บุหลันเคียงรัก - บทที่ 41 ความแค้นที่ยากจะลด
เสวียนอี่กึ่งนอนอยู่บนเตียงหวายที่นุ่มสบาย ด้านซ้ายมีกล่องหยกใส่ผลไม้เชื่อมวางอยู่ ด้านขวามีตำราที่อาจารย์ให้นางมาวางอยู่ นางกินผลไม้เชื่อมไปหนึ่งชิ้นก็พลิกตำราอ่านไปสองสามหน้า ตำราเล่มหนานางใกล้จะเปิดจนหมดแล้ว
ผู้ติดตามที่ยกเตียงหวายของนางเอาไว้หยุดฝีเท้าลง แล้วเทพธิดาก็กล่าวเตือนนางว่า “องค์หญิง ถึงหุบเขาหลงเหมียนแล้ว”
นางปิดตำราแล้วคายเม็ดบ๊วยในปากออกมาด้วยท่าทางสง่างาม นางเหลือบตาขึ้นมองไปข้างหน้า พวกเขากำลังยืนอยู่บนหน้าผาสูงชัน หุบเขาหลงเหมียนที่ว่า ก็คือเหวลึกในเขาจงซานแห่งหนึ่ง ด้านล่างมีลาวาปะทุคุกรุ่น ร้อนมากจนน่าตกใจ แน่นอนว่า สำหรับตระกูลจู๋อินที่แท้จริงแล้วไม่ได้เกรงกลัวพลังห้าธาตุและหยินหยางนั้นย่อมไม่มีผลอะไร ดังนั้นโดยปกติแล้วหุบเขาหลงเหมียนจึงเอาไว้ใช้ลงโทษเหล่าเทพขุนนางทั้งหลาย
เสวียนอี่หายใจเข้าแล้วเอามือป้องปาก ตะโกนเรียกเสียงดัง “ฉีหนาน! รีบมาเร็ว! ฉีหนาน!”
เรียกติดๆกันไปห้าหกครั้ง ด้านล่างเหวลึกก็มีเงาร่างหนึ่งลอยขึ้นมา นั่นก็คือฉีหนาน ศีรษะเขาชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ หน้าซีดราวกับหิมะ พอเห็นองค์หญิง ขอบตาก็แดงเรื่อ สีหน้าฉายแววรู้สึกผิดขึ้นมาทันที
เสวียนอี่ไม่รอให้เขาพูด นางยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฉีหนาน หากว่าเจ้ากล้าร้องไห้ ข้าจะกระชากเคราเจ้าลงมาซะ”
นางโบกมือปัดให้เหล่าผู้ติดตามและเทพธิดาทั้งหลายถอยออกไป ถึงได้ยิ้มตาหยีแล้วยื่นมือไปหาเขา “ฉีหนานรีบเข้ามาเร็ว เจ้าไม่ยอมพูดอะไรแล้วมาอยู่ในที่บ้าๆ พรรค์นี้ถึงสามวัน อาการบาดเจ็บของข้าก็ไม่ได้ดีขึ้นเลยสักนิด เจ้าไม่ต้องทำเรื่องไร้ประโยชน์พวกนี้แล้ว”
นางไม่พูดถึงเรื่องบาดเจ็บยังดี พอพูดถึง ฉีหนานก็น้ำตาไหล “ข้าไม่ควรบังคับให้องค์หญิงลงไปที่โลกเบื้องล่างเลย”
ตั้งแต่เล็กจนโต องค์หญิงล้วนแต่ถูกปกป้องไว้บนฝ่ามือมาตลอด ใครจะรู้ว่าการลงไปที่โลกเบื้องล่างครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะถูกปีศาจไร้ชื่อมาทำร้ายจนบาดเจ็บขนาดนี้ ถ้ารู้อย่างนี้แต่แรก เขายอมที่จะให้องค์หญิงขี่คอดึงเคราจักรพรรดิสวรรค์เสียยังดีกว่าที่จะให้นางต้องลงไปทำการบ้านบ้าๆ นั่นที่โลกด้านล่าง
“ลงก็ลงไปแล้ว พูดเรื่องนี้แล้วน่าเบื่อจริง” เสวียนอี่ถลกกระโปรงแล้วลูบบาดแผลที่ขาขวาของนางซึ่งพันผ้าสีขาวเอาไว้ นางเพิ่งจะเปลี่ยนผ้าขาวไปเมื่อครึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ ตอนนี้ก็เต็มไปด้วยเลือดอีกแล้ว “ทำไมบาดแผลถึงไม่ดีขึ้นเลยเล่า เป็นเพราะพิษปีศาจนั่นหรือ”
ฉีหนานรีบดึงกระโปรงของนางลงมาดีๆ แล้วถอนหายใจ “อย่าไปแตะมัน ไม่ได้เกี่ยวกับพิษนั่นเลย แต่ว่าตระกูลจู๋อินก็เป็นอย่างนี้”
ร่างกายที่เวทใดๆทำร้ายไม่ได้ อายุห้าหมื่นปีพอเกล็ดมังกรขึ้นเต็มตัวแล้วยิ่งฟันแทงไม่เข้า แต่ว่าตระกูลจู๋อินที่แทบจะไร้ศัตรูนั้นก็มีจุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่อยู่ นั่นก็คือ บาดแผลทุกอย่างจะสมานตัวและฟื้นฟูได้ช้ากว่าเทพทั่วไปสิบเท่า หรืออาจจะร้อยเท่าด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นจากความสามารถของมหาเทพจงซานแล้ว อาการบาดเจ็บจนถึงตอนนี้จะยังไม่หายดี พลังเทพยังไม่ฟื้นฟูได้เยี่ยงไรกัน
“บาดแผลขององค์หญิง ถ้าอยากจะให้หายดีก็ต้องใช้เวลาสามสิบปีพ่ะย่ะค่ะ”
เสวียนอี่ตกใจมาก “สามสิบปี!?”
นี่มันแค่บาดแผลที่ถูกตะขอเกี่ยวให้เจ็บธรรมดาๆ บาดแผลก็แค่ลึกไปหน่อยเท่านั้น แต่ว่าจะรักษาให้หายดีกลับต้องใช้เวลาถึงสามสิบปี?!
ฉีหนานกล่าวเสียงเบาว่า “นี่คือชะตาของตระกูลจู๋อิน อาการบาดเจ็บของมหาเทพยังต้องลากยาวมานับพันปีเลย ตอนที่องค์หญิงยังเด็กครั้งนั้นก็เหมือนกัน…”
เสวียนอี่งุนงง “ตอนข้ายังเด็กเคยได้รับบาดเจ็บด้วยหรือ”
ฉีหนานรู้สึกเสียใจที่เผลอหลุดปากไป เขายิ้มน้อยๆ “องค์หญิงลืมไปแล้วหรือ ก็ไม่แปลก ตอนนั้นองค์หญิงยังเล็ก ยังไม่สามารถขี่พายุล่องเมฆาได้ จึงตกลงมาจากต้นไม้แล้วต้องนอนอยู่บนเตียงนานถึงหนึ่งร้อยปี”
มีเรื่องอย่างนี้ด้วย? เสวียนอี่ลองนึกย้อนกลับไปดู แต่ว่านางกลับนึกอะไรไม่ออกเลย ตระกูลเทพสามารถจดจำเรื่องราวได้นับตั้งแต่แรกเกิด ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้ ไฉนนางถึงลืมเสียได้
ฉีหนานเปลี่ยนเรื่อง “องค์หญิง ข้าคิดว่ามหาเทพไป๋เจ๋ออาจจะอายุมากแล้ว ทำเรื่องอะไรจึงเลอะเทอะเลอะเลือน ไม่ยอมตั้งใจถ่ายทอดความรู้ แต่กลับเห็นลูกศิษย์เป็นผู้ติดตาม ครั้งนี้ไปโลกเบื้องล่างไปเจอกับเผ่าปีศาจที่แข็งแกร่งอย่างนี้เข้า หากว่ายังปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป อนาคตก็เลี่ยงที่เจออันตรายถึงชีวิตได้ยาก องค์หญิงยินดีจะเปลี่ยนอาจารย์หรือเปล่า”
เสวียนอี่กล่าวเสียงเรียบว่า “ตอนแรกไม่ใช่เจ้ากับท่านพ่อหรอกหรือที่ปรึกษากันแล้วว่ามหาเทพไป๋เจ๋อคือตัวเลือกที่ดีที่สุด”
“เรื่องนี้เป็นเพราะข้าเลินเล่อไปเอง ชื่อเสียงโด่งดังอันที่จริงแล้วเป็นเรื่องรอง หากว่าองค์หญิงไม่ยินดี เรื่องกราบอาจารย์ก็ยกไว้ก่อน เหมือนอย่างที่องค์หญิงว่าไว้ ยังห่างกับห้าหมื่นปีอีกไกล ไม่ต้องรีบร้อน ข้าเองก็จะได้ไม่ต้องกลัวและกังวลแทนท่านทั้งวัน”
เดิมคิดว่าองค์หญิงจะตอบตกลงอย่างดีใจ ใครจะไปรู้ว่านางกลับเม้มปากแล้วยิ้มหยันออกมา “พวกเจ้าจะไปลาออกแทนข้า?”
ฉีหนานชะงักไป แล้วก็นึกถึงวันที่เขาจัดการให้องค์หญิงและเทพฝูชางไปเจอกันครั้งแรกที่เกาะสวรรค์ของราชาบุปผาขึ้นมาได้ ตอนที่นางกลับมา ประโยคแรกที่นางพูดก็คือ ‘พวกเจ้าอยากจะให้ข้าแต่งงานออกไปหรือ’
เขามองนิสัยขององค์หญิงออกนานแล้ว รู้ดีว่านางไม่ใช่คนที่ยินดีจะทำตามคำสั่งคนอื่นแต่โดยดี นางไม่ชอบที่ชีวิตของนางมีคนมาคอยบงการตามใจ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่ได้ทั้งนั้น เขาจึงได้แต่ก้มหัว ไม่กล่าวอะไรออกมา
รอไปสักพัก ก็ได้ยินองค์หญิงที่แทบจะไม่เคยพูดว่า “อยาก” หรือ “ไม่อยาก” กล่าวออกมาว่า “ข้าไม่มีทางไปจากตำหนักหมิงซิ่งก่อนแน่ เจ้าฝูชางคนนั้น…ฮึ่ม”
นางร้องฮึ่มออกมาด้วยโทสะ ฉีหนานได้แต่ตกตะลึงไปอย่างงุนงง “ครั้งนี้ที่องค์หญิงบาดเจ็บ ก็เป็นเทพฝูชางที่ส่งท่านกลับมา ได้ยินว่าที่โลกเบื้องล่างตอนที่ไปเจอกับเผ่าปีศาจเข้า เขาก็เป็นคนคอยดูแลท่าน ทำไมองค์หญิงถึงยังมีสีหน้าแค้นเคืองเขาอย่างนี้อีกเล่า”
ฉีหนานรู้สึกว่าเขาจะทำเป็นมองไม่เห็นว่าองค์หญิงไม่ชอบใจเทพฝูชางอย่างนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ตั้งแต่เล็กจนโตนางไม่เคยมีท่าทีไม่ชอบใครมากอย่างนี้มาก่อนเลย โดยปกติ ในใจขององค์หญิงจะมีเพียงตัวนางเองเท่านั้น เรื่องทุกเรื่องมีเพียงนางที่ถูกต้อง วันนี้กลับกลายเป็นว่าเรื่องทุกเรื่องมีแต่ความไม่ชอบเทพฝูชาง นี่มันน่าสงสัยนัก
“เทพฝูชางล่วงเกินอะไรองค์หญิงกันแน่” ฉีหนานถามอย่างระวัง
เขาล่วงเกินนางตั้งมากมาย! เจ้าคนสารเลวนี่แต่ไหนแต่ไรล้วนมองทุกการกระทำของนางเป็นเรื่องเลวร้ายตลอด และยังไม่สนใจด้วยว่าจะโจมตีนางด้วยพฤติกรรมที่ป่าเถื่อนตั้งแต่การกระทำไปจนถึงคำพูดอย่างไร หากว่านางกัดเขาไปหนึ่งครั้ง เขาจะต้องกัดนางกลับมาแรงยิ่งกว่าแน่นอน มีแค้นต้องชำระ! เจ้าคนป่าเถื่อนอันธพาล!
ใครจะมารู้สึกแทนนางที่ต้องทนกับแผลที่ไม่อาจสมานกันไปอีกสามสิบปีได้ เดินไม่ได้ ขี่ลมไม่ได้ พลิกตัวยังลำบาก หากว่าไม่ใช่เพราะฝูชางดึงนางเอาไว้ นางจะเป็นอย่างนี้หรือ
ไม่สนใจหรอกว่านี่มีเหตุผลหรือไม่ นางไม่เคยพูดด้วยเหตุผลกับใครมาก่อนอยู่แล้ว นางก็แค่เกลียดเขา
ฉีหนานเห็นนางทำหน้าเย็นชาไม่พูดจา ก็ถามต่อว่า “ถ้าอย่างนั้น…องค์หญิงอยากจะทำอะไรกับเทพฝูชาง”
นางก้มหน้าลงไปแกะดอกไม้สลักบนเตียงแล้วกล่าวว่า “ข้าอยากจะกระทืบเขาให้เละ”
อาศัยจากที่เข้าใจนิสัยนางดี ฉีหนานเข้าใจขึ้นมาทันที “…องค์หญิงหมายความว่า ท่านรังแกเขาได้ฝ่ายเดียว กดดันเขาได้ฝ่ายเดียว แต่จะไม่ให้เขาตอบแทนกลับ ใช่หรือไม่”
เสวียนอี่ตอบอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจว่า “ใช่”
ฉีหนานถอนหายใจออกมาอย่างหมดอาลัยตายอยาก เขาต้องสงบใจลง ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องถูกนางโกรธแทบตายแน่นอน
ใครจะรู้ว่าองค์หญิงกลับกล่าวออกมาเสียงอ่อน แล้วเรียกเขาเสียงหวานว่า “ไปเถอะฉีหนาน ไม่ต้องอยู่ที่บ้าๆอย่างนี้แล้ว”
ฉีหนานมองไปที่นางด้วยสีหน้าเข้มงวดแล้วส่ายหัว องค์หญิงน้อยจะเอาแต่ใจอวดดีได้ แต่ว่าในฐานะที่เขาเป็นขุนนางและผู้อาวุโสกว่า เขาจะทำตามใจไม่ได้ “อย่างไรเสียก็เป็นเพราะข้าที่บีบให้องค์หญิงต้องลงไปโลกเบื้องล่าง มหาเทพลงโทษให้ข้าอยู่ที่นี่สิบวัน ตอนนี้เพิ่งจะผ่านไปแค่สามวันเท่านั้น ข้ายังไปไม่ได้”
เสวียนอี่กะพริบตา แล้วกล่าวเนิบๆว่า “ท่านพ่อไปจับเทพเฟยเหลียนมาแล้วสามวัน และจับเขาขังไว้ในคุกใต้ดินมาตลอด ทุกวันยังส่งทรายจันทราเปื้อนเลือดไปที่วังวั่งซูหนึ่งกำด้วย”
ฉีหนานรู้สึกว่าผมเขาแทบจะลุกชันขึ้นมาแล้ว เขามาอยู่ที่หุบเขาหลงเหมียนนี้แค่สามวันเท่านั้น มหาเทพกลับทำเรื่องเหลวไหลพรรค์นี้ออกมาได้!
ไม่แปลกใจที่ชื่อเสียงของตระกูลจู๋อินในโลกภายนอกจะย่ำแย่ขนาดนั้น ตระกูลนี้ตั้งแต่บนลงล่างล้วนแล้วแต่บ้าอำนาจทั้งนั้น! ต่อให้เทพีวั่งซูไม่ยอมถอนพิษปีศาจออกจากร่างให้องค์หญิง แต่ว่ามหาเทพจะมาใช้วิธีการอย่างนี้ได้อย่างไร คนอื่นมีแต่ทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก แล้วทำให้เรื่องเล็กนั้นหายไป แต่ว่าพวกเขา กลับแทบจะทนไม่ไหวแล้วทำให้เรื่องใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ฉีหนานก้าวขาวิ่งออกไป ก็ได้ยินเสวียนอี่กล่าวตามหลังมาว่า “ฉีหนาน ชิงเยี่ยนเขา…ยังไม่มีข่าวของเขาเลยหรือ”
นับตั้งแต่ที่นางออกไปจากเขาจงซานเพื่อไปกราบอาจารย์ที่ตำหนักหมิงซิ่ง จนถึงตอนนี้ผ่านไปแล้วหลายเดือน ไม่ว่านางจะเขียนจดหมายไปหาชิงเยี่ยนเท่าไหร่ ก็ไม่มีใครตอบกลับมาเลย ชิงเยี่ยนที่น่าตายนี่ คงไม่ใช่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกนะ
ฉีหนานถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “แม้แต่กับองค์หญิง องค์ชายน้อยยังไม่ยอมตอบ นับประสาอะไรกับท่านมหาเทพ…องค์หญิงใจเย็นๆ หากว่าองค์ชายน้อยถึงขั้นปิดตัวจำศีล การจะหลับไปถึงหนึ่งพันปีก็ยังถือเป็นเรื่องปรกติ หากว่าผ่านหน้าหนาวนี้ไปแล้ว ยังไม่มีข่าวสารใดๆจากองค์ชายน้อยอีก ข้าจะไปหามหาเทพเสวียนหมิงที่เทียนเป่ยด้วยตัวเอง”
ตระกูลจู๋อินตั้งแต่มหาเทพจนถึงองค์หญิงล้วนแล้วแต่ไม่ได้ความทั้งนั้น มีแต่เขาที่ต้องลำบากยุ่งจนหัวปั่นเป็นลูกข่างอยู่คนเดียว