บุหลันเคียงรัก - บทที่ 42 บำรุงอย่างหนัก
ยามโพล้เพล้ บนยอดเขามีฝนตกปรอยๆ วังเทพบูรพาซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางมวลเมฆ ระเบียงไม้เต็มไปด้วยความชื้น เม็ดหมากหินโมราในมือให้สัมผัสที่เย็นเยียบ
ฝูชางค่อยๆ วางหมากลงไปบนกระดาน เทพบูรพาที่อยู่ตรงข้ามสูดลมหายใจเข้าแล้วยืมฝืนออกมา “ช่วงนี้ วิถีหมากของเจ้าเต็มไปด้วยฆ่าฟัน”
ฝูชางเงียบไม่ตอบอะไร แล้วเก็บหมากลงไปในกล่องพลางถามว่า “จะเล่นอีกตาหรือไม่”
เทพบูรพาส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ “ไม่เล่นแล้ว นี่ไม่เหมือนเจ้ายามปกติเลย ยังโกรธข้าที่เชื่อมสัมพันธ์ให้เจ้ากับตระกูลจู๋อินอยู่หรือ”
ฝูชางรินชาคืนกำเนิดหนึ่งถ้วยแล้ววางลงตรงหน้าเขา “ท่านพ่อ ตอนนี้ข้ายังไม่มีแก่ใจจะมาคิดเรื่องนี้”
“อ้อ” สายตาของเทพบูรพาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าเจอปัญหาในวิถีกระบี่หรือ”
“ไม่ขอรับ ช่วงนี้กลับเข้าใจมากขึ้นบ้าง ต้องทำใจให้สงบช่วงหนึ่งเพื่อเลื่อนขั้น”
“หรือว่าในใจเจ้าชมชอบเทพธิดาองค์อื่น”
“…ไม่ใช่”
“ฝนตกทำให้อารมณ์ไม่ดี? “
ฝูชางเงยหน้าขึ้นอย่างจนใจ “ท่านพ่อ ท่านเล่นหมากแพ้แล้วก็ไม่ต้องหาข้ออ้างมากขนาดนี้หรอก”
เทพบูรพาเป่าใบชาสีเขียวในถ้วยชาแล้วกล่าวอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนว่า “ตั้งแต่เล็ก เจ้าก็ชอบทำหน้าตาเย็นชาประหนึ่งว่าพ่อแม่ไม่รัก ใครไม่รู้ยังคิดว่าข้าเข้มงวด ครั้งที่แล้วข้าเจอกับจักรพรรดิแดงเข้า เขายังกล่าวว่าข้าดูแลเจ้าเข้มงวดเกินไป จนทำให้เจ้ากลายเป็นคนพูดน้อย ไม่รู้เมื่อไหร่ข้าถึงจะล้างมลทินนี้ไปได้หมด”
ฝูชางก้มหน้าแล้วคลี่ยิ้มบาง “คนที่พูดด้วยไม่น่าพูด ก็ต้องรู้จักสงวนคำพูดไว้ดั่งทองคำ”
“เห็นที คนที่พูดด้วยแล้วไม่น่าพูดน่าจะมีมากเกินไปหน่อย” เทพบูรพาเช็ดรอยชื้นบนเม็ดหมาก ทันใดนั้นก็ราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ กล่าวต่อว่า “พูดถึงตระกูลจู๋อิน มหาเทพจงซานผู้นั้นฝีมือไม่ใช่เล่นๆ จริงๆ ได้ยินว่าเทพีวั่งซูปฏิเสธไม่ยอมรักษาอาการให้กับองค์หญิงตระกูลจู๋อิน เขากลับไปจับเทพเฟยเหลียนมา และทุกวันยังต้องส่งทรายจันทราย้อมเลือดไปที่วังของเทพีวั่งซูอีก เรื่องนี้ทำให้วั่งซูโมโหไม่น้อย”
พูดถึงตรงนี้ เทพบูรพายิ้มออกมา “ตระกูลจู๋อินนี่ บ้าอำนาจจริงๆ ข้าว่านะ หากว่าเขาจับตัวเอาไว้นานอีกหน่อย คิดว่าเทพีวั่งซูคงได้แต่ต้องยอมอ่อนข้อ นังหนูนี่จะเป็นคู่มือของตระกูลจู๋อินได้อย่างไรกัน น่าเสียดายที่ตอนหลังพวกเขากลับยอมปล่อยเทพเฟยเหลียนออกมา”
ฝูชางก้มหน้าจิบชาเงียบๆ
เทพบูรพาพิจารณาเขาอย่างสนใจ “ครั้งที่แล้วที่กลับมาจากเกาะสวรรค์ของราชาบุปผา เจ้ายังมาบ่นกับข้าเลย แล้วไฉนวันนี้พอข้ากล่าวถึงตระกูลจู๋อินเจ้ากลับไม่ยอมพูดอะไรออกมา ใช่แล้ว ข้ายังไม่เคยเจอกับองค์หญิงน้อยตระกูลจู๋อินผู้นั้นเลย ได้ยินว่ามีรูปโฉมงดงาม บุคลิกสง่างามสูงส่ง เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”
ฝูชางแค่นยิ้มหยันออกมา บุคลิกสง่างามสูงส่งรึ
เขาพลันเอาเม็ดหมากหินโมราออกมาจากในกล่องอีกครั้ง แล้ววางไปบนฝากล่องทีละเม็ดพลางกล่าวเสียงเรียบว่า “ท่านพ่อไยต้องเอาแต่กล่าวถึงตระกูลจู๋อินด้วย สู้มาเดินหมากกับข้าสักสามตาดีกว่า ชนะสองในสามถือว่าชนะ หากว่าข้าชนะ ก็จะขออะไรกับท่านพ่อได้เรื่องหนึ่ง”
“ชนะสองในสามรึ”
เทพบูรพางงงัน บุตรชายเขาไปเรียนรู้วิธีการอย่างนี้มาจากที่ไหนกัน
ฝูชางมีท่าทีงดงามสุภาพและเคร่งครัดมากพิธีตามฉบับตระกูลหวาซวีมาตลอด เขาแทบจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องใดๆ เลย ไม่เคยเอาตัวเองเข้าไปในข้อพิพาทใดๆ เวลาที่ต้องพบแขกก็จะไปพบด้วยมารยาทอย่างสุภาพ เวลาที่ต้องไปกราบอาจารย์ ก็จะรีบไปกราบอย่างไม่รีรอ จักรพรรดิสวรรค์เชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลจู๋อินให้ เขาก็ไปโดยมิได้ปฏิเสธ
ที่ผ่านมาเขามักจะปล่อยให้เรื่องทุกเรื่องเป็นไปตามธรรมชาติ แต่ว่า…ชนะสองในสาม คำพูดที่แฝงไปด้วยการพนันอยากจะเอาชนะนี่มันอะไรกัน
เทพบูรพายิ่งรู้สึกสนใจมากขึ้น และอดที่จะกล่าวด้วยรอยยิ้มออกมาไม่ได้ “เจ้าจะขอเรื่องอะไรกับข้า”
ตั้งแต่เล็ก ฝูชางมักจะทำเรื่องทุกอย่างของตัวเองเอง เขาแทบจะไม่ต้องเข้ามายุ่งเลย สำหรับบิดาอย่างเขาแล้วเป็นเรื่องที่เขาวางใจมาตลอด วันนี้จู่ๆ กลับบอกว่ามีเรื่องอยากจะขอเขาขึ้นมา ทำให้เขารู้สึกแปลกใจและอยากรู้ยิ่งนัก พูดไปแล้ว นับตั้งแต่ที่เขาไปกราบมหาเทพไป๋เจ๋อเป็นอาจารย์ ฝูชางก็มีความเปลี่ยนแปลงไปเล็กๆ น้อยๆ อยู่เหมือนกัน ราวกับเครื่องกระเบื้องที่มีชีวิต ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่
สายตาของฝูชางกลอกไปมาแล้วยิ้มบางๆ เขาเอาเม็ดหมากโมราวางลงไปบนกระดานเบาๆ แล้วกล่าวเนิบนาบว่า “ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ หากว่าท่านพ่อเดินหมากกับข้าจนจบ ท่านก็จะรู้เอง”
…
เสวียนอี่ค่อยๆ ฉีกผ้าสีขาวที่พันเล็บเอาไว้ออกมา แล้วดึงเอาเส้นด้ายสีแดงสดที่ติดอยู่กับเล็บออกมาทีละเส้นๆ นางยกมือขึ้น สายตาก็มองไปด้วยความพอใจอยู่ครู่หนึ่ง
เล็บนิ้วมือทั้งห้าเมื่ออยู่ใต้แสงอาทิตย์แล้วกลายเป็นสีชมพูอ่อนใสจนแทบจะโปร่งแสง เทียบกับเล็บที่เดิมเป็นสีแดงสดแล้ว สีนี้ให้ความรู้สึกอ่อนหวานกว่ามาก เวลาครึ่งปีที่เสียไปนับว่าไม่ได้เสียเปล่า
เพราะขาบาดเจ็บทำให้ไม่สามารถเดินได้ ทุกวันจึงผ่านไปอย่างน่าเบื่อเช่นนี้ มีเพียงการแต่งหน้าแต่งตัวเท่านั้นที่ทำให้นางรู้สึกดีใจได้บ้าง
สะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ทั่วทั้งห้องก็เต็มไปด้วยเสื้อผ้าลอยเต็มไปหมด ตั้งแต่สีอ่อนอย่างสีขาวไปจนถึงสีเข้มอย่างม่วงอมแดง มีมากมายแทบจะทุกสี ตอนที่นางมายังตำหนักหมิงซิ่ง แค่เก็บเสื้อผ้าของนางก็ยังต้องใช้**บใหญ่ๆ มากถึงยี่สิบ**บ น่าเสียดายที่นางก็ยังรู้สึกว่ายังน้อยไปอยู่ดี
เสวียนอี่เลือกอย่างยากลำบากอยู่นาน และก็ฝืนเลือกเอาชุดกระโปรงสีเดียวกับเล็บของนางขึ้นมาหนึ่งชุด ชายกระโปรงมีรูปดอกชาสีแสงสายัณห์ คู่กันกับผ้าแพรเนื้อบางทอจากเมฆา ก็นับว่าพอดูได้บ้าง…เฮ้อ ควรจะตัดเสื้อผ้าชุดใหม่ได้แล้ว
นางหันหน้าเข้าหากระจกและแต่งตัวจนเรียบร้อย ก็ได้ยินเสียงของเทพรับใช้ดังมาจากนอกตำหนัก “องค์หญิงเสวียนอี่ มื้อเช้ามาแล้วขอรับ”
สีหน้าของนางหมองลงทันที นางผลักหน้าต่างให้เปิดออกแล้วมองไปยังอาหารบนมือของเทพรับใช้ก่อนจะถอนหายใจออกมาช้าๆ “…ยังคงเป็นน้ำแกงบำรุงอยู่อีกหรือ”
ไฉนใบหน้าของเทพรับใช้กลับดูเหมือนกับกำลังสะใจอยู่อย่างไรอย่างนั้น “ไม่ผิด นี่คือน้ำใจของเทพกู่ถิงและเทพีจื่อซี องค์หญิงได้รับบาดเจ็บทำให้เดินไปไหนไม่ได้ หากว่าอาการดีแล้วถึงจะไม่ต้องกินน้ำแกงบำรุงเหล่านี้อีก”
หึ ในที่สุดองค์หญิงผู้สูงส่งก็มีวันที่ต้องทรมาน! เทพรับใช้มองไปยังใบหน้าอมทุกข์ของนางก็รู้สึกดีใจขึ้นมา
เสวียนอี่รับเอาอาหารไปแล้วค่อยๆ เปิดออกช้าๆ ไม่ต้องแปลกใจเลย ด้านในมีเพียงแค่น้ำแกงยาสมุนไพรปลาดุกเข้มข้นหนึ่งชาม
พูดว่าขาของนางบาดเจ็บเดินไปไหนไม่ได้ นางหลับใหลอยู่ในวิมานม่วงมาสองเดือน แต่ก่อนนางอยู่ในวิมานม่วงทั้งวันยังไม่รู้สึกเบื่อหน่าย แต่ว่าตอนนี้ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น น่าจะเป็นเพราะว่านางได้เห็นเรื่องสนุกมากมายจนติดใจ ทำให้นางกลับรู้สึกคิดถึงตำหนักหมิงซิ่งขึ้นมา พอนางรอจนบาดแผลไม่มีเลือดไหลแล้ว นางจึงกลับมาฟังบรรยายต่อ
ใครจะรู้ว่าฝันร้ายมันก็มาด้วยประการฉะนี้ นางกลับมาที่ตำหนักหมิงซิ่งได้หนึ่งเดือนกว่า กู่ถิงกับจื่อซีไม่รู้ว่าไปได้ตำรับยาโบราณมาจากที่ไหน ไปเก็บสมุนไพรมากองใหญ่ แล้วทุกวันก็สั่งให้เทพรับใช้ตุ๋นปลาดุกจากแม่น้ำสวรรค์มาบำรุงให้นาง ได้ยินว่าเพราะถูกหนวดของปีศาจปลาดุกทำร้ายจนบาดเจ็บ ดังนั้นน้ำแกงปลาดุกจึงได้ผลที่สุด
มีผลหรือไม่นั้นนางมองไม่ออก แต่ว่านางรู้สึกว่าทั้งชีวิตนี้นางไม่อยากจะเห็นปลาดุกอีกต่อไปแล้ว
เสวียนอี่นิ่งเงียบไป ขอบตาก็เริ่มแดงขึ้นมา
“ข้าอยากกินขนมโมราเคลือบแป้งน้ำตาล ขนมดอกท้อชุบแป้งเคลือบน้ำตาล” นางมองไปที่เทพรับใช้ด้วยดวงตาที่ฉ่ำวาวไปด้วยน้ำตา
ร้องไห้อีกแล้ว! นางไม่ยอมติดกับหรอก! เทพยืดอกยืนกราน “ของเหล่านั้นไม่มีประโยชน์ต่อบาดแผลขององค์หญิง องค์หญิงทนเอาหน่อยเถอะ”
“ขนมแป้งข้าวเหนียวถั่วเขียวก็ได้” นางยอมฝืนใจเปลี่ยนชนิด
“องค์หญิง ท่านบาดเจ็บอยู่…”
“ขนมเกาลัดชุบน้ำผึ้งก็ไม่เลว”
“องค์หญิง…”
“แม้แต่ขนมบัวไป๋เฉ่าก็ยังเอามาไม่ได้หรือ” น้ำตาของนางหยดแหมะลงมา
“ก็…ได้” เทพรับใช้หดหน้าอกที่ยืดขึ้นของตนกลับลงไป แล้วออกไปหาขนมอย่างท้อแท้ใจ
พอเขารีบร้อนยกขนมกลับมาอีกครั้ง น้ำแกงบำรุงในชามก็ว่างเปล่าแล้ว ร่างสะโอดสะองขององค์หญิงตระกูลจู๋อินกำลังนั่งชื่นชมเล็บมือของนางอยู่บนเก้าอี้น้ำแข็ง
“…องค์หญิง ท่านดื่มน้ำแกงบำรุงเข้าไปหมดแล้วหรือ” เทพรับใช้มองไปที่นางอย่างสงสัย
เสวียนอี่กัดไปที่ขนมเกาลัดชุบน้ำผึ้งคำหนึ่ง แล้วยิ้มออกมาราวกับดอกไม้แรกแย้ม “ใช่แล้ว ดื่มหมดแล้ว”
“จริงหรือ”
“จริง”
ทำไมเขาถึงได้รู้สึกไม่เชื่อนางเลยเล่า! เทพรับใช้กวาดตามองรอบห้องอย่างระวัง จะต้องมีร่องรอยอะไรเหลือทิ้งเอาไว้แน่ นางไม่เชื่อองค์หญิงนิสัยเสียองค์นี้หรอก!
“เอ๋ มีขนมตั้งแต่เช้าเลยหรือ” เสียงอ่อนหวานนุ่มนวลดังมาจากด้านนอก
เสวียนอี่กวักมือเรียกเขาอย่างดีใจ “ศิษย์พี่เซ่าอี๋ ท่านกลับมาแล้ว”
นางกลับมาที่ตำหนักหมิงซิ่งนี้ได้หนึ่งเดือนกว่าแล้ว แต่ว่าเทพตระกูลชิงหยางคนนี้กลับไม่รู้ว่าไปเร่ร่อนเล่นสนุกที่ไหน ไม่ยอมกลับมาฟังบรรยาย และที่น่าแปลกก็คือ มหาเทพไป๋เจ๋อเองก็ไม่สนใจเขาด้วย
“ใช่แล้ว คิดถึงข้าหรือยัง” เซ่าอี๋เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า แล้วเลือกขนมชิ้นหนึ่งกินลงไป
เสวียนอี่ยิ้มตาหยีแล้วรินชาส่งไปให้เขาหนึ่งถ้วย “คิดถึงสิ”
เขายิ้ม “เด็กดี ไม่เสียแรงที่ข้ากลับมาก็ตรงมารับเจ้าไปฟังบรรยายเลย”