บุหลันเคียงรัก - บทที่ 48 เทพีวั่งซู
“ศิษย์น้องฝูชาง! ” จื่อซีถอนหายใจโล่งอก โชคดีที่เขาตามมาทัน! นางมองไปยังเทพเหล่านั้นอย่างแค้นเคืองแล้วกล่าวอย่างโมโหว่า “พวกเขาทำเกินไปแล้ว! ไม่เพียงแต่จะพูดจาทำให้ศิษย์น้องกู่ถิงต้องเสียใจ ยังคิดจะลงมือกับเสวียนอี่อีก! “
กู่ถิงถอนหายใจออกมายาวๆ ด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ “ช่างเถอะ…ที่นี่คือจวนของมหาเทพจูเซวียน ถ้าทำเป็นเรื่องใหญ่จะไม่น่าดูเอา”
ฝูชางเก็บกระบี่ฉุนจวินกลับมาอย่างรวดเร็ว เทพเหล่านั้นต่างแตกกระเจิงราวกับนกแตกรัง เขาหันมามองเสวียนอี่แวบหนึ่ง นางกำลังเอามือเท้าคางด้วยท่าทางราวกับมองเรื่องสนุกอยู่โดยไม่ขยับแม้แต่น้อย ช่างขวัญกล้าเทียมฟ้าจริงๆ
เห็นพวกเขาไปไกลแล้ว จื่อซีก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก “ให้พวกเขาได้เปรียบไปจริงๆ! “
กู่ถิงกล่าวเสียงต่ำ “ไปคิดเล็กคิดน้อยกับพวกเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกเขา ช่างมันเถอะ”
เขามองเสวียนอี่ ใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมา “ขอบคุณเจ้ามาก ที่แก้แค้นแทนข้า”
เสวียนอี่ตอบกลับอย่างสง่างาม “ศิษย์พี่กู่ถิงไม่ต้องเกรงใจไป หากว่าท่านอยากจะขอบคุณข้าจริงๆ ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้อง”
กู่ถิงกล่าวอย่างแปลกใจ “เรื่องอะไร”
“พอกลับไปที่ตำหนักหมิงซิ่งแล้ว ขอศิษย์พี่อย่าได้สั่งให้เทพรับใช้เอาน้ำแกงบำรุงมาให้ข้าอีก”
เห็นท่าทีขึงขังจริงจังของนาง ยังคิดว่าจะพูดเรื่องสำคัญอะไร กู่ถิงทั้งโมโหทั้งขัน “จะบอกว่าเจ้าชอบก่อเรื่อง เจ้าก็จะทำตัวเป็นกันเอง จะบอกว่าเจ้ารู้ความ เจ้าก็มักจะทำตัวบ้าระห่ำ! เมื่อครู่นี้หากว่าไม่ได้ฝูชางมาช่วย เจ้าคงได้เจอปัญหาแน่”
เสวียนอี่กล่าวเนิบนาบว่า “พอพูดจาไม่เข้าหูก็ชักกระบี่ออกมาฟาดฟันคือการกระทำของคนป่าเถื่อน ข้าไม่เห็นสนเรื่องพวกนี้ ขนาดคนธรรมดายังรู้ว่า สิบเอกใช้ปากกาฆ่าคน สิบโทใช้ปลายลิ้นฆ่าคน มีแค่สิบตรีเท่านั้นที่จะใช้อาวุธรบราฆ่าฟัน”
เหตุผลข้างๆ คูๆ ฝูชางถลึงตาจ้องนาง แล้ววิจารณ์อย่างไม่เกรงใจ “ไม่มีน้ำยาแล้วยังจะพูดจาอวดดีอีก”
เสวียนอี่เงยหน้าแล้วยิ้มหวานให้เขาอย่างน่าประหลาด
“ไม่ใช่ว่าข้ามีวีรบุรุษอย่างศิษย์พี่ฝูชางคอยช่วยหรือ ศิษย์พี่ช่วยข้า ข้าตื้นตันใจมาก วันหน้าจะต้องตอบแทนน้ำใจนี้แน่”
คำขอบคุณที่ฟังดูจริงใจแต่ไม่รู้ทำไมพอออกมาจากปากนางแล้วกลับไม่จริงใจเอาเสียเลย กู่ถิงรีบร้อนเปลี่ยนเรื่อง “พอแล้ว พวกเรากลับไปกันเถอะ”
เขาลากฝูชางไปอีกด้าน เพื่อไม่ให้ทั้งสองคนทะเลาะกันอีก
บนแท่นหยกมีเทพมากมายยืนชมทิวทัศน์อยู่ ด้านล่างแท่นหยกมีโต๊ะจัดเอาไว้เต็มแล้ว บนนั้นยังเต็มไปด้วยสุราอาหารมากมาย เสวียนอี่เห็นบนโต๊ะมีขนมมากมายก็รีบพุ่งเข้าไปเลือกทันที นางเลือกไปส่ายหน้าไป มหาเทพจูเซวียนที่หรูหราฟู่ฟ่าเองก็มีข้อด้อย ของว่างพวกนี้เอามารับแขกได้หรือ มีแค่พวกขนมแป้งข้าวเหนียวถั่วเขียว ขนมถั่วแดง ของพื้นๆ ทั้งนั้น ที่ดีขึ้นมาหน่อยก็แค่ขนมเปี๊ยะดอกเถิง[1]ห้าหน้า เทียบกับขนมเปี๊ยะดอกเถิงที่เหยียนสยาเตรียมไว้ยังไม่ได้เลย
กำลังคิดจะเอาชามาดื่ม ก็พลันได้ยินเสียงเสียงของเทพข้าหลวงพิธีการดังกังวานขึ้นมา “ประกาศ เทพีวั่งซูมาแล้ว เทพเฟยเหลียนมาแล้ว”
เสียงหึ่งดังอึงอล เทพทั้งหลายต่างหันไปมองเป็นตาเดียว
มหาเทพจูเซวียนสามารถเชิญเทพีวั่งซูได้ถึงว่ามีหน้ามีตาไม่น้อยเลย ในงานเลี้ยงธิดาจักรพรรดิสวรรค์คราวนั้น จักรพรรดิสวรรค์ยังเชิญนางมาไม่ได้เลย เทพีวั่งซูผู้นี้ยังผีเข้าผีผีออกยิ่งกว่ามหาเทพไป๋เจ๋อเสียอีก แม้แต่เทพและมหาเทพรุ่นอาวุโสก็ยังไม่เคยได้เห็นรูปโฉมของนางมาก่อน ได้ยินข่าวลือว่านางเย็นชาสูงส่งและบริสุทธิ์งดงามมาก จนทำให้เทพมากมายต่างหลงใหลเฝ้าคะนึงหานาง แต่ไม่รู้ว่าข่าวลือที่ได้ยินมานั้นเป็นความจริงหรือไม่
ไม่นาน เทพเฟยเหลียนที่มีท่าทีเคร่งขรึมและมีผมสีเงินทั้งศีรษะก็ปรากฏตัวขึ้นบนทางเดินหยกขาว ระหว่างที่เดิน กระพรวนทองคำที่รัดไว้บนผมก็ส่งเสียงไพเราะเสนาะใสออกมา
ด้านหลังเขา เทพีวั่งซูในคำเล่าลือคล้ายล่องลอยคล้ายภาพมายา นางสวมเพียงชุดที่ทำด้วยผ้าโปร่งบางเรียบง่ายอย่างที่สุด รอบกายนางห่อหุ้มไว้ด้วยแสงจันทร์กระจ่าง ทำให้นางแลดูงามพิสุทธิ์และสงบเสงี่ยมเป็นพิเศษ ไม่มีใครเห็นโฉมพักตร์ของนางได้ชัดเจน บนศีรษะของนางมีพู่สีเงินห้อยระย้าลงมาบังใบหน้าตรงตาและคิ้วไว้หมด เผยให้เห็นเพียงริมฝีปากบางสีอ่อนกับปลายคางขาวผุดผ่องเท่านั้น
เสวียนอี่ได้ยินเหล่าเทพสาวด้านหลังนางพูดคุยกันได้อย่างชัดเจนว่า “สวยหรือไม่ หน้ายังมองไม่เห็น แล้วมาทำตัวเย็นชาสูงส่งอะไร ข้าได้ยินว่านางยังอายุมากกว่าเทพีซีเหอตั้งหลายแสนปี…”
“เจ้าไม่เข้าใจ ต้องแลดูคล้ายจริงคล้ายฝันมองไม่ชัดเจนอย่างนี้ต่างหากถึงจะยิ่งดึงดูดคน”
“ฮ่าๆ เจ้าดูเทพสาวน้อยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมข้างหน้านั่นสิ นางเองก็เรียนได้ดีเชียว ถึงได้ใช้ผ้าสีดำปิดตาเอาไว้”
“เฮอะ! ” เทพเฟยเหลียนราวกับได้ยินคำซุบซิบนินทาเหล่านี้เข้า ถึงได้แค่นเสียงร้องเฮอะเย็นชาออกมา กระพรวนทองที่ศีรษะของเขาก็ยิ่งดังขึ้น
เสวียนอี่รีบหดตัวไปด้านหลังไม่ให้เขามองเห็นนาง
ใครจะรู้ว่าเทพีวั่งซูกลับเหมือนรู้สึกถึงอะไรได้ จึงค่อยๆ หันมาทางนาง ต่อให้มีพู่เงินระย้าบังอยู่ แต่เสวียนอี่ก็ยังคงรู้สึกถึงแววตาที่มองมายังใบหน้าของนางได้ มันหยุดอยู่แวบหนึ่งแล้วจึงหายไปอย่างรวดเร็ว
ไม่เหมือนสายตาที่ไม่เป็นมิตร แต่กลับแฝงไปด้วยความพินิจใคร่ครวญมากกว่า เสวียนอี่ประหลาดใจขึ้นมา
มหาเทพจูเซวียนที่นั่งห่างออกไปไม่ไกลและกำลังพูดคุยอยู่กับเทพคนอื่นๆ เห็นเทพีวั่งซูกับเทพเฟยเหลียนมาถึง ก็รีบยิ้มแล้วเข้ามาต้อนรับ เขากุมมือแล้วกล่าวว่า “วันนี้นับว่าวั่งซูให้เกียรติเปิ่นจั้ว[2]มาก เรียกได้ว่ามาช่วยเพิ่มหน้าตาให้กับจวนจูเซวียนอวี้หยางนี้ของเปิ่นจั้วโดยแท้! “
เทพีวั่งซูย่อตัวคารวะอย่างนุ่มนวล แต่เสียงของนางกลับแหบแห้งอย่างน่าประหลาด ระหว่างพูดพู่เงินที่ห้อยระย้าลงมาก็สั่นไหวไปมา “มหาเทพจูเซวียนเกรงใจไปแล้ว”
มหาเทพจูเซวียนหมุนตัวกลับไปมองที่เทพเฟยเหลียนแล้วยิ้ม พร้อมกล่าวว่า “ที่รัดผมของท่าน คือกระพรวนทองเสียงสวรรค์ของมหาเทพไป๋เจ๋อหรือ”
เทพเฟยเหลียนไม่ชอบที่มีคนมาพูดเกี่ยวกับเรื่อง ‘ผม’ ของเขามาโดยตลอด จึงกลอกตาบนแล้วกล่าวเสียงประหลาดว่า “ไม่ผิด เขาให้ข้ามาหมดแล้ว”
มหาเทพจูเซวียนรู้สึกผิดคาด เขาอยากจะได้กระพรวนทองเสียงสวรรค์ที่มหาเทพไป๋เจ๋อวางทิ้งไว้ไม่ใช้มานานแล้ว และยังเอ่ยปากขอแลกนับครั้งไม่ถ้วนแต่ก็ไม่เคยได้ผลเลยสักครั้ง คิดไม่ถึงว่าเขากลับให้มันกับเทพเฟยเหลียนได้
เขามองหาร่างของมหาเทพไป๋เจ๋อบนแท่นหยกทันที แต่ใครจะรู้ว่ามหาเทพกลับไปซ่อนตัวจนไม่เห็นเงาแล้ว แม้แต่บรรดาเหล่าศิษย์ของเขาเองก็พากันหันหลังแสร้งทำทีว่าไม่ได้สนใจทางนี้ ในใจเขารู้สึกประหลาดใจมาก และยังคิดหาสาเหตุไม่ออก
เทพีวั่งซูขึ้นไปบนแท่นหยก แสงจางๆ จากร่างนางก็ถูกแสงสว่างจากของล้ำค่ามากมายกลืนไป นางเดินอ้อมชั้นผลึกแก้วชั้นหนึ่งไปแล้วย่อตัวลงคารวะ “อาจารย์ ศิษย์วั่งซูขอคารวะ”
ด้านหลังชั้นผลึกแก้วมีเงาร่างเล็กเงาหนึ่งปรากฏออกมาอย่างรวดเร็ว นั่นก็คือมหาเทพไป๋เจ๋อ เขายิ้มแล้วมองไปที่นางพลางกล่าวว่า “วั่งซู เจ้ามาแล้วจริงๆ “
วั่งซูกล่าวเสียงเรียบว่า “ที่ศิษย์มาในวันนี้ หนึ่งเพราะมาตอบแทนบุญคุณ สองเพื่อมาผูกชะตาอย่างหนึ่งเจ้าค่ะ”
มหาเทพไป๋เจ๋องงงันไป “ตอบแทนบุญคุณ? ผูกชะตา? เจ้าไม่ได้มาเพราะเปิ่นจั้วเขียนจดหมายไปเชิญเจ้าหรอกหรือ”
วั่งซูหัวเราะเสียงต่ำ “ไม่ได้เจอกันมาหลายปี อาจารย์ก็ยังคงมีอารมณ์ขันเช่นเดิม สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดทั้งชีวิต หนึ่งคือเจ้าชู้หลายใจ สองคือบีบบังคับอย่างป่าเถื่อน มหาเทพจงซานมีครบทั้งสองอย่าง ไม่ต้องพูดถึงจดหมายที่อาจารย์เขียน ต่อให้จักรพรรดิสวรรค์เป็นคนออกหน้า ข้าก็ไม่มีทางอ่อนข้อให้แน่”
มหาเทพไป๋เจ๋อยิ่งงงงันมากขึ้นไปอีก “แล้วทำไมเจ้าถึงได้มา”
เขาชักจะไม่แน่ใจแล้วว่านางต้องการอะไร นางเป็นคนเดียวที่สามารถควบคุมพลังแสงจันทรา พอเสวียนอี่ได้รับบาดเจ็บเขาก็เขียนจดหมายไปหานาง หวังว่านางจะเห็นแก่ความเป็นศิษย์ร่วมสำนักแล้วช่วยเหลือ แต่ใครจะรู้ว่าเขาส่งจดหมายไปสามสี่ครั้งนางก็ไม่ยอมตอบกลับมา เดิมเขาหมดหวังไปแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าผ่านไปหลายเดือนนางกลับตอบจดหมายกลับมา ไม่ได้พูดถึงการรักษา แต่กลับบอกว่าให้พาเสวียนอี่มาพบนางที่จวนจูเซวียนอวี้หยาง ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องลำบากพาศิษย์ตั้งมากมายขนาดนี้มาที่นี่ทำไม
วั่งซูกล่าวเสียงต่ำว่า “เมื่อครู่นี้ศิษย์ก็กล่าวไปแล้วว่าเพื่อตอบแทนบุญคุณ มหาเทพที่มีบุญคุณต่อข้าได้ฝากฝังข้าให้ลงมือช่วย ข้าปฏิเสธไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นองค์หญิงเสวียนอี่กับข้ายังมีชะตาต่อกันอีก”
มหาเทพไป๋เจ๋อมึนงงไปหมด ยังคิดจะให้นางอธิบายเพิ่มอีก แต่ว่าศิษย์ที่เขาภาคภูมิใจในวันวานกลับคารวะเขาแล้วหมุนตัวเดินจากไปเสียแล้ว
[1]ดอกเถิง คือดอกวิสทีเรีย
[2]เปิ่นจั้ว : คำใช้เรียกแทนตัวเองของผู้ที่มียศศักดิ์ มีความรู้กว้างขวาง