บุหลันเคียงรัก - บทที่ 33 ปั่นป่วนหัวใจข้า
เมฆหมอกบนฟ้าสลายไปราวกับถูกมือคู่ยักษ์แหวกออก เสียงอึกทึกของผู้คนที่ผ่านไปมาภายในศาลเทพบูรพาค่อยๆ เบาลง ปลาดุกอุยน้อยบนฝ่ามือหลับลึกยิ่ง ทั้งยังหงายหน้าท้องออกมาด้วย
ฝูชางใช้เสื้อคลุมคลุมนางเอาไว้เพื่อป้องกันแสงจากดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรง พลันได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาใกล้ขึ้น และได้ยินเสียงดังอย่างร้อนรนว่า “เป็นเรื่องจริง! เมื่อครู่นี้พวกข้ารู้สึกได้จริงๆ ว่าใต้ต้นท้อศักดิ์สิทธิ์ต้นนั้นมีของไม่สะอาดอยู่! ที่พื้นปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งเต็มไปหมด! และยังมีลมประหลาดอีก! ราชครูจูเสีย ท่านจะต้องตรวจสอบให้ดีๆ นะขอรับ! “
ระหว่างที่พูดกัน ที่ด้านหลังก็มีคนกลุ่มใหญ่เดินติดตามชายที่สวมชุดตัวยาวสีแดง สวมหมวกแพรทรงสูงเอาไว้ เพราะเห็นว่าน้ำแข็งใต้ต้นท้อละลายไปหมดแล้ว ผู้คุ้มกันทั้งสี่คนนั้นจึงได้แต่ชี้ไปที่ใบท้อที่ร่วงลงมาเต็มพื้นแล้วกล่าวว่า “ท่านราชครูลองดูนี่สิขอรับ! ใบท้อร่วงลงมาอย่างไร้สาเหตุ! เมื่อครู่นี้นี้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้นจริงๆ นะขอรับ! “
ฝูชางนั่งอยู่ใต้ต้นท้อและมองไปที่ ‘ราชครู’ ผู้นี้นิ่งๆ นี่มันใช่ราชครูที่ไหนกัน มันคือปีศาจชัดๆ พอมองไปเห็นชาวเผ่าเทพนั่งอยู่ใต้ต้นท้อ สีหน้าของราชครูก็เขียวขึ้นมา เขาหาข้ออ้างไล่คนอื่นๆ ออกไป พก่อนจะประสานมือคารวะอย่างระมัดระวัง กล่าวตะกุกตะกักว่า “มิทราบว่า…ท่านเทพลงมาที่โลกเบื้องล่างนี้…เพราะว่า…เหตุใด…”
ยังไม่ทันจะกล่าวจบ ก็เห็นปลาดุกอุยน้อยตัวยาวบนฝ่ามือของฝูชางเข้า สีหน้าของเขาพลันขาวซีดแล้วกล่าวว่า”นี่…หรือว่าจะเป็นท่านเทพมังกรจู๋อิน”
พอกล่าวจบ กระบี่ฉุนจวินเย็นเยียบก็จ่อที่คอหอยของเขา ราชครูตัวแข็งค้าง กล่าวเสียงสั่นว่า “ข้าไม่ได้ทำร้ายคน! ข้าคือปีศาจขาเดียวซานเซียวที่ภูเขาไท่สิง! แต่ข้าหลงใหลความเจริญของโลกมนุษย์ ถึงได้มาเป็นราชครู! ขอท่านเทพโปรดไว้ชีวิตด้วย! “
เสียงวิงวอนของเขาดังเกินไป ปลาดุกอุยน้อยบนฝ่ามือร้อง “จิ๊” ออกมาอย่างไม่เป็นมิตร นางพลิกตัว ท้องก็พลันมีเสียงโครกครากดังสนั่น องค์หญิงมังกรตัวนี้ ใช้งานไม่ค่อยได้ แต่กลับสร้างปัญหาได้เก่งยิ่งนัก บาดเจ็บแล้วยังจะหิวเร็วอย่างนี้อีก
ฝูชางกล่าวเรียบๆ “ส่งของกินมา”
ราชครูพยักหน้าแรงๆ “ได้ขอรับ! ได้ขอรับ! “
เขาพยายามเหลือบตามองกระบี่ฉุนจวินที่พาดอยู่บนคอ กระบี่วิเศษเล่มนี้ทำให้เขาเหงื่อแตกพลั่กตัวก็อ่อนไร้เรี่ยวแรงดุจปุยฝ้าย แต่ว่ามันกลับไม่มีทีท่าว่าจะออกห่างไปจากคอของเขาเลย
ฝูชางมองแล้วกล่าวว่า “เรื่องที่นี่ หากว่าเจ้ากล้าพูดออกไปแม้แต่ครึ่งคำละก็”
เขาไม่ทันได้พูดประโยคต่อจากนั้น ราชครูก็รีบรับปากว่า “ข้า…ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น! ข้าขอตัวก่อน! “
เขาค้อมตัวแล้วถอยออกไป ชนภูเขาจำลองข้างสระน้ำจนพลิกคว่ำแต่กลับไม่สนใจจะจับมันขึ้นมา เสียงนี้ทำให้ปลาดุกอุยน้อยบนฝ่ามือขยับตัวอีกครั้งอย่างไม่พอใจ พลันเอาหัวมุดเข้าไปในคอเสื้อของฝูชาง ก้อนเย็นๆ ก้อนนั้นขดตัวอยู่ที่หน้าอกของเขา นางอ้าปากแล้วหาวออกมา ก่อนจะมุดศีรษะเข้าไปในคอเสื้ออีกเพื่อหนีเสียงรบกวน
ฝูชางกดก้อนเย็นๆ ที่หน้าอกตามสัญชาตญาณด้วยสีหน้าลำบากใจอย่างหาได้ยาก เขาแหวกสาบเสื้อแล้วก้มลงไปมองปลาดุกอุยน้อยในอ้อมอกอย่างจนใจ ถึงแม้ว่านางจะหลับลึก แต่ว่ากลับไม่ยอมอยู่เฉย หัวของนางขยับไปมาไม่หยุด แนบชิดกับผิวกาย ทั้งเย็นทั้งจั๊กจี้
ฝูชางลองจับไปปลาดุกอุยตัวนั้น อยากจะเอานางออกมาจากอก แต่นางกลับบิดตัวอย่างไม่พอใจ หัวที่ห้อยอยู่บนคอเสื้อก็ลู่ลงมาอย่างไร้เรี่ยวแรง
เขายิ่งจนใจกว่าเดิม อยากจะฝืนดึงนางออกมา แต่ก็กลัวว่าจะไปถูกบาดแผลเข้า หลังจากนิ่งอึ้งอยู่นาน สุดท้ายก็ต้องปล่อยเลยตามเลย
รอบด้านเงียบสงบอีกครั้ง มีเพียงเสียงหายใจเบาๆ ของปลาดุกอุยในอก ใบท้อสีเขียวร่วงลงมาราวกับฝนโปรย และยังมีบางใบร่วงใส่ศีรษะเล็กๆ ของนาง ฝูชางใช้ปลายนิ้วหยิบออกมาให้นางเบาๆ อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปคลำเขาเล็กๆ สองข้างของนาง
รู้สึกดีจริงๆ
ไม่นานราชครูก็กลับมา ทั้งยังเก็บอาหารเต็มสามโต๊ะไว้ในห้วงมิติในแขนเสื้อ ก่อนจะวางใต้ต้นท้ออย่างเคารพนอบน้อม กล่าวว่า “เรียนท่านเทพ อาหารเหล่านี้ข้าน้อยได้เลือกสรรมาแล้ว สะอาดแน่นอน หวังว่าจะถูกปากของท่านเทพ ข้าน้อยไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ขอตัวก่อน เชิญท่านเทพตามสบาย”
ฝูชางลุกขึ้นมองอาหารเหล่านั้น อาหารของโลกมนุษย์ส่วนมากจะหยาบ ของที่ราชครูนำมาเหล่านี้ นับว่าหาได้ไม่ง่ายเลย เขาเลือกอยู่พักหนึ่งแต่กลับมีแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้นที่กินได้ จึงได้แต่เลือกเอาของว่างทานกับชาที่มีสีสันสวยงามชิ้นหนึ่งแล้วแตะที่ริมฝีปากปลาดุกอุยนั่น
นางย่นจมูก ทันใดนั้นก็อ้าปาก กลืนของว่างชิ้นนั้นลงไปทั้งหมด
เห็นร่างเล็กของนางแล้ว ของว่างชิ้นเดียวก็น่าจะพอแล้ว ร่องรอยการเดินทางของพวกเขาถูกเปิดเผย จึงไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่ได้นาน ฝูชางกดไปที่อก ขณะที่กำลังจะจากไป ปลาดุกอุยตัวนี้ก็ร้อง “จิ๊” ออกมาอย่างไม่พอใจ
ฝูชางจนใจ ได้แต่หยิบเอาของว่างขึ้นมากำหนึ่ง แล้วมองนางกินเข้าไปในปากทีละชิ้นๆ จนร่างกลมขึ้นมา ถึงได้ขดตัวกลับไปในคอเสื้ออย่างพอใจและเรอออกมาในนั้น
ตอนนี้เขารู้สึกราวกับว่านางไม่ได้นอนหลับอยู่ เขาแหวกคอเสื้อออกดู ดวงตาคู่เล็กของนางยังคงปิดสนิท นางหาท่าทางสบายที่สุดแล้วนอนหลับจนน้ำลายไหล
มหาเทพแห่งเขาจงซานเลี้ยงนางโตมาถึงขนาดนี้ได้จะต้องมิใช่เรื่องง่ายเลย
ฝูชางดำลงไปในดิน อึดใจเดียวก็ห่างออกมาไกลอีกพันลี้ และมุ่งหน้าไปยังทางประตูสวรรค์ทิศใต้ ปีศาจปลาดุกตัวนั้นหาพวกเขาไม่เจอ จะต้องไปวนเวียนอยู่แถวๆ ประตูสวรรค์ทิศใต้แน่ แต่ไม่ว่าอย่างไร เข้าไปใกล้ประตูสวรรค์ทิศใต้อีกหน่อย ก็มีความหวังที่จะหนีพ้นย่อมมากขึ้นอีกหน่อย
ด้านหน้าพลันปรากฏเงาร่างอยู่รำไร ดูแล้วเหมือนจะเป็นเงาของตึกรามบ้านช่องมากมาย น่ากลัวว่าจะเป็นวังใต้ดินของเผ่าปีศาจโบราณอะไรสักอย่าง หากเขาพุ่งผ่านไปตรงๆ จะต้องถูกซักถามแน่ ฝูชางไม่อยากสร้างเรื่องยุ่งยาก จึงกระโดดขึ้นมาบนพื้นดิน เห็นเพียงแสงจันทร์จากฟ้าสาดส่องลงมา ทั่วทุกแห่งหนเต็มไปด้วยใบหญ้าและก้อนหินวางสะเปะสะปะ ทั้งไม่รู้ว่าเป็นถิ่นร้างห่างไกลผู้คนแห่งหนใด
โลกมนุษย์เข้าสู่ช่วงดึกสงัด หากว่าทุกอย่างเรียบร้อย อีกไม่นานกู่ถิงก็น่าจะพาคนมาช่วยได้แล้ว
ฝูชางไม่กล้าประมาท เขาถือกระบี่ฉุนจวินเอาไว้ในมือ ขี่ลมมุ่งไปข้างหน้า เขาบินอ้อมหน้าผาไป และก็ได้ยินเสียง “เอ๋” ดังขึ้นมา เสียงนั้นนุ่มนวลอ่อนหวานและคุ้นหูอยู่บ้าง
เขาปรายตามองไป ก็เห็นว่าบนหน้าผานั้นมีศาลาไผ่ที่สวยงามตระการตาอยู่แห่งหนึ่ง เทพเซ่าอี๋ที่ควรจะโลดแล่นอยู่ที่ทะเลบูรพา เวลานี้มือซ้ายเขาถือจอกเหล้าหยกสีน้ำเงินไว้ มือขวาโอบปีศาจสาวหน้าตางามนางหนึ่ง และกำลังนอนเอกเขนกอยู่ในศาลา ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่หนึ่งส่วน มีความประหลาดใจอยู่สามส่วน มองมาที่เขาอย่างอึ้งๆ
“ศิษย์น้องฝูชาง? ” เซ่าอี๋ร้องออกมาเบาๆ ด้วยความตกใจ “ไฉนเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่เสียได้”
ปีศาจสาวที่อยู่ข้างกายเขาได้ยินคำว่า “ฝูชาง” ก็ผุดลุกขึ้นมา มือทาบที่อกอุทานว่า “สวรรค์! เขาก็คือเทพฝูชางอย่างนั้นหรือ?! “
ฝูชางนิ่งเหมือนยอมรับ หันหน้ามองไปที่เซ่าอี๋ เขาปล่อยมือออกอย่างจนใจแล้วยิ้มน้อยๆ “ไม่ผิด เขาก็คือเทพฝูชางคนนั้น หนิงอิงเจ้าช่วยตั้งสติหน่อย อย่าตื่นเต้นเกินไป ศิษย์น้องฝูชาง เชิญทางนี้”
ฝูชางเลิกคิ้วขึ้น ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยปากว่า “…เช่นนั้นก็รบกวนศิษย์พี่เซ่าอี๋แล้ว”
เขากระโดดเบาๆ พลิ้วกายร่อนลงในศาลา ปีศาจสาวข้างกายเซ่าอี๋อุทานออกมาอีกครั้ง ใบหน้าของนางแดงก่ำ นางยกมือกุมหน้าไว้แล้วจ้องเขาเขม็ง
เซ่าอี๋ยิ้มพลางยัดกาเหล้าใส่มือนาง กล่าวอย่างสบายอารมณ์ว่า “หนิงอิง เจ้ามารินเหล้าดีหรือไม่”
ฝูชางใช้มือบังจอกเหล้าไว้ เอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าดื่มเหล้าไม่เก่ง ไม่รบกวนองค์หญิงแล้ว”
เซ่าอี๋ยืนคอตรงแล้วยิ้มบางออกมา “ดูไม่ออกเลยว่าสายตาของศิษย์น้องฝูชางจะเฉียบคมขนาดนี้ หนิงอิง เจ้าดูสิ เขารู้แล้วว่าเจ้าคือองค์หญิงของหนึ่งในสิบแปดเผ่าปีศาจโบราณ ทีนี้เจ้าดีใจได้แล้วสินะ”
ปีศาจสาวที่ชื่อหนิงอิงหน้าแดง นางก้าวมาด้านหน้าแล้วยอบกายคารวะ กล่าวเสียงหวานว่า “เทพฝูชาง ข้าคือบุตรีคนที่สี่ของราชาหนู ชื่อว่าหนิงอิง ข้าได้ยินชื่อเสียงและความองอาจสง่างามของเทพฝูชางมานานแล้ว วันนี้เมื่อได้เห็น นับว่าสมชื่อจริงๆ “