บุหลันเคียงรัก - บทที่ 46 จนใจกับความดื้อดึง
ยามเฉิน [1] ตรง หน้าตำหนักหมิงซิ่งคึกคักมาก นี่คือครั้งแรกที่มหาเทพไป๋เจ๋อพาเหล่าลูกศิษย์ออกไปข้างนอก และที่ที่จะไปยังเป็นจวนจูเซวียนอวี้หยางที่สวยงามโอ่อ่าอีก เหล่าลูกศิษย์ต่างตื่นเต้นกันมาก แต่ละคนหยิบเอาชุดที่หรูหราเป็นทางการที่สุดออกมาสวมใส่ และเรียกเอาสัตว์พาหนะออกมาแต่งองค์ทรงเครื่อง ทำให้ตำหนักหมิงซิ่งเต็มไปด้วยประกายแสงมงคลเห็นไปไกลนับหมื่นลี้ สัตว์ทั้งหลายก็ประชันความสวยงามกันเต็มที่
จื่อซีจับดอกชาหยกที่หูและมองจ้องไปทางประตูตำหนักด้วยท่าทีร้อนรนและเฝ้าคอย วันนี้ตั้งใจแต่งหน้าแต่งตัวเป็นพิเศษ ทั้งยังไปยืมน้ำมันทาเล็บสีแดงสดมาจากเสวียนอี่ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนอีกด้วย
จื่อซีลูบดอกชาหยกที่ทัดหูเบาๆ นางไม่ได้แต่งตัวสวยงามเช่นนี้บ่อยนัก แค่แอบหวังว่าจะให้ฝูชางมองมาที่นางสักครั้ง
“ศิษย์พี่หญิงจื่อซี”
ที่ประตูตำหนักมีเสียงของกู่ถิงดังเข้ามา นางหมุนตัวกลับไปก็เห็นกูถิงและฝูชางเดินออกมาจากในตำหนักหมิงซิ่ง ฝูชางจูงราชสีห์เก้าเศียร กู่ถิงจูงวัวชราที่เป็นสีขาวราวกับหิมะทั้งตัว และเสวียนอี่กำลังนั่งอยู่บนหลังของวัวพร้อมประคองกล่องอาหารเอาไว้ในมือ ปากก็ไม่รู้กำลังกินอะไรอยู่
จื่อซีตื่นเต้นขึ้นมา นางพยายามควบคุมแล้วรีบเดินเข้าไปรับ ยิ้มแล้วถามว่า “วันนี้ไม่ใช่ว่าถึงรอบของศิษย์น้องฝูชางไปรับส่งเสวียนอี่หรือไร ทำไมถึงได้นั่งอยู่บนหลังวัวของศิษย์น้องกู่ถิงได้”
กู่ถิงฝืนยิ้มออกมา เขาไปพบพวกฝูชางเข้ากลางทาง เสวียนอี่ก็เอ่ยปากขอขี่วัวขาว แล้วเขาจะบอกว่าไม่ให้ได้หรือ สุดท้ายนางไม่เพียงแต่นั่งอยู่บนหลังวัวไม่ยอมไปเท่านั้น ขนาดของว่างที่เขาเตรียมจะเอาไปที่จวนจูเซวียนอวี้หยางก็ยังถูกนางกินหมดแล้วด้วย
เพราะเห็นจื่อซีจูงเซี่ยจื้อ [2] ที่เย่อหยิ่งตัวหนึ่งออกมา เสวียนอี่จึงปิดกล่องข้าววางลง พลางยิ้มตาหยีแล้วกล่าวถามว่า “ศิษย์พี่หญิง เซี่ยจื้อของท่านดูดีมากเลย ให้ข้าขี่หน่อยได้หรือไม่”
พวกเขาแต่ละคนล้วนแต่มีสัตว์พาหนะกันหมด มีแค่นางที่ไม่มี ถึงแม้จะบอกว่าเทพมังกรไม่เคยใช้สัตว์พาหนะมาก่อน แต่ว่าได้ขี่ของคนอื่นเล่นก็ดูน่าสนุกดี
จื่อซีถอนหายใจแล้วอุ้มนางขึ้นมาบนหลังของเซี่ยจื้อ “ของว่างถูกเจ้ากินไปกว่าครึ่งแล้ว ดูแล้วเจ้าก็รูปร่างผอม กระเพาะไม่เลวจริงๆ ดื่มน้ำแกงบำรุงชามใหญ่เข้าไปแล้วยังกินขนมเข้าไปได้มากอย่างนี้อีก”
เสวียนอี่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วหันกลับไปกินขนมต่อ จื่อซีคิดจะไปหาฝูชาง แต่ว่าเขากลับไม่มองมาเลย ใบหน้าราวกับมีน้ำแข็งปกคลุมเอาไว้ เขาจูงเสี่ยวจิ่วไปอีกด้านแล้วใช้นิ้วมือสางขนให้มัน นางอายเกินกว่าจะเข้าไปคุยกับเขาก่อน จึงได้แต่กัดริมฝีปากอย่างผิดหวัง
ด้านหลังไม่ไกลนัก พลันมีเสียงนุ่มนวลของเซ่าอี๋ดังขึ้นว่า “เอ๋ เซี่ยจื้อตัวนี้ของศิษย์พี่หญิงสวยมาก”
เสวียนอี่หันหน้ากลับไป เห็นเซ่าอี๋จูงหงส์สีแดงตัวใหญ่มา ตาทั้งสองก็เบิกกว้างอย่างเป็นประกาย” ศิษย์พี่เซ่าอี๋ ข้านั่งหงส์ของท่านได้หรือไม่”
นางสนใจขี่พาหนะที่ไม่เหมือนกันขนาดไหนกัน จื่อซีถึงกับจนใจ
เซ่าอี๋ยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวสัพยอกว่า “แน่นอนว่าได้ เจ้าหอมข้าครั้งหนึ่ง แล้วข้าจะให้เจ้าขี่”
จื่อซีโมโหว่า “ไม่ระวังคำพูด ระบบระเบียบหายไปไหนเสียหมด!”
เซ่าอี๋ถอนหายใจ เขายื่นมือไปอุ้มเสวียนอี่ขึ้นมา ส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “ใช่ๆ ศิษย์พี่หญิง ข้าผิดไปแล้ว ไปเถอะ ไปขี่หงส์กัน”
เขาอุ้มเสวียนอี่ไปวางบนหงส์เบาๆ แต่กลับไม่ยอมปล่อยมือ เขาใช้แขนโอบร่างนางเอาไว้แล้วกล่าวเสียงเบา “ข้าไม่รู้เลยว่าปลาดุกอุยน้อยอย่างเจ้ากลายเป็นไข่มุกบนฝ่ามือของศิษย์พี่หญิงไปแล้ว”
นางขยับแล้วกลอกตาไปมา ประเดี๋ยวมองไปที่แขนของเขา ประเดี๋ยวมองไปที่หงส์ เขาไม่ยอมปล่อยนางแล้วนางจะขี่หงส์ได้อย่างไร
เซ่าอี๋กล่าวเสียงนุ่มว่า “ปลาดุกอุยน้อย หงส์ของข้ารับเจ้าไม่ไหว เจ้าคงไม่อยากจะทับมันตายใช่หรือเปล่า”
เสวียนอี่รู้สึกว่านางจะไม่สนใจเรื่องที่เขาว่านางหนักอีกต่อไปไม่ได้แล้ว นางพิจารณาเขาแล้วกล่าวอย่างสงสัยว่า “ทำไมศิษย์พี่เซ่าอี๋ถึงได้พูดว่าข้าหนัก”
เซ่าอี๋คิด ‘บางทีนี่อาจจะเป็นความไม่เข้ากันของตระกูลจู๋อินและตระกูลชิงหยาง?’
นี่เป็นความไม่เข้ากันที่ทำให้นางไม่พอใจเลย เขาไม่ปล่อยมือ แล้วนางจะขี่หงส์ได้อย่างไร จึงหมดความสนใจ “ถ้าอย่างนั้นข้าไปขี่เซี่ยจื้อ ศิษย์พี่เซ่าอี๋ส่งข้าไปเถอะ”
เซ่าอี๋มองนางที่แต่งตัวสวยงามวันนี้ รอยยิ้มยิ่งเด่นชัดขึ้น “เจ้าหอมข้าครั้งหนึ่ง แล้วข้าจะส่งเจ้ากลับไป”
เสวียนอี่รับคำอย่างรวดเร็ว “ท่านหลับตาสิ”
เขาปิดตาลงตามที่นางว่า ขนตายาวสั่นไหวน้อยๆ เสวียนอี่เลือกเอาขนมถั่วสมุนไพรในกล่องข้าวที่นางเกลียดที่สุดใส่ปากเขา เซ่าอี๋ขมวดคิ้วทันที
“รสชาติแย่มาก…” เขาบ่นเล็กน้อย ถลึงตาจ้องนางอย่างต่อว่า
เสวียนอี่หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ ยกมือขึ้นเขี่ยไข่มุกสีแดงเพลิงที่หน้าผากของเขาเบาๆ ไม่รู้ทำไมมองดูเหมือนว่ามุกเม็ดนี้จะสวยกว่าแต่ก่อนมากนัก
ลมหายใจของนางที่พ่นลงบนหน้านั้นมีกลิ่นหอมราวกับดอกกล้วยไม้ ปลายนิ้วเรียวอ่อนนุ่มและเรียวราวกับหยก ยามสัมผัสบนหน้าผากทำให้รู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก เซ่าอี๋กดเสียงลงต่ำโดยไม่รู้ตัว “ตระกูลจู๋อินล้วนแต่ใจร้ายอย่างเจ้าอย่างนี้ทุกคนเลยหรือ”
“แน่นอนว่าไม่” นางยิ้มอย่างน่าหลงใหล “ข้าเป็นคนจิตใจดีที่สุดคนนั้นต่างหาก”
เซ่าอี๋เบือนหน้าแล้วครุ่นคิดชั่วครู่” ข้าว่าไม่เหมือน”
เขาพูดอย่างนี้ ราวกับว่าเขาเคยเจอตระกูลจู๋อินคนอื่นมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น เสวียนอี่อดที่จะประหลาดใจไม่ได้ นางกำลังเตรียมจะถาม แต่ก็ต้องตกใจเพราะเซ่าอี๋กลับเรียกไปที่ด้านหลังอย่างกระตือรืนร้น “ศิษย์น้องฝูชาง รบกวนเจ้าช่วยมาอุ้มปลาดุกอุยน้อยไปหน่อยจะได้หรือไม่”
เสวียนอี่ทำหน้าเคร่งขรึมอย่างไม่สบอารมณ์ทันที เซ่าอี๋ฝืนยิ้มน้อยๆ “ศิษย์พี่อุ้มเจ้านานเกินไป แขนจะหักแล้ว”
เขาจะอ่อนแอไปถึงไหน! เสวียนอี่ถามกลับไปทันทีว่า “ศิษย์พี่เซ่าอี๋เคยเจอตระกูลจู๋อินคนอื่นนอกจากข้าหรือ”
เซ่าอี๋ร้อง “หืม” ออกมา ยังไม่ทันจะได้กล่าวอะไร ก็ได้ยินเสียงเยือกเย็นของฝูชางดังมาจากด้านหลัง “ต้องไปแล้ว มานี่”
นางรู้สึกว่าพื้นดินกลับตาลปัตร แล้วนางก็ขึ้นไปอยู่บนหลังของราชสีห์เก้าเศียร
“…ข้ายังพูดไม่ทันจบเลย” เสวียนอี่ถลึงตาใส่เขา
ฝูชางก้าวขึ้นไปนั่งบนหลังของราชสีห์ แล้วไปนั่งด้านหลังนางไม่ไกล ตวาดเสียงดังกังวาน ราชสีห์เก้าเศียรก็ขี่ลมทะยานขึ้นไปทันใด แล้วเขาก็กล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า “อืม”
“อีกอย่าง ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามารับส่งด้วย!” นางรู้สึกรังเกียจอย่างมาก
“อ้อ”
เสวียนอี่ถูกท่าทางขอไปทีของเขายั่วโทสะจนโมโหมาก เขาไม่ปะทะฝีปากกับนาง นางก็เหมือนกลายเป็นคนบ้าที่โมโหกับกำแพง นางจึงปิดปากเงียบแล้วนั่งนิ่งราวกับรูปปั้นสลัก
ฝูชางจ้องไปยังเมฆรอบๆ ที่เคลื่อนผ่านร่างเขา เขานึกคำของท่านพ่อก่อนที่จะออกมาได้ ตระกูลหวาซวีของพวกเรานุ่มนวลและให้ความสำคัญกับมารยาทพิธีการมาตลอด ต่อให้เป็นตระกูลจู๋อินที่ไม่ค่อยจะปกตินัก ก็ยังสามารถใช้มารยาทและพิธีการทำให้พวกเขาต้องยอมรับอย่างเต็มใจได้ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเป็นองค์หญิง ต่อให้เป็นจักรพรรดิสวรรค์ก็ยังต้องยอมนางอยู่สามส่วน
ใช่สิ ไม่ว่าอย่างไรนางก็คือองค์หญิงที่มีศักดิ์และฐานะสูงส่ง กิริยาสูงสง่า หน้าตาเป็นมิตร คือสิ่งที่นางถนัด เพียงแต่ว่าพอมาอยู่ต่อหน้าเขาแล้วกลับกลายเป็นดุร้าย ไม่มีมารยาท ทั้งยังใจดำไร้ความรู้สึกอีก
เขาไม่ได้มาที่ตำหนักหมิงซิ่งครึ่งปี หนึ่งก็เพราะวิถีกระบี่เลื่อนขั้น สองเพราะเขาตั้งใจจะควบคุมสภาพ การไม่ควบคุมความคิดชั่วร้ายของตัวเองถึงจะมีความสุขดี แต่นั่นกลับไม่ใช่นิสัยแท้จริงของเขา ยิ่งไปกว่านั้นที่องค์หญิงมังกรโกรธเคืองเขา เกรงว่าน่าจะมาจากการที่นางบาดเจ็บเป็นส่วนใหญ่ หากว่าอาการบาดเจ็บของนางหายดีแล้ว พวกเขาก็จะเป็นคนแปลกหน้าเหมือนเดิม ถ้าอย่างนั้นก็จะดีที่สุด
เขาคิดว่าตัวเขาคิดมากเกินไป เขาคือภูผา แต่พอมาเจอกับองค์หญิงมังกรเข้ากลับกลายเป็นภูเขาไฟไปในทันที
ไม่ได้เจอกันมาครึ่งปี วันนี้แค่เจอกันไม่นาน พวกเขาก็โจมตีกันตั้งแต่คำพูดไปจนถึงระยะประชิดไปแล้วรอบหนึ่ง ฝูชางถึงกับต้องงงงันกับการที่ตนเองควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ทั้งยังหงุดหงิดหัวร้อนกับองค์หญิงมังกรผู้นี้ที่พูดจ้อไม่หยุดอีก
ไท่เหยาขี่เฉาเทียนโห่ว [2] เข้ามาใกล้จึงเห็นว่าเสวียนอี่และฝูชางต่างก็นั่งหน้าเครียดเงียบกริบ จึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ยากนักกว่าจะได้ออกมาสักครั้ง ทำไมพวกเจ้าถึงไม่มีความสุขเอาเสียเลย”
เสวียนอี่ยังคงมีโทสะ “จวนจูเซวียนอวี้หยางมีอะไรน่าสนุก”
ไท่เหยาคิดแล้วกล่าวว่า “นอกจากจะมีเล็บขององค์ราชาชือโยวเผ่าจิ่วหลีในสมัยโบราณแล้ว ได้ยินว่ามหาเทพจูเซวียนยังซ่อนหัวกะโหลกขององค์ราชาก้งกงที่ชนเสาสวรรค์พังปีนั้นไว้ด้วย นั่นก็เป็นของที่หายากมาก”
เสวียนอี่อดมองเขาไม่ได้ ดูแล้วเพราะอยู่กับมหาเทพไป๋เจ๋อนานเข้า ทำให้ศิษย์พี่ใหญ่เองก็ติดนิสัยประหลาดอย่างนี้มาด้วย ถึงได้ไปสนใจเล็บกับกะโหลกของชาวบ้านเขา
ไท่เหยาเหมือนกับจะมองความคิดนางออก จึงยิ้มออกมา “ก็ได้ จริงๆ แล้วยังมีอีกอย่างที่น่าสนุก ข้าได้ยินว่าครั้งนี้มหาเทพจูเซวียนได้เชิญเหล่านักดนตรีให้มาบรรเลงเพลงให้กับเจ้าแม่ซีหวังหมู่ องค์รัชทายาทฉางฉินเองก็มา ไม่แน่ว่าอาจจะเรียกให้ฝูชางไปรำกระบี่อีกสักเพลง เจ้าจะได้เห็นว่ารำกระบี่ที่เหล่าเทพสาวทั้งหลายพากันหลงใหลในปีนั้นเป็นแบบไหนกัน”
เสวียนอี่แอบเบ้ปาก นางไม่สนใจท่าทางรำกระบี่ถือปืนของเจ้าคนป่าเถื่อนนี่เลยสักนิด
ฝูชางที่นั่งอยู่ด้านหลังอดไม่ได้เอ่ยว่า “ศิษย์พี่ไท่เหยา ระวังคำพูดด้วย”
ไท่เหยากล่าวอย่างหยอกล้อว่า “ข้าไม่ได้พูดจาส่งเดชนะ ไม่เชื่อเจ้าลองไปถามกู่ถิงกับจื่อซีดู รำกระบี่ในงานเลี้ยงแต่งงานของธิดาจักรพรรดิสวรรค์ปีนั้นสง่างามขนาดไหน อ้อ ข้าจำได้ว่าเทพีซีเหอเองตอนนั้นก็ร่วมตีกลองด้วย และนับจากนั้นนางก็ไม่เคยลืมเจ้าเลย”
เสวียนอี่นึกถึงครั้งก่อนที่ไปตำหนักเทพีซีเหอ แขนเสื้อฝูชางเลอะชาดไปกว่าครึ่ง สุดท้ายก็แค่นหัวเราะ” หึ” ออกมา
“เทพีซีเหอรักจริงอย่างนี้ น่าประทับใจจริงๆ” นางกล่าวอย่างสบายใจ “จากรูปโฉมและนิสัยตรงไปตรงมาของนาง เหมาะสมกับศิษย์พี่ฝูชางพอดีเลย”
ไท่เหยาฝืนยิ้ม “นี่…เกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะ…”
บรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งสองคนดูไม่ค่อยสู้ดีนัก ดูสถานการณ์แล้วน่าจะไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จ เขาเองก็เป็นคนไม่ค่อยชอบหาเรื่องยุ่งยาก จึงค่อยๆ ถอยหลบออกไป
สายตาเยือกเย็นสองสายจ้องใบหน้าของนาง เสวียนอี่เบือนหน้าหนีไปก็สบเข้ากับสายตาไม่เป็นมิตรของฝูชาง นางเองก็ยิ้มตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่เป็นมิตรยิ่งกว่า “ศิษย์พี่ฝูชาง รักแท้หาได้ยากนัก ท่านอย่าได้ทำให้นางผิดหวังเลย”
เขาไม่พูดอะไรแล้วยื่นมือมาหานาง เสวียนอี่รีบหลบ แต่ใครจะรู้ว่าเขากลับคว้าชายกระโปรงนางแล้วถลกขึ้นมาถึงเข่า จากนั้นก็แกะผ้าพันสีขาวออกทีละน้อย พร้อมกับก้มลงไปดูแผล
ครึ่งปีก่อนแผลเหวอะหวะจนเห็นเนื้อนั่นตอนนี้มีเนื้อใหม่ขึ้นมาแทบจะหมดแล้ว มิน่าเล่าถึงได้ไม่มีเลือดซึมออกมาอีก แต่ว่าหายได้เร็วขนาดนี้กลับน่าแปลกยิ่งกว่า
ฝูชางพลันนึกถึงวันนั้นที่อยู่เหนือวังของราชาหนู เซ่าอี๋เป่าลมหายใจออกมาและยังมีแสงสีทองที่ซึมเข้าไปในผิวที่ท้องของปลาดุกอุย นี่เป็นฝีมือของตระกูลชิงหยางหรือ
เท้าเปลือยเปล่าในฝ่ามือดิ้นไปมาอย่างแรง องค์หญิงมังกรที่อยู่ตรงข้ามยกเท้าอีกข้างเตรียมจะประทับที่หน้าของเขา ฝูชางปรายตามองการกระทำโง่ๆ ของเท้าซ้ายนาง “หากว่ายังขยับอีก ข้าจะจับเจ้าโยนลงไป”
เสวียนอี่โมโหแต่กลับยิ้ม” เจ้ามาลูบขาข้าได้ แต่ไม่ให้ข้าถีบเจ้า ใครอนุญาตให้เจ้ามาแตะต้องข้า!”
ฝูชางไม่สนใจนาง เอาผ้าขาวรัดใหม่อีกครั้งแล้วปล่อยนาง
เจ้าคนสารเลวที่น่าชัง เขาไม่แตะยังดี พอมาแตะแล้วแผลก็เริ่มคันขึ้นมา เสวียนอี่หน้าตึงแล้วใช้เล็บมือกดผ่านกระโปรงลงไป แต่ผลที่ได้ไม่ดีนัก นางจึงออกแรงเกา แต่ว่าเขากลับเอามือมาขวางบนกระโปรงไว้
“อย่าเกา” ฝูชางจับมือนางออก
เสวียนอี่ยิ้มน้อยๆ “ไม่อย่างนั้นศิษย์พี่ฝูชางจะจับข้าโยนลงไปหรือ”
เขาขี้เกียจจะเถียงกับนาง แล้วทำตัวนิ่งเงียบราวกับเป็นกำแพง ดีดทุกการกระทำของนางที่อยากจะเกาแผลกลับไปหมด เสวียนอี่ทั้งโมโหทั้งคัน ในใจก็คันไปหมด แต่ว่าท่ามกลางสายตาคนมากมายยามกลางวันแสกๆ อย่างนี้ อย่างไรเสียนางก็ทำกิริยาไร้เหตุผลออกมาไม่ได้ จึงได้แต่อดกลั้นจนน้ำตาคลอ ในใจก็จัดการเชือดคอฝูชางไปเป็นหมื่นๆ ครั้งแล้ว
—
[1] ยามเฉิน ช่วงเวลาตั้งแต่ 07.00 น.-08.59 น.
[2] เซี่ยจื้อ : สัตว์เทพในตำนานของจีน รูปร่างใหญ่จะคล้ายวัว หากว่ารูปร่างเล็กจะคล้ายแพะ เป็นสัตว์ประเภทเดียวกับกิเลน ร่างทั้งร่างมีขนสีดำปกคลุม ดวงตาเป็นประกาย บนหัวมีเขาหนึ่งอัน
[3] เฉาเทียนโห่ว : ในตำนานเชื่อว่าเป็นหนึ่งในลูกชายทั้งเก้าของมังกร มีนิสัยชอบสังเกตการณ์ มักจะตั้งอยู่บนยอดเสา ชอบคำรามขึ้นฟ้า คนจึงพูดกันว่ามันมีหน้าที่รับคำสั่งจากสวรรค์และถ่ายทอดให้กับประชาชน