บุหลันเคียงรัก - บทที่ 51 แสงตะวันดับสลาย
จื่อซีเดินทอดน่องไปอย่างไร้จุดหมายในจวนอวี้หยาง นางเดินมานานมากแล้ว และจงใจเลี่ยงแท่นหยกที่ครึกครื้น
ตอนนี้นางไม่มีอารมณ์จะไปพูดคุยดื่มกินอะไร
นางถือกำเนิดในตระกูลนักรบแดนเทพ ท่านพ่อของนางคือแม่ทัพผู้ดูแลประตูสวรรค์ทิศใต้ ในตระกูลมีเทพมากมาย แต่กลับมีเทพธิดาน้อยมาก มีนิสัยแข็งกระด้างแต่ไม่เสียระเบียบ ไม่เข้าใจความนุ่มนวลอ่อนหวาน ตั้งแต่เล็กไม่ว่าทำอะไรก็จะต้องทำตามกฎเสมอ ไม่รู้จักการโอนอ่อนผ่อนปรน ภายหลังได้กราบมหาเทพไป๋เจ๋อเป็นอาจารย์ อาจารย์สอนเรื่องคุณธรรมความเมตตา ความเหมาะสมงดงาม นางก็ตั้งใจปฏิบัติตามคำสอน แต่ด้วยนิสัยเดิมที่ไม่ยอมให้มีทรายในดวงตา[1] เวลาอยู่ร่วมกันกับศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนัก ทุกคนจึงมักจะเคารพยำเกรงนางมาก
และเสวียนอี่ก็เคยเป็นเม็ดทรายเม็ดนั้น
หลังจากเรื่องที่สวนดอกไม้ทิศใต้ และเรื่องเทพีอูเจียงที่โลกเบื้องล่าง นางกลับรู้สึกว่าองค์หญิงมังกรที่มักจะก่อแต่เรื่องวุ่นวายในสายตาของนางกลับมีความน่ารักขึ้นมา และความดื้อดึงกวนประสาทของนางก็เหมือนกับนิสัยประหลาดของมหาเทพไป๋เจ๋อ กลายเป็นสิ่งที่ไม่ได้สลักสำคัญไป
ดังนั้นที่ฝูชางจึงปฏิบัติกับเสวียนอี่ไม่เหมือนคนอื่นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
จื่อซีถอนหายใจ แล้วคิดถึงรำกระบี่ที่แต่ก่อนนางตั้งตารอคอย ตอนนั้นเพลงจิ่วเกอบรรเลงไปถึงครึ่งหนึ่ง พิณห้าสิบสายกำลังบรรเลงเสียงสวรรค์ สายลมและหมอกสีขาวถาโถมไปรอบฉุนจวิน แต่แล้วฝูชางกลับพลันเก็บพลังกลับไป พริบตาเดียว ทุกอย่างพลันสลายไป กระบี่ฉุนจวินวาดเป็นวงโค้งงดงามแล้วเข้าไปในฝักกระบี่
ไม่เพียงแค่นางเท่านั้น เทพทุกคนเองก็ไม่เข้าใจ แม้แต่รัชทายาทฉางฉินเองยังงงงัน รำกระบี่แสดงจบแล้วหรือ
ฝูชางประสานมือคารวะรอบทิศ จากนั้นก็หมุนตัวจากไป เขาเดินไปเร็วมาก ตอนที่เดินเฉียดไหล่กับนาง นางยังเรียกเขาเสียงเบาหวิว “ศิษย์น้องฝูชาง…”
เขากลับไม่ตอบ บางทีอาจจะไม่ได้ยิน แค่พริบตาเดียวก็หายลับไป
หลังจากนั้น…หลังจากนั้นเขาก็อุ้มเสวียนอี่กลับมา ในใจของจื่อซีราวกับเมฆหมอกที่ได้เจอแสงอาทิตย์ นางพลันเข้าใจอะไรขึ้นมา
นางพอจะมองออกนานแล้วว่าฝูชางปฏิบัติกับเสวียนอี่ไม่เหมือนใคร ไม่ว่าความรู้สึกที่เขามีให้เสวียนอี่จะเป็นแบบไหน อาจจะไม่ชอบ อาจจะไม่ยอมรับ หรือการโกรธเคืองกันราวกับเด็ก แต่ในใจเขานั้น องค์หญิงมังกรประหลาดผู้นี้ได้แตกต่างออกไปจากเทพคนอื่นมากแล้ว
ตลอดมานางมิได้ขบคิดให้ลึกลงไป บางทีนางอาจจะหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองไปคิดถึงก็เป็นได้
กระบี่ที่งดงามในงานเลี้ยงธิดาจักรพรรดิสวรรค์ปีนั้น เทพหนุ่มผู้สูงส่งและบริสุทธิ์ ราวกับแสงจันทร์ที่เยือกเย็นส่องลงมาในใจนางมานับหมื่นปี ต่อให้นางไม่เข้าใจความนุ่มนวลอ่อนหวาน แต่นางก็ยังเป็นเทพธิดาอายุน้อย ในใจของนางทั้งรักทั้งเลื่อมใส นางเฝ้าระมัดระวังและรอคอยเขาด้วยอารมณ์ผิดแผกไปนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งยังคิดเข้าข้างว่าตัวเองเป็นผู้ที่เข้าใจเขา
ตอนนี้ลองย้อนกลับไปคิดแล้ว ก็รู้สึกว่ามันทั้งน่าขันทั้งน่าเศร้า
จื่อซีกวาดตามองไปยังหอสูงงดงามโดยรอบ พลันเห็นเงาร่างหนึ่งกำลังนั่งอยู่เพียงลำพังอยู่บนราวหยก มองหลังเขาแล้วดูคุ้นตาอยู่บ้าง
นางจึงเดินเข้าไปใกล้อย่างไม่รู้ตัว และได้ยินเสียงเขากำลังเป่าใบไม้เป็นทำนองเพลงประหลาดดังมาแบบติดๆ ขัดๆ คิดว่าตัวเขาเองก็อาจจะลืมทำนองเพลงไปแล้ว เสียงของใบไม้ฟังแล้วทั้งหยาบทั้งสั้น แต่กลับให้ความรู้สึกซาบซึ้งอย่างน่าประหลาด
ลมพัดมาทำให้เสื้อคลุมยาวสีดำของเขาปลิวสะบัด แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่อบอุ่นสาดมาเป็นสีทอง จื่อซีพลันรู้สึกว่าเพลงติดๆ ขัดๆ จากใบไม้กลับฟังดูแล้วไพเราะรื่นหูขึ้นมา อาจเพราะมีเรื่องในใจ นางจึงฟังอย่างเหม่อลอย
“ศิษย์พี่หญิง…ท่านทำข้าตกใจหมด” เทพบนราวหยกวางใบไม้ลง ทันทีที่สังเกตเห็นนางเข้าก็ตกใจจนเบิกตากว้าง
จื่อซีเห็นไข่มุกสีแดงเพลิงที่หน้าผากเขาสั่นไหวไปมา หากเป็นปกติ นางอาจจะหมุนตัวจากไปนานแล้ว แต่ว่านางในตอนนี้กลับรู้สึกไม่สนใจ นางพ่ายแพ้ยับเยินกับความรักข้างเดียวที่ไร้เหตุผลของนางมาแล้ว แล้วทำไมยังต้องทำตามกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัดอีก
“นี่คือเพลงอะไร” นางจับราวไว้แล้วเงยหน้าถามเสียงต่ำ
เซ่าอี๋คล้ายกับรู้สึกผิดคาดกับท่าทีเป็นมิตรของนาง “ข้าเองก็จำไม่ได้แล้ว นานมากแล้ว ตอนที่ข้าลงไปเที่ยวเล่นที่โลกเบื้องล่าง แล้วได้ฟังมาจากร้านดนตรีของมนุษย์
จื่อซีพยักหน้าแล้วเหม่อไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวว่า”ทำไมเจ้าไปไม่คุยเล่นกับเหล่าเทพธิดาด้านหน้านั่น แต่กลับมาอยู่ตรงนี้คนเดียว”
เซ่าอี๋ยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้น “ศิษย์พี่หญิงเป็นห่วงข้าหรือ”
จื่อซีมองใบไม้ในมือเขานิ่งๆ ไม่รู้อะไรดลใจ นางกล่าวออกมาเสียงต่ำ “ข้าถามเจ้า หากว่าเจ้าชอบเทพธิดาคนหนึ่งมานานมากแล้ว แต่ว่านางกลับไปชอบเทพองค์อื่น เจ้าจะทำอย่างไร”
เซ่าอี๋มองไปที่นางอย่างครุ่นคิด แล้วพลันยิ้มออกมาน้อยๆ “แน่นอนว่าต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อแย่งกลับมา”
“แต่ว่าในใจนางไม่มีเจ้า และเทพคนที่นางไปชอบเจ้าเองก็ชอบ และไม่อยากจะให้เขารู้สึกไม่ดี”
“ศิษย์พี่หญิงจิตใจบริสุทธิ์สูงส่ง หากว่าเป็นข้า ข้าไม่มีทางยอมให้ตัวเองรู้สึกแย่ แต่ว่ายอมจะเห็นพวกเขาต้องหลั่งน้ำตามากกว่า เพราะอย่างนั้นมันน่าสนใจไม่น้อย”
จื่อซีขมวดคิ้วแน่น ชายตามองเขาอย่างไม่กล้าเห็นด้วย “นิสัยเจ้าชู้ไปทั่วก็แย่พอแล้ว หากว่าทุกคนคิดแต่จะหาความสุขใส่ตัวอย่างเดียวเหมือนเจ้า แดนเทพคงได้เสื่อมทรามเป็นแน่”
ร่างกว่าครึ่งของเซ่าอี๋พาดอยู่บนราวหยก แย้มยิ้มเบิกบานยิ่งกว่าเดิม “ดังนั้นศิษย์พี่หญิงถึงได้มาถามผิดคนแล้ว สถานการณ์ที่ท่านพูดมา ข้าไม่มีทางเจอแน่นอน”
จื่อซีนิ่งเงียบเป็นเป่าสาก อึ้งไปอยู่นาน แล้วทิ้งมือทั้งสองลงข้างตัวอย่างหมดอารมณ์ ไร้สาระจริงๆ ทำไมนางถึงได้มาคุยกับเจ้าคนเหลวแหลกเยี่ยงนี้ได้ คำว่าชอบในสายตาเขาก็คงหมายถึงความรักหนุ่มสาวที่ไร้ข้อบังคับพวกนั้น สนุกกันพอแล้วก็หันหลังจากไป
นางหมุนตัวจากไป พลันได้ยินเสียงนุ่มนวลของเซ่าอี๋ดังมาว่า “ในใจท่านไม่มีความสุข พวกเขาไม่รู้ และต่อให้รู้ พวกเขาก็คงไม่ใส่ใจ ศิษย์พี่หญิงชอบทรมานตัวเองหรือว่าชอบให้ตัวเองใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกันเล่า”
จื่อซีนิ่งเงียบไปชั่วครู่ แล้วค่อยๆ หมุนตัวกลับมา กล่าวเสียงเรียบว่า “คำพูดยั่วยุให้แตกคอกันของเจ้าทำให้ข้าได้สติขึ้นมา ต่อให้ทั้งชีวิตข้าไม่สามารถจะอยู่ร่วมกับเทพที่ข้าชอบได้ แต่ว่าข้าก็ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนไปเป็นคนเหลวแหลกอย่างเจ้าแน่”
เซ่าอี๋ยังคงยิ้ม “คนเหลวแหลกอย่างข้าเองก็มีสิ่งที่ข้าสนใจ ศิษย์พี่หญิง ข้ามีเรื่องอยากจะขอให้ท่านช่วย”
จื่อซีงงงันไป “อะไร”
เซ่าอี๋ลูบริมฝีปากด้วยท่าทีลำบากใจ “ข้าอยากจะลงไปดูเหยียนสยาที่โลกเบื้องล่าง ได้ยินว่าท่านพ่อของศิษย์พี่หญิงคือผู้ดูแลประตูสวรรค์ทิศใต้ หากว่ามีศิษย์พี่หญิงไปเป็นเพื่อน การจะลงไปโลกเบื้องล่างก็จะสะดวกขึ้นมาก”
จื่อซียิ่งงงกว่าเดิม “เจ้า…ไปดูเหยียนสยา เจ้า…”
ในที่สุดเขาก็มีหัวจิตหัวใจแล้ว
“เผ่าเทพลงไปโลกเบื้องล่างไม่ได้มีข้อจำกัด ทำไมต้องให้ข้าช่วย เจ้าไปของเจ้าเองก็ไม่มีใครไปขวางเจ้า”
เซ่าอี๋ยิ้มแต่ไม่ตอบ แค่กล่าวเสียงเบาว่า “ศิษย์พี่หญิงตอบตกลงก็พอ”
จื่อซีตอบตกลงไปอย่างมึนงง แล้วก็เห็นเขายิ้มอย่างนุ่มนวล “การแต่งตัวของศิษย์พี่หญิงจื่อซีวันนี้ สวยมาก ศิษย์พี่หญิงควรจะแต่งตัวอย่างนี้ทุกวันถึงจะถูก”
นางทำท่าราวกับไม่ได้ยิน รีบเดินออกไปจากหอเล็กหยกเขียวนี้อย่างรวดเร็ว นางไม่ชอบใจคำพูดและท่าทีรักใคร่ทำนองนี้ของเซ่าอี๋ แต่ไม่รู้ทำไม ที่เขาชมนางเมื่อครู่นี้นางกลับไม่ได้รู้สึกโกรธแต่อย่างใด
ตั้งแต่เช้า ที่หน้าประตูตำหนักหมิงซิ่งจนถึงตอนนี้ที่หอเล็กหยกเขียว หนึ่งวันเต็มๆ มีเพียงเขาคนเดียวที่เอ่ยปากชมการแต่งตัวที่นางพิถีพิถันแต่งมา
ความพยายามของนาง กลับมีเพียงเขาที่มองเห็น
ในใจของจื่อซีพลันรู้สึกทุกข์และน้อยใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ถอนหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่ง
…
ตกกลางคืน พระจันทร์ขึ้นถึงกลางท้องฟ้า มุกเรืองแสงบนยอดตึกทุกหลังในจวนอวี้หยางก็ส่องสว่างขึ้นมา เสียงเครื่องเป่าหลังฉากกั้นยังคงดำเนินต่อไป เซียนสาวนักระบำก็ยังคงร่ายระบำอยู่ สุราและอาหารเลิศรสเปลี่ยนไปรอบแล้วรอบเล่า แต่ว่าดูเหมือนจะไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับมหาเทพจูเซวียน
หน้าเขาดำคล้ำราวกับดิน นั่งอย่างโง่งมอยู่บนพื้นที่เยือกเย็นของเจดีย์แก้วมรกตชั้นที่เจ็ด มองไปยังมหาเทพไป๋เจ๋อที่อยู่ตรงข้ามอย่างใจลอย มหาเทพผู้นี้ยังคงเฝ้าเล็บและกะโหลกที่ถูกผนึกอยู่ในพลังเทพด้วยแววตาเป็นประกาย
ห้าชั่วยาม มหาเทพไป๋เจ๋อไม่ดื่มไม่กินและอยู่ตรงนี้มาห้าชั่วยาม มหาเทพจูเซวียนรู้สึกว่าเขากำลังจะเป็นบ้าไปแล้ว
เขาจะอยู่อย่างนี้ต่อไปไม่ได้! มหาเทพจูเซวียนกระแอมอออกมา แล้วกล่าวถามไปเป็นรอบที่หนึ่งร้อยแปดว่า “มหาเทพไปเจ๋อ…ท่านอยู่ในเจดีย์แก้วมรกตนี้มาห้าชั่วยามแล้ว ท่านอึดอัดหรือไม่ พวกเราลงไปดื่มกินอะไรด้านล่างด้วยกัน”
มหาเทพไป๋เจ๋อตอบโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมามอง “เจ้าลงไปคนเดียวก็ได้ หรือว่ากลัวเปิ่นจั้วจะขโมยของของเจ้ากัน! “
ไม่ผิด! จากนิสัยของมหาเทพไป๋เจ๋อ เขาแอบขโมยเล็กขององค์ราชาชื่อโยวกับหัวกะโหลกขององค์ราชาก้งกงได้จริงๆ! หัวขาดได้ เลือดไหลได้ แต่ว่าของล้ำค่าจะหายไม่ได้เด็ดขาด! มหาเทพจูเซวียนนั่งลงอย่างเรียบร้อย “ในเมื่อเป็นอย่างนี้! เปิ่นจั้วก็จะอยู่เป็นเพื่อนมหาเทพแล้วกัน”
พอกล่าวจบ ใต้เท้าก็สั่นสะเทือนขึ้น เล็บและหัวกะโหลกที่ถูกผนึกบนชั้นเองก็โคลงไปมา เขาเคยชินแล้ว แต่มหาเทพไป๋เจ๋อกลับรู้สึกแปลกใจ กล่าวว่า “ทำไมพื้นสะเทือน”
“คิดว่าทะเลหลีเฮิ่นน่าจะขยายขึ้นอีกแล้ว” มหาเทพจูเซวียนกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ เขาเบนหัวมองไปบนฟ้า “ใกล้ถึงยามจื่อ[2]แล้ว หลายปีมานี้ทุกวันพอถึงยามจื่อพื้นก็จะสั่นสะเทือนขึ้น มหาเทพไม่ต้องสนใจ ไม่มีอะไร”
ไม่มีอะไร? พื้นดินของแดนเทพนั้นสร้างขึ้นจากรากฐานกฎเกณฑ์ของพลังห้าธาตุและหยินหยาง และการที่พื้นดินสั่นสะเทือนจะไม่เป็นอะไรได้อย่างไร
มหาเทพไป๋เจ๋อเดินไปที่หน้าต่าง เงยหน้าแล้วมองไปยังแสงสว่างด้านนอกที่มุกเรืองแสงส่องสว่างขึ้นมา ความรู้สึกเย็นวาบสายหนึ่งแล่นจากปลายเท้ามาถึงกระดูกสันหลัง เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา และลางสังหรณ์ของเขาก็มักจะแม่นเสมอด้วย
เขานิ่งเงียบไป แล้วเอาติ้วไม้ไผ่เล็กๆ ออกมาจากในอก เขาขว้างออกไป พวกติ้วไม้ไผ่ก็ราวกับมีชีวิตแล้วแนบไปกับกำแพงของเจดีย์ จากนั้นก็ขยับช้าๆ สุดท้ายก็ประกอบกันเป็นเครื่องหมายเสี่ยงทายรูปหนึ่ง เอ๋ แสงถูกขวางกั้น แสงตะวันดับสลาย เป็นคำทำนายที่น่ากลัวมาก
มหาเทพไป๋เจ๋อนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันกลับไปหามหาเทพจูเซวียน “เจ้าได้ส่งเทพขุนนางไปดูสถานการณ์ที่ทะเลหลีเฮิ่นบ้างหรือไม่”
“ไปดูมาเมื่อห้าสิบวันก่อน” มหาเทพจูเซวียนเห็นเขามีท่าทีระวังก็ไม่กล้าเฉยเมย “เทียบกับปลายฤดูหนาวของเมื่อสิบปีก่อนแล้ว พื้นที่กว้างขึ้นไม่ถึงครึ่งลี้ นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ”
มหาเทพไป๋เจ๋อเก็บติ้วไม้ไผ่เข้าไป เท้าที่นิ่งอยู่กับที่ก็ขยับ เขาหมุนตัวลงไปจากเจดีย์ “ส่งเทพขุนนางไปดูตอนนี้เลย จูเซวียน เจ้าลงไปส่งแขกเถอะ ไม่ต้องจัดงานเลี้ยงแล้ว”
—
[1]ไม่ยอมให้เม็ดทรายอยู่ในดวงตา เป็นสำนวน หมายถึง ทนต่อความไม่มีเหตุผลหรือเรื่องราวไม่ยุติธรรมไม่ได้
[2]ยามจื่อ : ช่วงเวลาตั้งแต่ 23.00 น. – 00.59 น.