บุหลันเคียงรัก - บทที่ 36 วิกฤตการณ์
เทพีอูเจียงรินเหล้าดื่มเองอีกแล้วแค่นยิ้มออกมา “เดิมเห็นว่าเจ้าคือตระกูลจู๋อิน ยังต้องให้เกียรติอยู่บ้าง ใครจะรู้ว่าเจ้าจะไร้ประโยชน์อย่างนี้ องค์หญิงน้อย ขาเจ็บหรือไม่ จะได้สอนให้เจ้ารู้ว่า ต่อให้เจ้าไม่กลัวพลังห้าธาตุและหยินหยาง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็หนีพิษปีศาจของข้าไม่พ้น ขอเพียงมันสัมผัสกับเลือดเนื้อของเจ้า ทั้งชีวิตนี้เจ้าก็อย่าได้คิดเลยว่าจะถอนมันออกมาได้เลย ขอแค่ข้าต้องการ ขาขวาข้างนี้ของเจ้าก็จะเสียไปทันที หึ! ตระกูลจู๋อินอะไร! เทพสาวอะไร! มันก็แค่นี้เอง!”
นางกระแทกแก้วลงบนโต๊ะอย่างแรง ร่างของเสวียนอี่สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะถลกกระโปรงขึ้นมาดูด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ นางจึงเห็นว่าบาดแผลที่เลือดหยุดไปแล้วนั้นปริและมีเลือดไหลออกมาอีกครั้ง ความเจ็บปวดนี้ทำให้หน้าผากของนางเต็มไปด้วยเหงื่อ
เสวียนอี่มองบาดแผลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงได้เอากระโปรงลง พลางกล่าวออกมาอย่างเนิบนาบด้วยสีหน้าเหนื่อยล้าว่า “เทพีฝีมือยอดเยี่ยมจริงๆ แต่ว่าข้าก็ยังคงล้างหูรอฟังอยู่ดี ขอให้เทพีช่วยคลายสงสัยให้ข้าด้วยว่าเทพสาวผู้นั้นคือใคร”
เทพีอูเจียงจ้องนางอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะมั่นใจกับความฉลาดของเจ้ามาก ในเมื่อเจ้าต้องการถ่วงเวลา เช่นนั้นข้าก็จะถ่วงเป็นเพื่อนเจ้า เด็กน้อยอย่างนี้เจ้ามีคุณสมบัติอะไรมาถามข้า ต้องเป็นข้าต่างหากที่ถามเจ้า!”
เสวียนอี่ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ก็ได้ เทพีสงสัยอะไร”
เทพีอูเจียงพิจารณานางราวกับแมวหยอกหนู “เจ้าลองเดาสิว่า ทั้งๆที่เจ้าหนีไปเร็วแล้ว หลบไปได้ไกลแล้ว แต่ว่าทำไมข้าถึงยังไล่ตามพวกเจ้าทันได้ หากว่าเดาไม่ถูก ข้าจะกินขาข้างขวาของเจ้าซะ”
เสวียนอี่หยิบสร้อยไข่มุกออกมาจากในอกแล้วกล่าวเรียบๆว่า “เกรงว่าปัญหาน่าจะอยู่ที่สร้อยเส้นนี้ เมื่อครู่นี้ข้าลองตรวจสอบดูแล้ว อาจารย์บุกเบิกวิถีแห่งธรรมชาติและศึกษาเรื่องราวของสรรพสัตว์สรรพสิ่ง อาจารย์ล้วนแต่แบ่งสรรพสิ่งออกเป็นสามอย่าง ข้าลองนับไข่มุกดูแล้ว แต่ว่ามันกลับมีสามสิบสี่เม็ด เกรงว่าหนึ่งในนั้นน่าจะเป็นของปลอมที่เทพีสร้างขึ้นมา แต่ว่าพลังเทพของข้าเบาบางจึงมองไม่ออกว่าเม็ดไหนที่ปลอม”
เทพีอูเจียงคิดไม่ถึงว่านางกลับจะพูดได้ถูกต้อง จึงเงียบไปอยู่นาน
เสวียนอี่กล่าว”ตอนนี้ข้าจะรอฟังได้หรือยัง เทพี”
เทพีอูเจียงนึกไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่านางจะพูดเช่นนี้จริงๆ จึงพูดสวนกลับไปไม่ออก
เสวียนอี่กล่าวว่า “ตอนนี้ข้าสามารถล้างหูรอฟังได้แล้วหรือยัง เทพี”
เทพีอูเจียงมองไปยังแววตาราบเรียบไร้คลื่นคู่นั้นของนาง ต่อให้ขาด้านขวาของนางจะโชกไปด้วยเลือด แต่ว่านางกลับยังคงไว้ซึ่งท่าทีสง่างามของตระกูลจู๋อินเอาไว้ นางนั่งหลังตรงราวกับอาการบาดเจ็บไม่ได้ส่งผลอะไรกับนาง
เทพีอูเจียงค่อยๆเก็บสีหน้าดุจแมวหยอกหนูไป เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “องค์หญิงน้อยฉลาดเฉลียวมากจริงๆ ทำให้ข้าเลื่อมใสนัก ได้ ข้าจะบอกเจ้า ข้าเคยมีน้องสาวอยู่คนหนึ่ง เมื่อสองหมื่นปีก่อนข้าและนางเป็นเพียงปีศาจปลาตัวเล็กๆของแม่น้ำอูแห่งนี้เท่านั้น วันนั้นอาจารย์ของพวกเจ้าผ่านมาที่แม่น้ำแห่งนี้แล้วทำสร้อยไข่มุกตกลงมากระแทกใส่น้องสาวของข้าตาย เขาบอกกับข้าว่า เดิมน้องสาวข้าควรจะมาเกิดเป็นบุตรสาวของเทพแห่งแม่น้ำอู แต่ว่ากลับลงมาเกิดผิดที่ ดังนั้นเขาจึงได้รีบนำสร้อยไข่มุกมาทิ้งที่นี่ก่อนที่น้องสาวข้าจะมีอายุครบห้าพันปี และนำนางกลับไปเพื่อไปเกิดใหม่กับเทพ ทั้งยังได้เอาสร้อยไข่มุกเส้นนี้มอบให้ข้าเป็นที่ระลึก หากว่าอนาคตน้องสาวของข้าโตขึ้นและรับรู้เรื่องราวได้แล้ว ข้ากับนางก็ยังจะสามารถรู้จักกันได้อีก”
สองหมื่นปีก่อน? เทพทั้งสามลอบตกใจ จากที่นางกล่าวมา การที่ปีศาจจะแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ต้องฝึกฝนนานนับพันปี พอมารวมกับตบะอีกสองหมื่นปีแล้ว มิน่าเล่าแดนเทพถึงได้ไม่มีบันทึกของนางเอาไว้ นางยังห่างกับหนึ่งแสนปีมากนัก
เสวียนอีใช้แขนเสื้อปิดปากด้วยความตะลึง มองประเมินนางอย่างนับถือ “เป็นปีศาจกลับสบายเพียงนี้เชียว สองหมื่นปีกลับร้ายกาจยิ่งว่าเทพอายุหลายแสนปีเสียอีก ข้ารู้สึกอิจฉาขึ้นมาแล้วสิ”
เทพีอูเจียงยิ้มออกมา “องค์หญิงน้อยเจ้าเล่ห์อย่างเจ้า คิดจะหลอกถามข้ารึ เจ้าอายุน้อยอย่างนี้แต่กลับฉลาดเกินไป นี่ไม่ใช่เรื่องดีอะไร ในเมื่อข้าล่วงเกินตระกูลจู๋อินไปแล้ว ก็ล่วงเกินจนถึงที่สุดไปเลยแล้วกัน!”
เล็บมือนางพลันยาวขึ้นมาหลายชุ่น ปลายเล็บเรียวแหลมดุจคมมีด นางพูดว่าจะลงมือก็ลงมือ หมายจะควักหัวใจของเสวียนอี่ออกมาโดยไม่มีการบอกกล่าว
กริก เสียงหนึ่งดังก้องออกมา เล็บคมราวมีดนั้นกระทบกับกระบี่ฉุนจวินที่เข้ามาขวางเอาไว้ เล็บของนางหักลงไปหลายนิ้วในพริบตา ฝูชางเองก็ถูกพลังมหาศาลของนางกระแทกจนต้องถอยหลังไปหลายก้าว นิ้วของเขาปวดมากจนแทบจะกำกระบี่ฉุนจวินเอาไว้ไม่อยู่
เทพีอูเจียงยิ้มเย็น “เทพฝูชาง หากว่าเจ้ายังปกป้องนาง ข้าจะฆ่าเจ้าไปด้วยเลย”
นางกลายเป็นสายลมเย็นสายหนึ่งพุ่งโถมเข้ามาและคว้าไปที่เสวียนอี่ ใครจะรู้ว่าด้านหลังกลับร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างฉับพลัน เซ่าอี๋กางแขนออกแล้วกอดนางเอาไว้ ปลายนิ้วคีบดอกเปลวเพลิงอมตะมาไว้ตรงหน้านางแล้วกล่าวเสียงนุ่มนวลว่า “เทพี ข้าไม่ค่อยจะชอบเห็นหญิงงามฆ่าฟันกันนัก พวกเรามานั่งจิบสุราพูดคุยกันดีกว่า อย่าลงมือกันเลย”
เทพีอูเจียงยื่นมือไปขยำดอกเพลิงอมตะนั้น เสียงดัง “ฟุบ” เพลิงก็ดับมอดลงทันที นางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เทพทั้งสองอย่างพวกเจ้ากลับยอมลำบากลำบนคิดแผนการมากมายเพื่อช่วยองค์หญิงน้อย น่าเสียดาย อย่างไรเสียข้าก็จะฆ่านาง!”
เซ่าอี๋ถอนหายใจ เขาถอนหายใจวันนี้มากกว่าที่เขาถอนหายใจทั้งปีรวมกันเสียอีก “ปลาดุกอุยน้อย หากว่าศิษย์พี่หนีไปคนเดียว เจ้าจะโทษข้าหรือไม่”
เสวียนอี่มองไปที่เขาด้วยสีหน้าจริงจัง “โทษสิ หากว่าศิษย์พี่เซ่าอี๋หนีไป ข้าจะสาปแช่งท่านในฐานะของเทพ ให้ท่านไม่มีโอกาสได้แตะต้องเทพสาวอีกเลยชั่วชีวิต”
เซ่าอี๋ยิ้มเจื่อน “เจ้ามันน่ากลัวนัก”
เทพีอูเจียงในอ้อมอกบิดร่างอยากจะไปไล่จับเสวียนอี่ต่อ เขาก็งอแขนแล้วกอดนางอีกครั้ง ปลายคางเกยกับไหล่นางพลางกล่าวเสียงต่ำว่า “เทพีถือเสียว่าทำเพื่อข้า หยุดพักก่อนเถิด”
เทพีอูเจียงไม่ตอบ สองนิ้วของนางจิ้มดวงตาของเขาทั้งสองข้าง เซ่าอี๋เบนศีรษะหลบ ก็รู้สึกว่าร่างในอ้อมอกมีพลังปีศาจแผ่ออกมา พาลพาโลอย่างไร้เหตุผล แขนของเขากอดนางเอาไว้ไม่อยู่อีกแล้ว ถูกจนต้องอ้าออก ยังดีที่เสวียนอี่ที่อยู่ตรงข้ามของเขาได้ฝูชางแบกไปราวกับกระสอบข้าว หลบการโจมตีของเทพีอูเจียงไปแล้ว
“เจ้า…” ฝูชางมองไปยังเทพีอูเจียงที่มีสีหน้าแข็งกระด้าง เขาคิดแล้วกล่าวอย่างลังเลว่า “เจ้ากินเทพเป็นอาหาร เพราะต้องการจะบีบให้มหาเทพไป๋เจ๋อลงมาโลกเบื้องล่างเพื่อมาหาเจ้าใช่หรือไม่”
นี่มันคำถามบ้าอะไรกัน! สีหน้าของเสวียนอี่กับเซ่าอี๋แปลกพิกลขึ้นมา
เทพีอูเจียงเองก็ราวกับได้รับผลกระทบอย่างแรง นางแสดงท่าทีรังเกียจออกมา “มหาเทพไป๋เจ๋อรึ พวกประหลาดที่ไม่รู้จักโตพรรค์นั้น ข้าไม่สนใจเขาหรอก!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงดี กลับเห็นประกายแสงของกระบี่ฉุนจวินแทงเข้ามาตรงหน้าของนาง กระบี่วิเศษเข้ามาใกล้ร่างทำให้นางตกใจ รีบถอยหลังไปหลายจั้งตามสัญชาตญาณ แล้วฝูชางก็โยนเสวียนอี่ราวกับกระสอบข้าวไปที่เซ่าอี๋ กุมกระบี่ฉุนจวินไล่ตามไป พอไม่มีองค์หญิงมังกรคอยขวางข้างกาย เขาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ท่องคาถาออกมา แล้วชี้ไปที่ไหล่ของเทพีอูเจียง เมื่อครู่นี้นางถูกคำพูดของเขากระตุ้นเข้าไป พลังปีศาจจึงสั่นคลอนอยู่บ้าง แล้วร่างของนางล้มลงไปทางขวาอย่างควบคุมไม่อยู่ พร้อมกับได้ยินเขาพูดราวกับกำลังถอนหายใจโล่งอกว่า “เช่นนั้นก็ดี”
ประกายแสงจากกระบี่ฉุนจวินพุ่งเข้ามาด้านหน้านางอย่างรวดเร็ว นางถูกคาถาตรึงเอาไว้ ทำได้เพียงเบนศีรษะหลบไปเท่านั้น จากนั้นนางก็รู้สึกเย็นวาบในดวงตา จากพลังปีศาจระดับนี้ของนาง จริงๆแล้วมีดหอกอาวุธฟันแทงไม่เข้า แต่ว่านางกลับถูกกระบี่ฉุนจวินแทงใส่ตาข้างซ้ายจนบาดเจ็บ
นางร้องเสียงดังออกมาด้วยความเจ็บปวด ชุดกระโปรงสีเลือดหมูของนางพลันแตกสลายเป็นชิ้นๆ ลมกรรโชกและเมฆปีศาจถาโถมกระหน่ำในตำหนักเทพแม่น้ำ นางแปลงกายเป็นร่างปีศาจขนาดมโหฬาร คำรามใส่ร่างของเทพทั้งสามอย่างไร้สุ้มเสียง ฟันในปากที่หนาแน่นและแหลมคมของนางหนายิ่งกว่าต้นขาของพวกเขาเสียอีก
เซ่าอี๋อุ้มเสวียนอี่ถอยไปหลายก้าว หลุดยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ที่แท้ก็หน้าตาอย่างนี้เอง ดูแล้วน่าตกใจจริงๆ”
เห็นหางปลาขนาดใหญ่ของปีศาจปลากำลังจะฟาดลงมา ด้วยกำลังของมันยามหวดลงมา รวมกับพลังปีศาจมหาศาลอัรน่าครั่นคร้ามของนาง น่ากลัวว่าตำหนักเทพแม่น้ำแห่งนี้คงได้ทลายลงมาแน่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเทพเล็กๆอย่างพวกเขาสามคนเลย
ฝูชางถอยไปที่หน้าประตูอย่างรวดเร็วและฟันประตูใหญ่ให้เปิดออกอีกครั้ง แต่กลับได้ยินเสียงของเสวียนอี่หัวเราะและกล่าวว่า “เทพี ดูตรงนี้”
นางยกแขนขึ้น นิ้วมือจับสร้อยไข่มุกแกว่งไกวไปมา เทพีอูเจียงพลันนึกได้ว่าสร้อยไข่มุกยังอยู่ในมือขององค์หญิงน้อย จึงตวาดเสียงเ**้ยมว่า “คืนให้ข้า!”
เสวียนอี่กล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “สร้อยเส้นนี้เทพีเก็บมานานหลายปี และยังใช้พลังเทพมากมายรักษามันเอาไว้อีก มันน่าจะสำคัญกับท่านมากสินะ เอ๊ะ แค่เพื่อสร้อยเน่าๆ เส้นนี้ เห็นแล้วน่าโมโหนัก ข้าจะแช่แข็งมันแล้วบีบให้แตกเสีย”
เทพีอูเจียงตะคอกออกมาด้วยความโมโห “เจ้ากล้า?!”
เสวียนอี่กล่าวเยาะเย้ยว่า “ข้าจะถูกเจ้าฆ่าตายอยู่แล้ว ยังจะมีอะไรไม่กล้าอีก”
ฝ่ามือของนางปรากฏไอเย็นขึ้นมา พริบตาเดียวก็ทำให้ไข่มุกของสร้อยทั้งสามสิบสี่เม็ดแข็งเป็นน้ำแข็งไป แล้วนิ้วของนางก็บีบเข้าหากันราวกับจะออกแรงบีบพวกมันให้แตก
เทพีอูเจียงคิดไม่ถึงเลยว่านางจะใช้วิธีการอย่างนี้ ในใจตื่นตระหนก นางไม่สามารถรวบรวมพลังปีศาจได้อีกแล้ว ทันใดนั้นก็แปลงกายกลับมาเป็นมนุษย์พร้อมกับกล่าวด้วยโทสะออกมาว่า “เจ้าบังอาจมากนักนะ!”
แต่นางกลับได้ยินเสียงเทพที่เปี่ยมไปด้วยพลังเสียงหนึ่งดังมาจากเหนือศีรษะว่า “ไม่ผิด เจ้ามันบังอาจมาก!”
แล้วสายฟ้าขนาดใหญ่ก็ฟาดลงมา พริบตาเดียวก็ทำให้ตำหนักเทพแม่น้ำแยกออก สะเก็ดเพลิงกลิ้งไปตามพื้นสะเปะสะปะ แล้วห้วงมิติที่เต็มไปด้วยหมอกหนาก็แตกกระจายราวกับเปลือกไข่ที่ถูกกะเทาะ ทัศนียภาพเปลี่ยนไปทันใด พริบตาเดียวพวกเขาก็กลับมาอยู่ใต้แม่น้ำอูอีกครั้ง