บุหลันเคียงรัก - บทที่ 47 จวนเทพอวี้หยาง
จวนจูเซวียนอวี้หยางตั้งอยู่ที่เชิงเขาจงชวีทางทิศตะวันตก ห่างกับทะเลหลีเฮิ่นในตำนานไม่ถึงหนึ่งร้อยลี้
มหาเทพจูเซวียนแต่ละสมัยล้วนแต่ให้ความสำคัญกับความหรูหรา ยามนั้นทะเลหลีเฮิ่นยังไม่ได้เป็นสถานที่ต้องห้าม เผ่าเทพมากมายต่างก็พากันอิจฉาทำเลที่ตั้งของจวนอวี้หยางกันมาก แต่ใครจะรู้ว่าทุกอย่างกลับตาลปัตร ทำเลที่ดีกลับกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามไปภายในคืนเดียว เหล่ามหาเทพจูเซวียนที่รักหน้าตาต่างก็ไม่ยอมย้ายบ้าน ทะเลหลีเฮิ่นขยายกว้างขึ้นทุกปี พวกเขาจึงได้แต่ต้องย้ายจวนอวี้หยางไปด้านหลัง จนถึงตอนนี้ย้ายไปถึงหนึ่งพันลี้ มาถึงเชิงเขาจงชวีทางทิศตะวันตกแล้ว กระนั้นก็ยังคงพอเห็นร่องรอยความหรูหรารุ่งเรืองของจวนจูเซวียนอวี้หยางในอดีตได้อยู่
อีกสองเค่อจะถึงยามอู่[1] ด้านหน้าจวนจูเซวียนอวี้หยางคึกคักกว่าปกติ แขกเหรื่อมากันไม่ขาดสาย กลีบดอกไม้สีทองมากมายนับไม่ถ้วนร่วงลงมาตลอด จวนจูเซวียนอวี้หยางกว้างขวางยิ่งนัก มหาเทพจูเซวียนชอบกำแพงสีแดงสด กระเบื้องหลังคาหลากสี หอสูงตระหง่านกว่าหมื่นจั้ง และยังมีทิวทัศน์ที่งดงามตระการตาอีก
ทางเดินจากประตูใหญ่ปูด้วยหยกสีขาว สองข้างทางมีเทพีรูปโฉมงดงามมากมายกำลังร่ายรำ เมฆเคลื่อนดาวคล้อยผสมผสาน มีหอสูงตลอดจนศาลาทุกห้าก้าวสิบก้าว และบนยอดหอสูงแต่ละแห่งก็จะประดับประดาไปด้วยไข่มุกเจิดจรัส หรือไม่ก็แกะสลักเป็นทรงดอกบัว ไม่ก็สลักเป็นสัตว์นานาชนิด ครั้นตะวันลาลับ แสงจากไข่มุกก็จะส่องสว่าง แลดูหรูหรางดงามเป็นที่สุด
เหล่าศิษย์ของมหาเทพไป๋เจ๋อแทบทุกคนล้วนแต่มีฐานะสูงส่ง แต่ว่าก็น้อยนักที่จะได้พบเห็นภาพเช่นนี้ นอกจากกู่ถิงกับฝูชางที่เคยมาแล้วและมีท่าทีนิ่งเฉยอยู่บ้าง ศิษย์คนอื่นๆ รวมถึงเสวียนอี่ล้วนตกตะลึงจนแทบตาค้าง เทียบกับจวนจูเซวียนอวี้หยางแล้ว ลานทั้งสามร้อยลานของตำหนักหมิงซิ่งนั้นเรียกได้ว่าซอมซ่อสิ้นดี
เดินอ้อมศาลาผลึกแก้วหลังหนึ่งไป มาถึงที่โล่งกว้าง ตรงหน้าคือหยกสีเขียวขนาดมหึมาที่ก่อขึ้นมาเป็นแท่นสูงวางขวางอยู่ ด้านบนนั้นพราวพร่างด้วยแสงอัญมณี เมฆมงคลนับหมื่น วางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบอยู่บนชั้นวางผลึกแก้วนับไม่ถ้วน บนชั้นคือของล้ำค่าที่มหาเทพจูเซวียนแต่ละยุคสะสมมานานหลายปี มีตั้งแต่เม็ดยาล้ำค่าหายากจากสวรรค์ชั้นที่สามสิบสามขึ้นไปจนถึงของวิเศษที่เหล่าเทพยุคบรรพกาลทิ้งเอาไว้ และยังมีกระทั่งปิ่นหยกมุกมวยผมที่เทพธิดาซู่หนี่ว์ทำตกไว้ริมศิลาสามภพ เสื้อคลุมหนังจิ้งจอกดำที่เทพีเสวียนหนี่ว์คลุมตอนไปพบกับจักรพรรดิสวรรค์ในอดีต เผยออกมาไม่ขาดสาย ทำเอาเหล่าศิษย์ทั้งหลายมองกันจนตาลาย พร้อมกันนั้นก็ลอบถอนหายใจออกมา ยังดี เดิมคิดว่ามหาเทพจูเซวียนคนนี้จะรวบรวมของเฉพาะพวกผมหรือเล็บอะไรทำนองนี้ แต่พอได้เห็นอย่างนี้แล้ว ดูเหมือนเขายังปกติกว่าอาจารย์ตัวเองมากนัก
ด้านล่างแท่นหยกมีเหล่าเทพบริวารคอยรินชาอยู่มากมาย พอเห็นว่าเสวียนอี่เดินเหินไม่สะดวกและต้องให้ฝูชางแบกเอาไว้บนหลัง ก็มีเทพบริวารนำเก้าอี้ลอยได้ตัวหนึ่งมาให้ แล้วกล่าวว่า “เก้าอี้ตัวนี้สามารถใช้พลังเทพควบคุมได้ องค์หญิงจะได้ไปไหนมาไหนได้สะดวก”
จากนั้นก็มีเซียนหญิงใช้แถบผ้าโปร่งบางสีดำผืนหนึ่งปิดตาให้กับเสวียนอี่พลางกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ดวงตาขององค์หญิงทนแสงจ้าไม่ได้ ใช้แถบผ้าผืนนี้บังเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว”
แม้แต่เรื่องความเคยชินขององค์หญิงตระกูลจู๋อินที่ว่าดวงตาไม่สามารถรับแสงจ้าได้ก็ยังรู้ มหาเทพจูเซวียนคนนี้เป็นคนละเอียดรอบคอบโดยแท้
เสวียนอี่นั่งอยู่บนเก้าอี้นวม นางแหงนหน้าขึ้นแล้วเหาะเฉียดผ่านฝูชางไป บินวนไปรอบหนึ่งตามใจ แล้วค่อยเกาแผลของนางที่คันมานานนั่นรอบหนึ่ง สีหน้าผ่อนคลายสบายใจขึ้นมาทันที ดูสิว่ามหาเทพจูเซวียนใจกว้างขนาดไหน! มหาเทพไป๋เจ๋อมีชื่อเสียซะเปล่า ขี้งกสุดๆ
ภายในจวนเทพมีข้อจำกัดอยู่ ก็คือไม่อนุญาตเหยียบเมฆขี่ลมหรือนั่งพาหนะเหาะเหินไปมา เหล่าศิษย์ทั้งหลายจึงได้แต่ต้องใช้ขาเดินไป นางใช้เก้าอี้นวมลอยได้จึงเร็วกว่าพวกเขามาก ไม่นานก็บินผ่านแท่นหยกไป
นางไม่สนใจของที่ล้ำค่าที่วางเรียงอยู่บนนั้นมากนัก เพราะเห็นว่าทางทิศตะวันออกห่างออกไปไม่ไกลมีเจดีย์แปดมุมที่สร้างขึ้นจากแก้วมรกตอย่างวิจิตรงดงามอยู่หลังหนึ่ง มองแล้วงดงามเป็นเอกลักษณ์ยิ่งนัก นางจึงอดที่จะเข้าไปใกล้แล้วแหงนหน้ามองดูอย่างละเอียดไม่ได้
ก่อนมาก็เคยได้ยินว่ามีเล็บขององค์ราชาชือโหยวถูกผนึกอยู่ภายในเจดีย์แก้วมรกต เห็นเจดีย์นี้มีรูปร่างเหมือนยันต์แปดทิศ ภายในมีพลังเทพมหาศาลไหลเวียนอยู่ จะต้องเป็นเจดีย์นั้นแน่
เสวียนอี่หมุนข้อมือ หิมะสีขาวพลันปรากฏบนฝ่ามือ นางค่อยๆ ปั้นมันให้เป็นรูปเจดีย์แก้วมรกต เพิ่งจะปั้นไปได้นิดเดียว บนบ่าก็มีคนตบลงมาเบาๆ กู่ถิงหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ปีศาจน้อยอย่างเจ้าอย่าวิ่งเล่นมั่วซั่ว ระวังจะหลงทางเอา”
เสวียนอี่มองไปรอบๆ แต่ว่ากลับเห็นเขาอยู่คนเดียวจึงถามอย่างแปลกใจว่า “ศิษย์พี่หญิงจื่อซีกับศิษย์พี่ฝูชางเล่า พวกท่านชอบมั่วสุมอยู่ด้วยกันไม่ใช่หรือ”
มั่วสุม? กู่ถิงไม่รู้ว่าจะโมโหดีหรือว่าหัวเราะดี “ศิษย์พี่หญิงจื่อซีกำลังคัดลอกบันทึกสามพันอักษรอยู่ ส่วนฝูชางถูกรัชทายาทฉางฉินลากไปคุยด้วย ข้ามาเดินเล่นเรื่อยเปื่อย”
มาเดินเล่นเรื่อยเปื่อยคนเดียวไม่ค่อยเหมือนนิสัยของเทพกู่ถิงเลย เขาดูเป็นคนหัวโบราณ แต่จริงๆ แล้วเป็นคนชอบสรวลเสเฮฮากับสหายมาก เสวียนอี่หันกลับไปมองด้านหลัง ก็เห็นเหล่าศิษย์ทั้งหลายกำลังครึกครื้นโหวกเหวกอยู่กับเซ่าอี๋ เพราะข้างกายเขามักจะมีเทพธิดาหน้าตางดงามอยู่รายล้อม เพิ่งจะมาได้แค่ครู่เดียว ก็มีเทพธิดาสี่ห้าคนมานั่งคุยเล่นกับเขาแล้ว
นางเข้าใจทันที แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป ปั้นเจดีย์หิมะสีขาวในมือนางต่อ
“ศิษย์น้องกู่ถิง! ” จื่อซีวิ่งลงมาจากแท่นหยกแล้วเรียกเขาไว้ ศิษย์น้องที่ดีตามแบบแผนคนนี้กำลังคิดอย่างกลัดกลุ้ม “บันทึกสามพันอักษรนั่นเจ้ามีเค้าโครงอยู่ในใจแล้วหรือยัง เจ้าคิดว่าจะเขียนเกี่ยวกับของล้ำค่าหรือเขียนเกี่ยวกับทัศนียภาพของจวนอวี้หยางดี”
กู่ถิงเองก็รู้สึกจนใจกับความขยันของนาง เขากำลังจะตอบแต่กลับเห็นเทพที่กำลังเดินผ่านไปเหล่านั้นต่างหันหน้ากลับมามองตรงนี้ สายตาของพวกเขาไม่ได้สุภาพนัก สายตาเหล่านั้นราวกับกำลังแสดงออกถึงความเยาะหยันและเห็นใจ
เขาอดที่จะเอ่ยปากออกมาไม่ได้ “ทุกท่าน ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือ”
แต่ว่าเทพเหล่านั้นกลับยิ้มออกมา หนึ่งในนั้นหัวเราะเยาะแล้วกล่าวว่า “ไม่มีอะไร ล่วงเกินแล้ว”
กล่าวจบพวกเขาก็หมุนตัวจากไป พวกเขายังเดินไปพลางกระซิบกระซาบกันไปพลางอีก กู่ถิงได้ยินแว่วๆ ว่า “ยกเลิกงานแต่ง” “นี่ก็คือกู่ถิงนี่เอง” “คู่หมั้นหนีไปกับเทพอื่นแล้ว” ประมาณนี้ ในใจก็หนักอึ้งขึ้นมา มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อเริ่มสั่นไม่หยุด
จื่อซีขมวดคิ้วมุ่น “พวกเจ้าพูดนินทาคนอื่นลับหลังอย่างนี้ น่าเกลียดจริงๆ! “
เทพเหล่านั้นหยุดเท้าลงโดยไม่รู้ตัวแล้วมองหน้ากัน จากนั้นก็หัวเราะออกมาแล้วกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขออภัยด้วย ได้ยินว่าพวกท่านคือศิษย์ของมหาเทพไป๋เจ๋อ มหาเทพไป๋เจ๋อมีชื่อเสียงโด่งดังมานาน ศิษย์แต่ละคนก็ล้วนยอดเยี่ยมโดดเด่น ตัวข้าไม่กล้าไปเปรียบเทียบด้วย น่าละอาย น่าละอาย”
ถึงจะพูดขอโทษ แต่ว่าคำพูดเย้ยหยันในน้ำเสียงเขานั้น แม้แต่คนโง่ก็ยังฟังออก แววตาของจื่อซีมีโทสะขึ้นมาแล้วกล่าวเสียงเย็นว่า “ข้าดูท่าทางของแต่ละท่านแล้ว คิดว่าก็คงเป็นศิษย์ของมหาเทพสักคนเหมือนกัน ทุกท่านชมมากไปแล้ว ยอดเยี่ยมโดดเด่นนั้นไม่กล้ากล่าว แต่ว่าหากกล่าวว่าพวกข้ารู้มารยาทมากกว่าพวกท่านนั้นกลับสามารถพูดได้! “
เทพเหล่านั้นโมโหขึ้นมาทันที หนึ่งในนั้นหัวเราะเสียงเย็น “เจ้านี่มันช่างพูดได้ไม่ละอายปาก รู้มารยาท คนที่สวมหมวกเขียว[2]ให้เทพกู่ถิงก็คือศิษย์ร่วมสำนักของพวกเจ้า แล้วคู่หมั้นที่ลอบมีชู้กับคนอื่นก็คือศิษย์ร่วมสำนักของพวกเจ้า ทำไม พวกเจ้าทำ แต่ไม่ให้คนพูด มหาเทพไป๋เจ๋อรับศิษย์ทั้งเด็ดขาดเข้มงวดถึงเพียงนี้ ข้าว่า ศิษย์ที่รับมาก็คงไม่เท่าไหร่! อย่าได้ยกตัวสูงส่งเช่นนั้นเลย! “
จื่อซีโมโหมาก แต่ว่ากลับคิดคำพูดตอกกลับไปไม่ได้ นางร้อนใจจนน้ำตาคลอเบ้า แต่ว่านางไม่ยอมแสดงความอ่อนแอต่อหน้าของเทพเหล่านี้ จึงได้แต่กัดฟันทนเอาไว้
เสียงอ่อนหวานนุ่มนวลของเสวียนอี่พลันดังขึ้นมา “ทุกท่านรู้เรื่องของศิษย์มหาเทพไป๋เจ๋อดีขนาดนี้ หรือว่าเพราะริษยาจึงได้แค้นเคืองกัน”
เทพที่เอ่ยวาจาเชือดเฉือนผู้นั้นกล่าวเสียงเย็นว่า “เพราะริษยาจึงได้แค้นเคือง? น่าขัน! อาจารย์ของพวกเราไม่ได้มีนิสัยประหลาดอย่างมหาเทพไป๋เจ๋อ ศิษย์ในสำนักของพวกเราก็มิได้ก่อเรื่องวุ่นวายเหมือนพวกเจ้า แล้วมีอะไรต้องไปริษยาแค้นเคืองกัน”
เสวียนอี่พินิจพิเคราะห์พวกเขา ใบหน้าก็มีรอยยิ้ม “กลัวว่าถึงพวกเจ้าจะอยาก แต่ว่าก็คงหาเทพธิดาที่ตาไร้แววอย่างนั้นไม่ได้”
“เจ้า! ” เทพเหล่านั้นเดือดดาลขึ้นมาทันที
เสวียนอี่บังคับให้เก้าอี้นวมถอยหลังไปหลายฉื่อ[3] พลางใช้แขนเสื้อปิดจมูกเอาไว้แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “อย่าเข้ามาใกล้นะ ยืนอยู่ตรงนั้นแหละ พวกเราค่อยๆ คุยกัน”
ท่าทางสูงศักดิ์หยิ่งยโสและไร้น้ำใจอย่างผู้อยู่เหนือกว่าของนางทำให้พวกเขาโมโห เทพผู้นั้นกล่าวอย่างมีโทสะว่า “ข้าแค่อยากถามเจ้าว่า คำพูดที่ข้ากล่าวมานั้นผิดตรงไหน ถ้าหากว่าเจ้ามีความสามารถพอที่จะพูดเรื่องของพวกข้าได้ก็นับว่าเจ้าเก่ง! “
เสวียนอี่หมุนเจดีย์แปดมุมสีขาวในมือไปมาแล้วกล่าวว่า “ใต้หล้านี้ไม่เคยขาดข่าวลือ และเรื่องที่ทำให้พวกเจ้าฟังอย่างมีอรรถรสก็มักจะเป็นเรื่องของเผ่าเทพที่มีชื่อเสียง ข้าไม่รู้เรื่องของพวกเทพเล็กๆ อย่างพวกเจ้าจริงๆ และต่อให้มี ข้าก็ไม่ค่อยสนใจนักหรอก”
เหล่าเทพอายุน้อยโมโหจนตัวสั่น เสวียนอี่ยิ้มให้อย่างเป็นมิตรแล้วกล่าวเนิบๆ ว่า “หรือไม่พวกเจ้าก็ลองพูดมา ดูสิว่าข้าจะสนใจหรือไม่”
ไม่รู้เทพสาวตัวน้อยนี่โผล่มาจากไหน คำพูดที่กล่าวออกมากลับแทงใจขนาดนี้ ท่าทางก็ยังหยิ่งยโสเพียงนี้ ต้องทำให้นางขายหน้าให้ได้!
เทพผู้หนึ่งเคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่ง เขาก้าวมาข้างหน้าหมายจะคว่ำเสวียนอี่ลงจากเก้าอี้ ท่ามกลางเสียงร้องด้วยความตกใจของจื่อซี
ใครจะรู้ว่าลำคอพลันเย็นวาบ ด้ามกระบี่ที่ประดับไปด้วยอัญมณีสีน้ำเงินพาดมาที่คอของเขาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ด้ามกระบี่ถูกกุมด้วยมือเรียวข้างหนึ่ง พอมองไล่ไปตามแขนเสื้อแล้ว ก็สบเข้ากับดวงตาสีดำและเยือกเย็นคู่หนึ่ง กระบี่ไม่ได้ถูกชักออกจากฝัก แต่ว่ากลับทำให้เขาใจสั่นยิ่งกว่า
“เจ้าลิ้นยาวขนาดนี้ คิดว่าคงเกะกะมากพอดู”
ฝูชางใช้ด้ามกระบี่พาดที่คอของเทพผู้นั้นเบาๆ หลุบตามองเขาแน่นิ่ง
—
[1]ยามอู่ : ช่วงเวลาตั้งแต่ 11.00 น. – 12.59 น.
[2]สวมหมวกเขียว หมายถึง ถูกสวมเขา
[3]ฉื่อ หน่วยวัดความยาวของจีน โดย 1 ฉื่อเท่ากับ 10 นิ้ว หรือประมาณ 23 เซนติเมตร