ๋อมานานแล้ว ชักจะคิดถึงเขาแล้ว เขายังคงมีท่าทางน่าขบขันเหมือนยังไม่โตแบบเดิมอีกหรือไม่”
พูดจาไม่ละอาย! จิตใจที่เคารพเทิดทูนอาจารย์ของกู่ถิงถูกจุดไฟขึ้น เขาอดไม่ได้ที่จะโต้แย้งออกมาเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของอาจารย์ แต่กลับได้ยินปีศาจสาวถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “เทพฝูชาง กระบวนท่าเมื่อครู่นี้ของเจ้าแทงข้าเจ็บไม่น้อยเลย เจ้าต้องชดใช้ให้ข้า”
เทพีอูเจียงปลดผ้าคลุมไหล่ของนางออกแล้วยิ้มออกมา “ลงโทษเจ้าให้ต้องอยู่เป็นเพื่อนคุยกับข้า”
นางสะบัดผ้าคลุมเบาๆ ผ้าก็ยาวถึงสิบกว่าจั้งจนปิดท้องฟ้าอาไว้ เสวียนอี่ร้อนรนขึ้นมาทันที แล้วบิดแขนไปมาอย่างแรงอยากจะสะบัดมือของฝูชางออกไป เขาเอาชีวิตตัวเองไปทิ้งก็ไป! แต่ปล่อยนางไปก่อนสิ!
แต่ภาพเบื้องหน้าพลันขาวโพลน ผ้าคลุมไหล่ที่อ่อนนุ่มไม่รู้ห่อหุ้มพวกเขาทั้งสองเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ พริบตาเดียวก็รัดพวกเขาทั้งสองแน่น แล้วแรงมหาศาลสายหนึ่งก็ลากเอาพวกเขาไป เสวียนอี่รู้สึกราวกับโลกตีลังกา แล้วร่างของนางก็ลอยกลับไป
เร็วจนตั้งตัวไม่ทัน ฝูชางผิวปากออกมา ราชสีห์เก้าเศียรที่เดิมซ่อนตัวอู่ในกลุ่มเมฆก็โผตัวลงมาแล้ว อ้าปากงับกู่ถิงที่เตรียมจะลงมือเข้าช่วยเหลือ มันไม่สนใจว่าเขาจะร้องตะโกนและดิ้นรนขนาดไหน มันรีบหนีไปอย่างรวดเร็วดัง “ฟุบ” และกลายเป็นจุดเล็กๆ สีดำไปในทันที
ในอ้อมอกยังมีร่างเล็กที่กำลังดิ้นรนอยู่ องค์หญิงผู้โชคร้ายคนนั้นถูกผ้าคลุมไหล่ม้วนเข้ามาด้วยกัน ฝูชางถอนหายใจออกมาแล้วเปิดผ้าคลุมไหล่ออก จากนั้นก็คว้าไปที่ปกเสื้อด้านหลังของนางแล้วโยนไปข้างหลังเขาอย่างไร้ซึ่งความปรานีราวกับเป็นแค่ถุงใบหนึ่ง
เจ็บมาก เจ็บมากๆ ! เสวียนอี่เจ็บจนใช้มือทั้งสองคว้าไปทั่ว แต่ว่ากลับถูกมือของเขาจับเอาไว้แน่นจนขยับไม่ได้
เทพีอูเจียงหยุดฝีเท้าที่ไล่ตามลง แล้วก็มองไปที่กระบี่ฉุนจวินที่เอวของฝูชาง จากนั้นก็มองไปยังใบหน้าเย็นชาของเขาแล้วยิ้มเบาๆ นางจัดเสื้อผ้าให้เป็นระเบียบแล้วกล่าวว่า “เทพฝูชาง บุรุษหน้าตาหล่อเหลาอย่างเจ้า จะต้องรู้จักและทะนุถนอมมากกว่าเทพน้อยองค์เมื่อครู่นั้นแน่ กลับไปกับข้าดีหรือไม่ แน่นอนว่า หากเจ้าคิดว่ารูปโฉมข้าพอจะเข้าตา พวกเราก็ไปหาเรื่องที่ความสุขกว่านี้ทำกันก็ย่อมได้”
พูดถึงสุดท้าย เสียงของนางก็กลายเป็นน้ำเสียงออดอ้อน ดวงตาสุกใสเป็นประกายวาวฉ่ำ