บุหลันเคียงรัก - บทที่ 40 จิตใจของการไถ่บาป
ฟ้าค่อยๆ มืดลง ไม่นาน เกล็ดหิมะสีขาวมากมายก็ปลิวลงมาที่หลังของราชสีห์ จื่อซีเงยหน้าขึ้นอย่างงงงัน นี่ยังไม่ทันจะจะบ่ายเลยไม่ใช่หรือ ทำไมฟ้าถึงได้มืดแล้วเล่า
และทำไมถึงได้หนาวขนาดนี้กัน ถึงตอนนี้จะเป็นปลายฤดูหนาว แต่ว่ายิ่งบินไปข้างหน้าก็ยิ่งหนาวไปถึงกระดูก ไม่ได้เพราะหนาวตามฤดูกาลแน่ ใบหน้าของราชสีห์เก้าเศียรเต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งหนาๆ ชั้นหนึ่ง จื่อซีเองก็อดที่จะสั่นขึ้นมาด้วยความหนาวไม่ได้ สีหน้าของกู่ถิงที่อยู่อีกด้านเองก็ไม่น่าดูนัก
ผ่านไปอีกชั่วครู่ ในที่สุดราชสีห์เก้าเศียรก็ตัวสั่นขึ้นมา ไม่กล้าบินไปข้างหน้าอีก จื่อซีใช้แขนเสื้อบังใบหน้า ด้านหน้าคือความมืดมิดที่ต่อให้ยื่นนิ้วออกไปก็ยังมองไม่เห็น หิมะมากมายตกลงมาจนทำให้ลืมตาแทบไม่ขึ้น จากร่างเทพของพวกเขายังแทบจะรับอากาศหนาวเสียดกระดูกอย่างนี้ไม่ไหว นี่คือบ้านขององค์หญิงเสวียนอี่หรือ ยังไม่ทันจะไปถึงเขาจงซานยังเป็นถึงขนาดนี้
กู่ถิงพูดขึ้นมาเสียงดังท่ามกลางพายุหิมะว่า “ไปข้างหน้าต่อไม่ได้แล้ว! ไม่อย่างนั้นพวกเราคงได้บาดเจ็บกันแน่! ทำอย่างไรดี”
ฝูชางก้มหน้าลงมองเสวียนอี่ นางหลับลึกไปอีกแล้ว ขนราชสีห์ใต้ร่างของนางเปื้อนเลือดเทพจนเปียกชุ่มและจับตัวแข็งเป็นน้ำแข็ง
ตระกูลจู๋อินนั้นหากว่าได้รับบาดเจ็บจะไม่สามารถควบคุมพลังของตัวเองได้ ยิ่งบาดเจ็บหนักพลังที่แผ่ออกมาก็จะยิ่งมาก มองไปยังลมหิมะบ้าคลั่งไกลๆ ทิวทัศน์ที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง เขาก็คิดถึงเมื่อหลายพันปีก่อนที่มีข่าวลือว่ามหาเทพจงซานไปทำลายเผ่าถงซานทั้งเผ่าจนหมด และนับจากนั้นมา มหาเทพก็ไม่เคยออกมาจากตำหนักฉางเซิงของเขาจงซานอีกเลย เกรงว่ามหาเทพคงจะบาดเจ็บไปไม่น้อย
เขาก้มลงไปประคองเสวียนอี่ขึ้นมาแล้วเอ่ยปากว่า “ข้าจะให้เสี่ยวจิ่วส่งพวกท่านกลับไป”
พูดแล้วเขาก็กระโดดลงไป หายลับไปท่ามกลางพายุหิมะและความมืดมิด
เสี่ยวจิ่ว? ใครกัน จื่อซีงุนงง แล้วก็ได้ยินเสียงร้อง “โฮก” ของราชสีห์เก้าเศียรด้านล่างดังขึ้นมา นางกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “สัตว์พาหนะตัวนี้ชื่อว่าเสี่ยวจิ่วหรือ”
ทำไมช่างเป็นชื่อที่…ไม่สง่าเอาเสียเลย
กู่ถิงจูงเชือกก็บินกลับไป “เขาเลี้ยงเสี่ยวจิ่วมาตั้งแต่ยังเล็ก แล้วเด็กเล็กๆ จะคิดชื่อดีๆ อะไรออกมาได้กัน เขาคือคนรุ่นหลังของตระกูลหวาซวี สภาพอากาศที่เลวร้ายทำอะไรพวกเขาไม่ได้ ให้เขาไปส่งองค์หญิงเถอะ เขาจงซานแห่งนี้เกรงว่าพวกเราคงจะไปกันไม่ได้”
จื่อซีมองไปยังหิมะที่ตกลงมาอย่างเหม่อลอย ราวกับไม่ได้ยินที่กู่ถิงกล่าว
เทพบุตรรำกระบี่ที่นางหลงใหลมาตลอดเกือบหมื่นปีผู้นั้น ทั้งสง่าและสูงส่ง ใต้หล้านี้ยากจะหาได้อีก แต่ว่าเทพฝูชางที่แท้จริงดูแล้วกลับไม่เหมือนกับคนผู้นั้นในใจของนางเลย
เขาเงียบขรึมพูดน้อย แต่ว่ากลับไม่ใช่เหตุผลเดียวกับที่นางคิดเอาไว้ เขายังชอบคิดวิธีการร้ายแปลกๆ มากมายเพื่อมาสู้รบตบมือกับเสวียนอี่ เขาละทิ้งกฎเกณฑ์และระเบียบไป ถลกชายกระโปรงของเทพสาวขึ้นมา
นางชักจะแยกไม่ออกแล้วว่า คนที่นางหลงใหลและเฝ้าฝันหาคนนั้น จริงๆ แล้วคือความหล่อเหลาของเทพบุตรผู้รำกระบี่ หรือว่าเทพฝูชางที่เป็นศิษย์ร่วมสำนักของนางกันแน่
—
ฝูชางพุ่งผ่านลมหิมะไปอย่างรวดเร็ว องค์หญิงมังกรในอ้อมอกของเขาหนักและเย็นขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
ในตอนที่เขาคิดว่านางกำลังจะกลายร่างเป็นมังกรนั้น นางก็พลันขยับตัวแล้วลืมตาขึ้น ดวงตาของนางเป็นประกายเฉียบคม จ้องมาที่เขาเงียบๆ ไม่นาน นางก็เชิดคางขาวราวกับหิมะของนางขึ้นอย่างหยิ่งทะนง แล้วกล่าวเสียงอ่อนว่า “ศิษย์พี่ฝูชาง ข้ารอท่านมาขอโทษข้า”
เขาหรี่ตาลง “ทำไม”
“ท่านทำเรื่องไร้มารยาทมากมายกับข้า ตระกูลหวาซวีที่ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงและพิธีการกลับต้องมาถูกคนป่าเถื่อนอย่างท่านทำจนเสียชื่อไปหมด”
ฝูงซางกล่าวเสียงเรียบว่า “ตระกูลจู๋อินที่เก่งกาจและองอาจกล้าหาญเองก็ต้องมาเสียชื่อไปหมดเพราะเจ้าที่ไม่มีแรงแม้แต่จะฆ่าไก่”
เสวียนอี่กล่าวเสียงอ่อนว่า “ตอนนี้ข้าขอให้ท่านช่วยข้าเรื่องเดียวเท่านั้น”
“พูดมา”
“ช่วยวางข้าลงหน่อยได้หรือไม่ แล้วท่านก็ช่วยไปให้ไกลๆ จากที่นี่เสีย”
ฝูชางก้มหน้าลงไปมองนาง องค์หญิงมังกรมีใบหน้าขาวซีดและอ่อนแรง น้ำเสียงแหบแห้งอิดโรย แต่ว่ายังคงเงยหน้าแสดงท่าทีราวกับไม่สนใจโลกออกมา ทุกคนที่เข้าไปใกล้นางต้องหวาดผวาในใจทั้งนั้น เพราะไม่รู้ว่านางจะใช้คำพูดเสียดสีที่คมกริบราวกับมีด หรือรอยยิ้มจางๆ และอ่อนหวานราวกับสายน้ำ
เขาใช้มือกดไปยังหัวของนางแล้วดันกลับมาอย่างไม่เกรงใจ ราวกับไม่ได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของนางเพราะจมูกกระแทกกับอกของเขา ก่อนจะกล่าวออกมาเสียงเนิบนาบว่า “หากว่ายังพูดอีกคำล่ะก็ ข้าจะจับเจ้าโยนลงไปโลกเบื้องล่างเสีย”
นางโมโหจนตัวสั่น แต่กลับทำอะไรเขาไม่ได้ สถานการณ์อย่างนี้ทำให้เขารับรู้ได้ถึงความสุขอย่างหนึ่งที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ บรรยายได้เพียงคำว่า สุขใจ
ตระกูลเทพมังกรจู๋อินที่มีชื่อเสียง องค์หญิงน้อยของพวกเขาควรจะมีท่าทางและลักษณะแบบไหนนั้น เขาไม่เคยคิดถึงอย่างจริงๆ จังๆ มาก่อน จักรพรรดิสวรรค์จับคู่ให้ เขาก็ไปเจอโดยไม่มีความเห็นใดๆ ตลอดสามหมื่นปีมานี้ เทพที่ไปมาหาสู่กันส่วนมากก็ล้วนแต่เป็นตระกูลเทพที่มีฐานะสูงส่งทั้งนั้น องค์หญิงผู้นั้นก็น่าจะเป็นประเภทสง่างามอ่อนหวานมีมารยาท จิตใจบริสุทธิ์อะไรทำนองนั้น ไปคุยกันเล็กน้อยก็คงจบงานได้
เขาคิดอย่างนี้ ดังนั้นเขาถึงได้พลาดไปอย่างมหันต์
ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มบิดเบือนไปนับตั้งแต่ที่เกาะสวรรค์ของราชาบุปผา จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่สิ้นสุด ความดำมืดในจิตใจที่ซ่อนในส่วนลึกของเขานั้นแม้แต่ตัวเขาเองยังต้องตกใจ บางครั้งเขาก็อยากจะบีบนางให้แตกสลาย แต่ว่าตอนที่นางกลายเป็นปลาดุกอุยเขากลับชอบอย่างมาก
จู่ๆ ฝูชางนึกอยากจะถอนหายใจออกมา นิ้วหัวแม่มือลูบไล้ไปที่ศีรษะของนางโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้ตรงนั้นไม่มีเขามังกรเล็กๆ อยู่ นางโมโหจนกัดฟันแน่น ทั้งมิได้ส่งเสียงร้องเหมือนกับหนูออกมาอีก เขารู้สึกคิดถึงปลาดุกอุยน้อยที่อ่อนนุ่มและเย็นเยียบตัวนั้นขึ้นมา
พายุหิมะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้น ภูเขาสูงลูกหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า เขาสูงจรดฟ้าและลึกลับวังเวง พวกเขามาถึงเขาจงซานแล้ว
เทพเฝ้ายามหน้าประตูเขามองมาจากที่ไกลๆ ก็เห็นองค์หญิงน้อยของพวกเขาร่างทั้งร่างชุ่มไปด้วยเลือด และถูกเทพหนุ่มผู้หนึ่งอุ้มเข้ามาจากที่ไกลๆ ต่างก็ตกใจกันจนอลหม่าน พอฉีหนานรีบร้อนพาเหล่าผู้ติดตามและข้ารับใช้สาวมาถึงนั่น ที่หน้าประตูเขาก็มีเพียงเทพชุดขาวยืนอยู่เพียงลำพัง เสื้อผ้ายุ่งเหยิง ร่างทั้งร่างเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด คอเสื้อของเขาแหวกออก กระดูกไหปลาร้าของเขาโผล่ออกมาด้านนอกกว่าครึ่ง ดูแล้วไม่เรียบร้อยยิ่งนัก
เมื่อเห็นฉีหนาน เทพหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้นี้ก็มีสีหน้าลำบากใจอยู่แวบหนึ่ง เขากุมคอเสื้อที่เปิดออก แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำมีเสน่ห์ว่า “อำมาตย์ฉีหนาน ฝูชางตระกูลหวาซีขอคารวะ ข้ามาส่งองค์หญิง”
ฉีหนานตะลึงค้างยืนอยู่กับที่ เทพฝูชาง! แล้วองค์หญิงอยู่ที่ไหน
แล้วสายตาของเขาก็มองไปยังฝูชางที่ยื่นมือเข้าไปในคอเสื้อ จับเอาปลาดุกอุยตัวน้อยสีดำออกมาต่อหน้าต่อตา ฉีหนานหน้ามืด เขาเกือบจะเป็นลมหมดสติไปเพราะรับไม่ได้
องค์หญิงน้อยของพวกเขา! กลับแปลงร่างกลับไปเป็นมังกร!
สถานการณ์ต่อจากนั้นเรียกได้ว่าอลหม่านวุ่นวายมาก บรรดาเหล่าข้ารับใช้ต่างใช้เตียงหวายยกองค์หญิงกลับเข้าไปในวิมานม่วงอย่างระมัดระวัง แล้วฉีหนานถึงได้นึกขึ้นได้ว่าควรจะต้อนรับเทพฝูชาง ตอนที่เขารีบร้อนย้อนกลับไปที่หน้าประตูเขานั้น เทพฝูชางก็จากไปแล้ว เขาชะงักเท้าแล้วก้มหน้าลง แต่สุดท้าย ในใจก็ยังกังวลอาการบาดเจ็บขององค์หญิงมากกว่า เขาจึงกำชับเทพยามเผ้าประตูให้ปิดประตูเขา จากนั้นจึงได้รีบร้อนไปที่ตำหนักฉางเซิงด้วยสีหน้าคร่ำเครียด
—
เสวียนอี่ตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด ท่ามกลางความมืดมิด สิ่งที่ทำให้นางใจสงบได้มีเพียงแค่แสงจากเปลวเทียนสั่นไหวไปมาซึ่งอยู่ไม่ไกลเท่านั้น
นางค่อยๆ ถอนหายใจออกมา บาดเจ็บหนักเกินไป นางหมดสติไปโดยที่ยังไม่ทันจะได้บอกกับฉีหนานว่าไม่ต้องไปรบกวนท่านพ่อ
ไม่นาน เสียงแหบแห้งของมหาเทพจงซานก็ดังขึ้นมา “อาอี่ เจ้าบาดเจ็บสาหัส ที่บาดแผลยังมีพิษปีศาจหลงเหลืออยู่และยังเอาออกมาไม่ได้…ตอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง”
นางอยากจะลุกขึ้นมานั่ง แต่ว่าร่างที่บาดเจ็บของนางไม่ยอมให้นางทำกิริยาที่ปกติสุดของนางได้ นางกล่าวเสียงต่ำว่า “ท่านพ่อ ข้าไม่เป็นอะไร”
มหาเทพจงซานจ้องไปที่ร่างบอบบางของบุตรสาว เพราะได้รับบาดเจ็บหนัก ถึงขั้นเปลี่ยนร่างกลับมาเป็นมังกร นี่คือครั้งที่สองแล้วที่นางบาดเจ็บหนักอย่างนี้ น่าแค้นใจนักที่เจ้าปีศาจปลาดุกตัวนั้นตายไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเขามีวิธีการอีกมากมายที่จะทำให้มันต้องทรมานยิ่งกว่าตาย
และที่น่าจนใจยิ่งกว่าก็คือ พิษปีศาจในบาดแผลของเสวียนอี่ มีเพียงแสงจันทร์ของเทพีวั่งซูเท่านั้นที่จะสามารถนำออกมาได้ แต่ว่าเทพสาวคนนี้เคยเป็นสายเลือดของเทพมังกรแห่งเขาไท่อินมาก่อน นางถูกตระกูลจู๋อินหลายรุ่นหลายยุคกดหัวมาตลอด เทียบเชิญที่เขาส่งไปก็เหมือนกับดินที่จมหายไปทะเล นางไม่ยอมตอบอะไรกลับมาเลยแม้แต่น้อย
เขาจึงได้แต่ต้องใช้วิธีการอื่น
คิดได้อย่างนั้น มหาเทพจงซานก็กล่าวต่อว่า “ได้ยินว่าเทพเฟยเหลียนเคยกระทบกระทั่งกับเจ้า อาอี่ เจ้าอยากจะให้เขาขอโทษเจ้าอย่างไรดี”
ตระกูลจู๋อินไม่เคยขอร้องใคร แต่ว่ามักจะมีวิธีการต่างๆ นานามาทำให้คนอื่นยอมลงให้
เสวียนอี่ส่ายหน้า “ข้าไม่ต้องการให้เขาขอโทษ…ท่านพ่อ เรื่องนี้ขอให้ท่านไม่ต้องบอกชิงเยี่ยน”
มหาเทพจงซานแค่นหัวเราะเจื่อนๆ เบาๆ “เจ้ากลัวว่าจะส่งผลกระทบกับเขาหรือ”
เสวียนอี่หลับตาลงแล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “พลังมืดของจู๋อินสิ้นเปลืองพลังเทพมากเกินไป ท่านพ่อเก็บไปเถอะ แผลเล็กน้อยแค่นี้ ไม่ต้องวุ่นวายใหญ่โตหรอกเจ้าค่ะ”
เขาชะงักไปอย่างอดไม่ได้ ในใจไม่รู้ว่าจะเศร้าสร้อยหรือดีใจดี บุตรสาวที่ห่างเหินไม่จริงใจกับเขามาหลายปียังรู้จักสงสารเขา เขาถอนหายใจในใจนับครั้งไม่ถ้วน หลายปีมานี้ เพราะการดับสูญของอาชุ่ยทำให้เขาสูญเสียพลังเทพไปจนหมดเพราะความโมโหและบ้าคลั่ง ความเคียดแค้นของชิงเยี่ยน ความเฉยชาของเสวียนอี่…ทุกวันเขาคิดแต่เรื่องพวกนี้ แต่ว่านานแล้วที่ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกปวดแสบที่ขอบตาอย่างในตอนนี้
เขารู้สึกเสียใจอย่างไม่มีอะไรจะเปรียบได้ เพราะประโยคเดียวของนางทำให้เขาต้องไถ่บาปบ้าง