บุหลันเคียงรัก - บทที่ 4 องค์หญิงอ่อนข้อ
ฉีหนานเปิดกล่องอาหาร ตามองในกล่องแวบหนึ่ง
ภายในกล่องอาหารที่ทำจากต้นหม่อนสามลำต้นในตำนาน ใช้แผ่นทองคำคั่นดอกเหมยเป็นช่องเล็กๆ แต่ละช่องวางของว่างที่ไว้ทานกับชาฝีมือประณีตสองชิ้น ในนั้นมีขนมดอกท้อชุบแป้งเคลือบน้ำตาล และขนมโมราเคลือบด้วยแป้งน้ำตาลซึ่งเป็นของหวานที่องค์หญิงโปรดปรานมากที่สุดอยู่พอดี
“ชงชาสุริยันจรัสแสงมาสักกา” เขาสั่งเทพธิดาที่อยู่ข้างๆ
สำหรับองค์หญิงน้อยแล้วอาจพูดได้ว่านางไม่ได้ซาบซึ้งในคุณค่าของว่างพวกนี้สักนิด ชาอะไรดื่มคู่กับขนมชนิดไหนล้วนพิถีพิถันยิ่ง ในเมื่อวันนี้เขาต้องการชวนนางออกไปข้างนอก ก็เป็นธรรมดาที่ต้องเอาใจให้นางอารมณ์ดีหน่อย
พอก้าวเข้ามาในเขตเมฆของวิมานม่วงแห่งนี้ จู่ๆ ฉีหนานก็รู้สึกปลงอนิจจัง
ที่เห็นอยู่เบื้องหน้า วิมานม่วงล้วนเต็มไปด้วยต้นตี้หนี่ว์ซาง สีเขียวและสีแดงอ่อนปะปนกันละลานตา แตกต่างจากภาพที่เขาเคยเห็นเมื่อเก้าพันปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง วิมานม่วงในวันวานถูกแช่แข็งไว้ในชั้นน้ำแข็งหนาพันจั้ง[1]กำลังจมหายไปในความมืดมิดชนิดยื่นมือออกไปก็มองไม่เห็นฝ่ามือ
ขณะเดินมาใกล้ตำหนักหยวนจันขององค์หญิงก็รู้สึกได้ถึงลมหนาวพัดมาปะทะหน้า ภายในวิมานม่วงล้วนมีกระแสแห่งชีวิต มีเพียงบริเวณใกล้เคียงตำหนักหยวนจันเท่านั้นที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็ง หน้าตำหนักมีสรรพสิ่งที่ถูกหิมะขาวทับถมเป็นกองนับไม่ถ้วน บ้างเป็นรูปร่างคน บ้างเป็นดอกไม้ใบหญ้า มากไปกว่านั้นเป็นสิ่งก่อสร้างแปลกประหลาดหลากหลายรูปแบบ
องค์หญิงน้อยคลุมไหล่ด้วยหนังสุนัขจิ้งจอกสีน้ำตาลแดง นั่งอยู่บนม้านั่งผลึกแก้ว กำลังปั้นหิมะขาวสะอาดในมือให้เป็นดอกโบตั๋นดอกหนึ่งอย่างจดจ่อ
ภาพอันคุ้นตานี้ทำให้ฉีหนานนึกย้อนกลับไปเมื่อหลายพันปีที่แล้วอีกครั้ง เขาทุ่มเทกายใจทำหน้าที่ในวิมานม่วงอันมืดมน คอยตามหาร่องรอยองค์หญิงน้อยไปทุกหนแห่ง สุดท้ายพบนางอยู่ที่หน้าตำหนักหยวนจัน ในตอนนั้นหญิงสาวกำลังปั้นดอกไม้ และหน้าตำหนักมีมนุษย์หิมะเพียงตัวเดียว ลักษณะเหมือนคนจริงๆ ซึ่งเป็นลักษณะของนายหญิงยามสิ้นใจล้มอยู่บนพื้น
หญิงสาวปั้นดอกไม้หิมะก่อนจะค่อยๆ วางพวกมันลงบนตัวมนุษย์หิมะ ไม่นานนักเจ้ามนุษย์หิมะก็ถูกดอกไม้คลุมจนมิด
เขาทั้งตกใจ ทั้งเศร้าใจ ดังนั้นจึงถามหญิงสาวด้วยเสียงแผ่วเบา “องค์หญิงทรงทำอะไรอยู่”
องค์หญิงน้อยในวันวานอายุเพียงพันห้าร้อยปีสงบนิ่งยิ่งนัก “ข้ามอบดอกไม้เหล่านี้ให้ท่านแม่ ให้มันปกปิดรอยโลหิตจากกายท่านแม่ให้หมด”
ความทรงจำเหล่านี้ไม่ได้งดงามอะไรนัก ฉีหนานลอบถอนหายใจ
“องค์หญิง” เขาเรียกหญิงสาว ชูกล่องอาหารในมือขึ้น “ของว่างมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงที่กำลังพยายามปั้นโบตั๋นหิมะเอ่ยปากขึ้นทันทีอย่างกึ่งเกียจคร้านกึ่งเอาแต่ใจ “ฉีหนาน เจ้าต้องหาเรื่องวุ่นวายอะไรมาให้ข้าแน่ ของว่างนี้ข้าไม่กินหรอก”
ฉีหนานยิ้มพลางเปิดกล่องอาหาร “ไม่เสวยจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เสวียนอี่หันหน้า มองขนมดอกท้อชุบแป้งเคลือบน้ำตาลและขนมโมราชุบแป้งน้ำตาลแวบหนึ่ง ทันใดนั้นรอยยิ้มสดใสปรากฏทั้งใบหน้า “ฉีหนาน ท่านช่างดีจริงๆ มีชาอะไร”
“ชาสุริยันจรัสแสงพ่ะย่ะค่ะ” ฉีนานวางกาหยกสีฟ้าลงบนโต๊ะผลึกแก้วเบาๆ
เสวียนอี่มีความสุขยิ่งนัก เลือกขนมในกล่องอยู่นาน แล้วจิ้มโมราเคลือบแป้งน้ำตาลเป็นอย่างแรก กัดเข้าปากชิ้นเล็กๆ ทางฉีหนานนั้นช่วยรินน้ำชาให้นางหนึ่งถ้วย กลิ่นชาสุริยันจรัสแสงหอมกรุ่น นางกินขนมนั้นหมดไปครึ่งกล่องเพียงอึดใจเดียว ก่อนจะส่งเสียงในลำคออย่างพอใจ หยิบดอกโบตั๋นข้างโต๊ะที่ยังปั้นไม่เสร็จดีมาปั้นต่อ
ผ่านไปสักพัก นางก็ยิ้มจนตาหยีพลางชูมือขึ้น ดอกโบตั๋นเริงระบำที่ใสดุจผลึกน้ำแข็งเบ่งบานอยู่ในมือนาง กลีบดอกโปร่งแสงมีลายเส้นใยสลับซับซ้อนประดุจหยก งดงามเป็นที่สุด
“ฉีหนาน ท่านเอาโบตั๋นเริงระบำนี้ไว้ติดที่เสื้อดีหรือไม่”
นั่นปะไร พอนางรับประทานหมดก็ไม่ยอมรับแล้ว ฉีหนานยิ้มเจื่อน “ข้าแก่จนผมขาวทั้งหัวขนาดนี้แล้ว จะมาประดับดอกไม้อะไรอีก”
เสวียนอี่ขยับเข้ามาใกล้ ค่อยๆ ติดโบตั๋นหิมะไว้บนเสื้อเขา ยิ้มพลางพูดว่า “ท่านแก่ที่ไหน ดูสิ เหมาะกับท่านจะตาย! “
ฉีหนานลูบโบตั๋นหิมะ สัมผัสอันหนาวเย็นทำให้ใจของเขาอ่อนลงเล็กน้อย น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นมา “องค์หญิง วันนี้มีนัดกับท่านมหาเทพไป๋เจ๋อ ได้เวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เสวียนอี่มีสีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “มหาเทพไป๋เจ๋อคือผู้ใดกัน”
นางชินที่จะแกล้งทำใสซื่อ ฉีหนานหมดความอดทน จำต้องอธิบายอีกครั้ง “คราวก่อนที่เคยกล่าวกับองค์หญิงเรื่องกราบอาจารย์ มหาเทพไป๋เจ๋อเป็นหนึ่งในเทพทั้งสามสิบองค์ที่ผู้ทรงเกียรติแห่งตำหนักหมื่นเทพ ได้เป็นศิษย์ท่าน องค์หญิงจะได้รับประโยชน์มากมาย”
“ฉีหนาน ท่านสอนข้าไม่ได้หรือ”
ฉีหนานส่ายหัว “ในโลกแห่งเทพนี้ทุกคนสามารถเป็นอาจารย์ได้หรือ มีเพียงเทพผู้ดำรงตำแหน่งอันทรงเกียรติในตำหนักหมื่นเทพเท่านั้นที่ควรได้รับภาระหน้าที่อันสำคัญนี้ นั่นคือ ดูแลองค์หญิงจนอายุครบห้าหมื่นปี หากไม่มีสาสน์ที่ถูกเขียนด้วยลายมือจากอาจารย์ผู้อยู่ในตำหนักหมื่นเทพ ก็จะต้องโทษร้ายแรงถูกเนรเทศไปโลกมนุษย์ ยิ่งเป็นพระโอรสหรือพระธิดาแล้วยิ่งไม่อาจละเว้นโทษได้”
นี่คือกฎตายตัวในโลกแห่งเทพเจ้า เทพทุกองค์ที่ยังอายุไม่ครบห้าหมื่นปี จำเป็นต้องขอร้องอาจารย์ในตำหนักหมื่นเทพหนึ่งท่าน ให้คอยดูแลเบญจธาตุหยินหยาง เป็นปุโรหิตทั่วไป คอยดูฤกษ์ตรวจดวงชะตาเป็นต้น ซึ่งพวกเขาจะได้รับตำแหน่งปุโรหิต ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ ไม่อาจเอ้อระเหยลอยชาย เพื่อมิให้ทำให้เทพที่ตนดูแลตกต่ำ
เสวียนอี่พูดเรียบๆ “ยังอีกนานกว่าข้าจะอายุห้าหมื่นปี”
ฉีหนานรู้ดีว่าใช้ไม้อ่อนพูดกับนางชักไม่ได้การ จึงยิ้มพลางพูดออกมาตามตรง “องค์หญิงก็ทราบเหตุผลอยู่แก่ใจ เหตุใดจึงยังถามอีก”
นางอาศัยอยู่ในวิมานม่วงนั้นทั้งวัน ไม่ออกไปที่ใด แต่จับไต๋ได้อย่างง่ายดายว่าองค์จักรพรรดิสวรรค์ทรงชักใยอยู่เบื้องหลังให้รู้จักกับเทพบุตรฝูชาง แล้วยังโทษนางว่าจงใจทำเรื่องวุ่นวาย สิ่งที่มหาเทพกลัวที่สุดก็คือการที่องค์หญิงทำเป็นไม่รับรู้เช่นนี้
เสวียนอี่กะพริบตาปริบๆ “แต่ว่า วันนี้ข้าไม่สบาย”
ฉีหนานส่ายศีรษะอย่างหยอกเย้า “ไม่ว่าอย่างไรท่านก็เป็นองค์หญิง แม้ไม่ถึงขนาดพูดจาต้องมีน้ำหนัก แต่อย่างน้อยต้องทำได้อย่างที่พูด คราวก่อนข้ายกเรื่องนี้มาพูดกับองค์หญิง แต่องค์หญิงกล่าวว่าอย่างไร ให้แล้วแต่ข้าจะจัดการ ตอนนี้องค์หญิงเป็นเยี่ยงนี้ เรียกว่าแล้วแต่ข้าหรือ อีกอย่าง ร่างกายองค์หญิงไม่สบายจริงหรือ เมื่อครู่ตอนที่กินของว่าง ข้าไม่เห็นจะดูออกเลย”
เสวียนอี่วางดอกไม้หิมะลงในที่สุด ลุกขึ้นพลางกระชับผ้าคลุมขนจิ้งจอก ถอนหายใจแล้วกล่าว “ไปเถอะ ข้าไปก็ได้”
ตำหนักหมื่นเทพตั้งอยู่ภายในเขาหมื่นเทพกลางสวรรค์ เนื่องจากห่างวังสวรรค์ไม่มากนัก แล้วยังเป็นจุดตรวจการณ์ของเทพ ดังนั้นจึงมีเหล่าเทพผ่านไปมาไม่ขาดสาย คึกคักอย่างยิ่ง
หลังจากราชรถยาวลงจอดบนพื้น ฉีหนานกลับลงจากรถอย่างไม่รีบร้อน ล้วงกล่องหยกกล่องหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อเป็นอย่างแรก เปิดออกแล้วพบเพียงเบาะผ้าไหมที่ทอจากเส้นไหมอัสดงและหยกธาราสวรรค์ บนเบาะนั้นมีเกล็ดสีดำเข้มขนาดเท่าฝ่ามือหนึ่งเกล็ด ดำสนิทจนไม่มีเงาสะท้อน มีรอยสลับซับซ้อน
เสวียนอี่ตะลึงงัน “นี่คือเกล็ดของท่านพ่อหรือ”
เกล็ดของเทพมังกรแห่งเขาจงชานไม่ได้สะทกสะท้านต่อเบญจธาตุหยินหยางและอาวุธวิเศษของเหล่าเทพทหาร กล่าวได้ว่าเป็นของมีค่ายิ่ง ที่มอบให้ตาเฒ่ามหาเทพไป๋เจ๋อนั่น ก็เพื่อให้เขาช่วยรับตนเป็นศิษย์อย่างนั้นหรือ
ฉีหนานยิ้ม “ความสามารถของท่านมหาเทพไป๋เจ๋อนั้น ย่อมคู่ควรกับเกล็ดมังกรแห่งตระกูลจู๋อินเป็นธรรมดา”
กล่าวกันว่า มหาเทพไป๋เจ๋อท่านนี้เป็นเทพวัยกลางคนที่ได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรติที่สุดในโลกแห่งเทพ รอบรู้วิถีสวรรค์ ชำนาญในทุกสรรพสิ่ง ทวยเทพในตำหนักหมื่นเทพทั้งหมดสามหมื่นสามพันสามร้อยสามสิบสามองค์นั้นล้วนอยู่ภายใต้การดูแลของเขา
เหล่าเทพที่อยากเป็นศิษย์ในสังกัดเขามีมากมายมหาศาลราวกับปลาในแม่น้ำ จนใจที่เขาจึงเลือกรับศิษย์น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ทั้งยังชอบคิดคำถามอันแปลกประหลาดพิสดารมาทดสอบปัญญาผู้สมัครเป็นศิษย์อยู่บ่อยครั้ง มีเสียงเล่าลือว่า ในตำหนักหมื่นเทพนั้นก็ยากนักที่มหาเทพไป๋เจ๋อจะรับใครเป็นศิษย์
“มหาเทพไป๋เจ๋อเคยได้ยินว่าองค์หญิงยังเยาว์วัยนัก จึงบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้พบ หากไม่ใช่เพราะองค์จักรพรรดิสวรรค์โน้มน้าว แล้วยังส่งของกำนัลไปให้อีก คงยากที่จะได้พบท่าน แต่ว่า พบหน้าก็คือพบหน้า เรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ ก็อยู่ที่ว่าองค์หญิงจะเข้าตาอันแหลมคมของท่านหรือไม่ องค์หญิงอย่าทำให้ยุ่งยากนักเลย เสียดายเกล็ดมังกรของท่านมหาเทพ”
ฉีหนานรู้นิสัยแย่ๆ ของนางดีที่สุด จึงอดไม่ได้ที่จะเตือน
เสวียนอี่พยักหน้าพลางผลักประตูรถ ใครจะรู้ว่าเมื่อเปิดประตูแล้ว แสงมงคลที่ทอเต็มท้องนภาภายนอกจะปะทะเข้า แทบจะทำให้ดวงตาของบุคคลทั้งสองพร่าพราย
เห็นเพียงราชรถคันยาวจำนวนมากจอดอยู่หน้าตำหนักหมิงซิ่งของมหาเทพไป๋เจ๋อ เหล่าเทพหนุ่มสาวล้วนเพ่งมองที่ประตู รอเวลาที่ไป๋เจ๋อจะให้โอกาสทดสอบตน
ฉีหนานอดไม่ได้ที่จะถอนใจ “ที่แท้มีเทพจำนวนมากตั้งตาคอยเข้าไปในประตูของท่านมหาเทพ ไป๋เจ๋อ”
เขาช่วยประคององค์หญิงลงจากรถ ในเวลานั้นเหล่าเทพที่อยู่หน้าประตูพากันหันหน้ามามอง สายตานับไม่ถ้วนจ้องมาที่เสวียนอี่ ราวกับเห็นสิ่งประหลาดน่าเกลียดน่ากลัวมิปาน
ทั้งร่างของเสวียนอี่คลุมด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีแดง ก้มศีรษะลงเล็กน้อยกล่าวว่า “ทำไมพวกนั้นถึงมองข้า”
ฉีหนานยิ้มขื่น “เป็นเพราะเรื่องงามหน้าที่องค์หญิงทำอย่างไรเล่า การแสดงฉากใหญ่ที่ท่านเตรียมในวันนั้นที่อุทยานหลวงของราชาบุปผา ทำให้เทพฝูชางโกรธจัดจนวิ่งออกไป ชื่อเสียของท่านจึงเลื่องลือออกไปหมดแล้ว
อ๋อ อย่างนี้นี่เอง
เสวียนอี่พยักหน้าอย่างเข้าใจ เดินตรงไปเบื้องหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่เหลือบแลไปทางอื่นใด
—
[1]จั้ง หน่วยวัดความยาวของจีน เทียบเท่าประมาณ 3.33 เมตร