บุหลันเคียงรัก - บทที่ 45 องค์หญิงก็เหมือนหยก
ช่วงปลายฤดูหนาว ตำหนักหมิงซิ่งมีหิมะแรกตกลงมา หิมะตกต่อเนื่องกันมาสามสี่วัน จนกระทั่งวันนี้ท้องฟ้าจึงได้กลับมาสดใสปลอดโปร่ง ตำหนักหมิงซิ่งปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน พอถูกแสงอาทิตย์ส่องเข้าก็เกิดแสงสะท้อนแยงตา เสวียนอี่ยืนขาซ้ายข้างเดียวแล้วกระโดดไปมาในตำหนักน้ำแข็ง รีบไปดึงม่านให้ปิดสนิท
จากที่นางบาดเจ็บจากโลกเบื้องล่างผ่านมาแล้วครึ่งปี ตอนนั้นฉีหนานบอกว่าบาดแผลต้องใช้เวลาถึงสามสิบปีถึงจะสามารถสมานกันได้ แต่ว่านี่เวลาเพิ่งจะผ่านไปแค่ครึ่งปีบาดแผลก็สมานกันมากว่าครึ่งแล้ว สถานการณ์น่าอัศจรรย์อย่างนี้กลับทำให้นางยิ่งต้องระวังมากขึ้น ทุกวันต้องตรวจสอบแผลอย่างละเอียด แต่ว่าตอนนี้ดูแล้วก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ แต่ว่าแค่บริเวณบาดแผลเริ่มรู้สึกคันขึ้นมาอย่างรุนแรง เสวียนอี่ฉีกผ้าขาวออก นางไม่กล้าออกแรงเกา แต่ว่าใช้ปลายเล็บกดลงไปเท่านั้น
ด้านนอกตำหนักมีเสียงดังเล็กน้อย มีคนเดินมาบนหิมะ คิดว่าน่าจะเป็นเซ่าอี๋ที่เอาชากับของหวานมาให้นาง
เสวียนอี่ออกแรงกระโดดไปตรงหน้าหน้าต่างแล้วเปิดหน้าต่างออก พลางยิ้มแล้วกล่าวว่า”ศิษย์พี่เซ่าอี๋ ของว่าง…”
นอกหน้าต่าง แสงสว่างจนบาดตา ผู้ที่มาสวมชุดคลุมขาวผมสีดำ และดวงตาเมล็ดถั่วเป็นประกาย ดูแล้วเขากำลังยกมือเตรียมเคาะประตู นางเปิดหน้าต่างออกมาอย่างกะทันหันทำให้เขาตกใจไปแล้วหันหน้ากลับมา
เสวียนอี่อยากจะใช้มือปิดตา ซวยจริง มิน่าเล่าเมื่อคืนนี้ถึงได้รู้สึกว่ามีเสียงหัวเราะดังมาแต่ไกล ที่แท้ก็เป็นเขากลับมาแล้วนี่เอง ไม่ได้เจอกันมาครึ่งปี เขาก็ยังเป็นเหมือนเดิม วันหิมะตกอย่างนี้ยังมาใส่ชุดสีขาวอีก นี่มันเป็นการทำร้ายสายตาที่อ่อนแอของนางเป็นครั้งที่สองชัดๆ
นางเตรียมจะออกแรงกระแทกหน้าต่าง ก็ได้ยินเสียงมีเสน่ห์ดังขึ้นตรงหน้า น้ำเสียงเยือกเย็น “วันนี้ไปจวนจูเซวียนอวี้หยาง ถึงคราวข้ามารับส่งเจ้า”
เสวียนอี่ยิ้มน้อยๆ นางก้มหน้าตรงหน้าต่าง ความแค้นทั้งหมดที่ฝังเอาไว้ในหัวนางก็พากันผุดขึ้นมา แล้วกล่าวว่า”ศิษย์พี่ฝูซง ข้าคิดถึงท่านจริงๆ เลย ได้ยินว่าท่านเลื่อนไปขั้นอะไรแล้ว อีกหน่อยจับอาวุธรำกระบี่ก็จะยิ่งคล่องขึ้นใช่หรือไม่”
แววตาของฝูชางก้มลงมาดูเรียวขาที่สมส่วนของนาง แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่าไม่เหมาะสม จึงเบนสายตาออกไป แต่ว่าก็ต้องจนใจเพราะองค์หญิงมังกรคนนี้ ทั้งตัวไม่มีเสื้อผ้าส่วนไหนเรียบร้อยเลย ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ไม่สวมเสื้อคลุมนอก ทั้งยังเปลือยขาและแขนเรียวราวกับหยกทั้งสองของนางอีก
ไม่ได้เจอกันมาครึ่งปี นางก็ยังทำให้เขาต้องตกตะลึงได้อยู่ดี
สายตาของเขาหยุดลงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยแววเสียดสีของนาง น้ำเสียงที่พูดออกมาเย็นชาขึ้นหลายส่วน “ใส่เสื้อผ้ากับรองเท้าให้เรียบร้อย”
เขาไม่ใช่พ่อนางเสียหน่อย เสวียนอี่ไม่สนใจและยังจงใจพูดไร้สาระกับเขา “แต่ว่าข้ายังไม่ได้กินอะไรเลย”
ฝูชางไม่พูดอะไร แต่หันกลับไปมองน้ำแกงบำรุงที่ถูกแช่แข็งเอาไว้ใต้โต๊ะ เมื่อกลับมา กู่ถิงยังพูดถึงเสวียนอี่ว่าเขาได้ไปหาสูตรน้ำแกงโบราณมาให้นางดื่มบำรุงทุกวัน…เห็นได้ชัดว่าน้ำแกงบำรุงนี้ไม่ได้รับความชอบใจจากนางนัก
ตายจริง เมื่อเช้านางมัวแต่ยุ่งอยู่กับการดูแผล เลยลืมกำจัดน้ำแกงบำรุงแช่แข็งใต้โต๊ะก้อนนั้นไป
เสวียนอี่ยกคางขึ้น “ข้าไม่ชอบดื่มน้ำแกงบำรุง”
ฝูชางมองนางนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า”ตอนนี้อีกหนึ่งเค่อ [1] จะถึงยามเฉิน [2] ถึงยามเฉินเราจะออกเดินทาง เจ้ายังมีเวลาอีกหนึ่งเค่อเพื่อเตรียมตัวให้เรียบร้อย เจ้าจะถ่วงเวลาอย่างนี้หรือจะไปเปลี่ยนชุดก็ตามใจ แต่ถ้าถึงเวลา ข้าจะจับเจ้าไปทันที”
เสวียนอี่กัดริมฝีปาก คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ข้าเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย ศิษย์พี่ฝูชางก็จะพาไป? “
ฝูชางเลิกคิ้ว”เจ้าลองดูก็ได้”
หน้าต่างดึงปิดทันที เห็นได้ชัดว่าองค์หญิงหัวสูงองค์นี้กำลังข่มอารมณ์อยู่
ฝูชางหันหลังให้กับหน้าต่างแล้วรออย่างสงบ ดูเหมือนว่าเขากับองค์หญิงจะไม่สามารถพูดคุยกันดีๆ ได้เลย นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รู้จักกันจนถึงตอนนี้ ผ่านมาแล้วครึ่งปีถึงได้มาเจอกันใหม่อีกครั้ง น้ำเสียงของนางก็ยังคงเต็มไปด้วยความยั่วยุเหมือนเดิม เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะพูดเย็นชาเสียดสีออกมา ทั้งสองฝ่ายเจอหน้ากันเป็นต้องเสียดสีอีกฝ่ายอยู่เสมอ
หน้าต่างพลันเปิดขึ้นอีกครั้ง เสียงที่แฝงไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองดังขึ้น “ข้าหิวแล้ว”
เขาหันกลับไป องค์หญิงน้อยที่ชอบแต่งตัวได้เปลี่ยนชุดใหม่อย่างรวดเร็ว ชุดกระโปรงยาวสีม่วงอมแดงปักลายมังกรสีทองอ่อน ผ้าแพรสีน้ำเงินอ่อนพาดไว้ที่แขน ผมยาวหนามัดไว้เป็นมวยผมแกว่งไปมา ห่วงทองประดับเป็นประกายสีทองอร่าม
กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่เยือกเย็นและสง่างามของตระกูลจู๋อินพัดเข้ามา เขามองลงไปในทันที ที่เท้าของนางสวมรองเท้าเรียบร้อยแล้ว เท้าเล็กขาวราวกับหิมะของนางถูกชายกระโปรงคลุมเอาไว้ จนทำให้มองไม่เห็นแผลที่ขา และขาเรียวราวกับหยกคู่นั้นของนาง
เขารีบเก็บสายตากลับมาแล้วกล่าวเสียงเรียบ “ทนไว้”
ทนอีกแล้ว? เสวียนอี่ยื่นมือทั้งสองไปหาเขาแล้วกล่าวอย่างแง่งอนว่า “ถ้าอย่างนั้นก็อุ้มข้าไปเถอะ”
ฝูชางไม่มีปฏิกิริยา เขาพลันยื่นมือออกไป แล้วนางก็รู้สึกว่าเอวกับบ่าถูกจับ จากนั้นก็เหมือนกลับแผ่นดินพลิกกลับ เขากลับหิ้วนางราวกับกำลังหิ้วถุงแล้วดึงนางออกมาจากหน้าต่างจากนั้นก็โยนไปที่หลังพร้อมหมุนตัวจากไป
หัวของนางกระแทกไปที่ร่างของเขา เจ็บจนต้องกัดฟันแน่น
หิมะหยุดลง เมฆหมอกก็สลาย เผยให้เห็นแสงอาทิตย์ที่สาดส่องมายังหิมะที่กองอยู่บนต้นไผ่สีเขียวสองข้างทาง ฝูชางเดินไม่เร็ว แขนของเขาจับไปที่ข้อเข่า น่องของนางสั่นไหวไปมาตามจังหวะการเดินของเขา
ไม่รู้ว่าแผลของนางเป็นอย่างไรบ้าง ตระกูลจู๋อินหากว่าได้รับบาดเจ็บแล้วแผลจะหายช้ากว่าตระกูลเทพอื่นมาก ยิ่งไปกว่านั้นพิษปีศาจในร่างของนางยังเอาออกมาไม่ได้ ฝูชางพลันจับน่องขวาของนางเอาไว้ ผ้าขาวแห้งสนิทไม่ได้มีรอยเลือด ในใจเขารู้สึกประหลาดใจขึ้นมา วั่งซูน่าจะยังไม่มีเวลามารักษาอาการของนาง บาดแผลนางหายเร็วกว่าที่คาดเอาไว้มาก
ที่คอพลันเจ็บขึ้นมา องค์หญิงจิกเล็บลงไปในผิวของเขาเงียบๆ อย่างข่มขู่
ฝูชางรู้สึกว่าตัวเขาราวกับกำลังได้ยินเสียงในใจที่เย็นยะเยือกของนางกล่าวว่า อย่าแตะข้า
ลมหายใจที่พลันถูกคอทำให้เขาหรี่ตาลง มือที่ผ่อนแรงน้อยๆ ของเขาเหมือนกับถูกยั่วยุและค่อยๆ กำแน่นขึ้น ยังไม่ทันรอให้เล็บของนางจิ้มเข้าไปในผิว เขาก็ลงมือเร็วราวกับสายฟ้าไปคว้ามือทั้งสองของนางเอาไว้ นางเจ็บจนร้อง “ไอหยา” ออกมา และทุกอย่างก็เหมือนย้อนกลับไปที่โลกเบื้องล่างอีกครั้ง ร่างทั้งร่างพาดไปบนร่างของเขาและดิ้นไปมา
เจ้าคนป่าเถื่อน!
“ศิษย์พี่ฝูชาง” เสียงของนางอ่อนหวานนุ่มนวล แต่กลับเต็มไปด้วยความเสียดสี “ท่านไม่รู้จักคำว่ารักหยกถนอมบุปผาบ้างหรือ”
เห็นเขาไม่มีปฏิกิริยาอะไร เสวียนอี่ก็เอาคางวางลงไปที่ไหล่ของเขาแล้วถอนหายใจออกมา”แต่ว่า จริงๆ แล้วคนป่าเถื่อนที่เก่งกาจขึ้นมากอย่างท่าน ข้าชอบมากเป็นพิเศษ”
เสียงทุ้มต่ำมีเสน่ห์ของฝูชางแฝงไปด้วยความรังเกียจน้อยๆ “พอดีเลย เทพสาวที่นับวันยิ่งอวดดีไร้มารยาทอย่างเจ้า ข้าก็ไม่ชอบมากเป็นพิเศษ”
“เกลียดเสียจริง มาว่าคนอื่นเขาอวดดีไร้มารยาท” เสวียนอี่เป่าลมไปที่หูของเขาอย่างแค้นเคือง”ท่านอยากจะได้แบบนุ่มนวลอ่อนหวาน ข้าเองก็ทำได้นะ”
เขามีปฏิกิริยาเฉียบไวยิ่งนัก รั้งนางมาไว้ด้านหน้าพร้อมมองอย่างเยือกเย็น
เสวียนอี่ลูบแขนเสื้อ ถึงกำลังถูกหิ้วอยู่แต่ท่าทางของนางก็ยังคงสง่างาม”ศิษย์พี่ฝูชาง ท่านทำเสื้อผ้าข้ายับหมดแล้ว”
ฝูชางหน้าตาเย็นชา ดวงตาสีดำของเขาจ้องไปที่นางอยู่นาน น้ำเสียงก็เย็นชาขึ้น “ระหว่างเดินไปที่หน้าประตูตำหนัก หากว่าเจ้ายังพูดออกมาอีกคำ หรือขยับตัวอีกครั้ง ข้าจะจับเจ้ามัดเอาไว้”
เขาชะงักไป สุดท้ายก็อุ้มนางขึ้นมา
เสวียนอี่หันหน้าหนีไป นางรู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้ว ทำไมนางไม่รู้จักเรียนต่อสู้? อย่างน้อยก็ยังพอจะทำให้เจ้าคนสารเลวคนนี้หนังถลอกได้บ้าง
ลมหนาวพัดมาในตำหนักทั้งสามร้อยแห่ง เผ่าเทพเดินบนหิมะอย่างไร้ร่องรอย เสื้อผ้าสีขาวของฝูชางปัดผ่านหิมะที่กองอยู่ หิมะก็พัดไปตามลม
องค์หญิงมังกรในอ้อมอกนิ่งราวกับเป็นท่อนไม้ แต่ว่าเขากลับไม่สามารถเห็นนางเป็นท่อนไม้ไปได้จริงๆ ครั้งที่แล้วที่นางได้รับบาดเจ็บหนัก สถานการณ์พิเศษ เขาทั้งกอดทั้งหิ้วทั้งแบกก็ยังไม่คิดอะไรมาก แต่ว่าวันนี้นางแต่งตัวสวยงาม กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว และการที่เขามาอุ้มนางด้วยท่าทางอย่างนี้ กลับทำให้รู้สึกประหลาดมาก
ไม่รู้ทำไมฝูชางพลันนึกไปถึงปลาดุกอุยน้อยที่ชอบมุดเข้ามาในแขนเสื้อของเขา ก้อนกลมๆ เย็นๆ ที่ม้วนอยู่ที่หน้าอก
แต่ว่าไม่นาน ปลาดุกอุยน้อยก็เปลี่ยนไปเป็นร่างขององค์หญิงมังกร ท่ามกลางแสงจันทร์ของโลกเบื้องล่างที่สาดส่องมา ใบหน้าของนางราวกับกระเบื้องเคลือบราวกับหยก ริมฝีปากอวบอิ่ม และขาเปลือยภายใต้กระโปรงที่โผล่ออกมาเมื่อครู่นี้
เขาขมวดคิ้ว อยากจะรีบไล่ความคิดประหลาดเหล่านี้ออกไป แต่เขากลับพบว่าเขาทำไม่ได้
—
[1] เค่อ หน่วยวัดเวลาของจีน โดย 1 เค่อเท่ากับ 15 นาที
[2] ยามเฉิน ช่วงเวลาตั้งแต่ 7.00 น.-8.59 น.