บุหลันเคียงรัก - บทที่ 53 ทะเลหลีเฮิ่นทลาย (ตอนกลาง)
เสียงเหล่าเทพดังอื้ออึง มหาเทพจูเซวียนรีบหยุดพูดแล้วสั่งการเหล่าเทพบริวารอย่างเคร่งครัดว่า “รีบถอยไปอยู่ในขอบเขตจวนเทพ! แล้วไปจูงสัตว์พาหนะทั้งหมดมา!”
ด่านล่างแท่นหยกวุ่นวาย เหล่าเทพธิดาที่ขี้กลัวก็เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมา
ที่แดนเทพเกิดเรื่องประหลาดอย่างนี้ขึ้นครั้งนี้แล้วก็คือตอนที่องค์ราชากงก้งชนเสาสวรรค์ทลาย แต่นั่นมันเรื่องตั้งกี่ปีมาแล้ว อย่าว่าแต่เหล่าคนรุ่นหลังที่อายุน้อยๆเลย แม้แต่เหล่าผู้ที่อายุมากก็ยังมีไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยผ่านมาก่อน วันเวลาสงบราบเรียบมานานอย่างนี้ จู่ๆ เกิดเรื่องพื้นดินแดนเทพร่วงลงไปที่โลกเบื้องล่างขึ้นมา ทำเอาพวกเขาตกใจมากเสียจนไม่กล้าขยับ
เซ่าอี๋ใช้ส้อมอันเล็กจิ้มท้อเซียนชิ้นหนึ่งแล้วส่งเข้าปากของเสวียนอี่อย่างเอาใจ “รีบกินเถอะ ไม่อย่างนั้นรอกลับไปที่ตำหนังหมิงซิ่งแล้ว ต้องรอถึงพรุ่งนี้เช้าถึงจะมีของกิน”
เสวียนอี่ขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้า นางเป็นพวกเลือกกินอยู่แล้ว ผลไม้เลิศรสทั้งหลายนางไม่เคยชอบกิน ที่ชอบอยู่อย่างเดียวก็คือของว่างทานกับน้ำชารสเลิศบางอย่าง นางยอมให้เกียรติกินท้อชิ้นหนึ่งลงไปแล้วก็ไม่ยอมกินอีก แล้วถามว่า “ศิษย์พี่เซ่าอี๋ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าตอนเด็กข้าได้รับบาดเจ็บ”
เซ่าอี๋โยนท้อเซียนที่เหลือใส่ปาก ปรายตามองนางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “วุ่นวายอย่างนี้เจ้ายังจะจำเรื่องเล็กๆนี้ของตัวเองได้อีกหรือ กลับไปถามองค์ชายมังกรน้อยเถอะ ให้เขาเป็นคนบอกเจ้าเองคงดีกว่ามิใช่หรือ”
เอ๋ ที่เขาพูดมาก็มีเหตุผล เสวียนอี่พยักหน้า “ศิษย์พี่เซ่าอี๋ใช้ของว่างเป็นข้ออ้างหลอกข้ามา แล้วยังพูดถึงเรื่องนั้นมาให้อยากรู้แต่ไม่ยอมพูด ท่านทำอย่างนี้ทำไม”
เซ่าอี๋กล่าวเสียงเรียบ “ในใจของปลาดุกอุยน้อยอย่างเจ้า ข้าทำอะไรพูดอะไรก็ล้วนแต่มีนัยแฝงไปเสียหมด เจ้านี่นะ ไม่เชื่อข้าเลยสักนิด”
เสวียนอี่ก้มลงมาคล้องแขนเขาเอาไว้พลางกล่าวเสียงหวานว่า “ใครว่าข้าไม่เชื่อท่าน ท่านพูดมาให้ข้าสนใจแต่กลับพูดไม่จบ ทำให้ข้ารู้สึกติดค้างในใจ นี่ไม่ใช่ว่าใจแคบไปหน่อยหรือ”
เซ่าอี๋ประคองท้ายทอยของนางไว้ ทั้งท่าทางและน้ำเสียงอ่อนหวานมาก “เจ้าอยากรู้หรือ ถ้าอย่างนั้นก็จูบข้าหน่อยสิ”
เสวียนอี่มองไปยังไข่มุกสีแดงเพลิงตรงหน้าผากของเขาที่กำลังแกว่งไกว “ถ้าอย่างนั้นท่านก็หลับตาสิ”
เขาแตะปลายจมูกนาง “ข้าเชื่อเจ้าอีกก็แปลกแล้ว”
เสียงของมหาเทพไป๋เจ๋อพลันดังมาจากที่ไกล “ศิษย์ตำหนักหมิงซิ่งรีบมาที่นี่!”
อาจารย์ที่มักจะดูไม่ค่อยเข้าท่า ในที่สุดวันนี้ก็เข้าท่าขึ้นมาสักครั้ง เขาไปปล่อยสัตว์พาหนะของเหล่าศิษย์ออกมา สัตว์พาหนะพอได้เห็นเจ้าของต่างก็เข้าไปหาเจ้าของอย่างดีใจ
หงส์สีแดงขนาดใหญ่เดินมาหยุดอยู่ข้างหน้าเซ่าอี๋ หัวของมันซุกไซ้คลอเคลียกับแผงอกของเขาด้วยความสนิทสนม เขาลูบขนฟูของมัน จับบังเ**ยนพร้อมพลิกตัวขึ้นไป จากนั้นก็ยิ้มแล้วกล่าว “ปลาดุกอุยน้อย ตอนนี้ศิษย์พี่ยังแบกเจ้าไม่ไหว หวังว่าครั้งหน้าจะมีโอกาสให้เจ้ามาขี่หงส์ด้วยได้”
หมายความว่าเขาจะหนีเอาตัวรอดแล้วทิ้งนางไว้ตรงนี้ เป็นเรื่องที่เขาทำได้จริงๆ
เสวียนอี่มองแผ่นหลังของเขาที่ไกลออกไปครู่หนึ่ง นางจับเก้าอี้แล้วประคองตัวลุกขึ้นยืนด้วยขาข้างเดียว กระโดดไปได้ไม่กี่ที พลันเห็นฝูชางที่เป็นดั่งวิญญาณตามติดขี่ราชสีห์เก้าเศียรตะบึงเข้ามาใกล้ เขายื่นมือข้างหนึ่งมาช้อนร่างนาง พริบตาเดียวนางก็ขึ้นมาบนหลังของราชสีห์ หลังกระแทกอกของเขาอย่างแรง ห่วงทองบนศีรษะของนางเอียงกระเร่เท่ทันที
บนศีรษะพลันรู้สึกร้อน ฝ่ามือของเขากดบนส่วนที่ปูดออกมานั่น ไม่ว่าเสวียนอี่จะดิ้น ดึง หรือลากอย่างไรก็ไม่หลุด ตรงกันข้ามนางกลับเหนื่อยจนหายใจหอบ “…ตอนนี้เลยยามจื่อ*แล้ว”
เสียงของฝูชางราบเรียบอย่างประหลาด “อืม”
“วันนี้ถึงคราวศิษย์พี่ไท่เหยามารับส่งข้า”
“อืม”
เสวียนอี่ไม่พูดแล้ว คืนนี้นางเหนื่อยจริงๆ นางไม่มีแรงจะมาเคี่ยวกรำอะไรแล้ว ช่างมันเถอะ นางเหยียดหลังตรง ถึงแม้ว่าร่างทั้งร่างของนางราวกับถูกเขาโอบไว้ในอ้อมอก แต่ก็ยังคงแข็งขืนไว้ไม่ยอมให้โดนตัวเขาสักนิด
ตอนนี้ขอบเขตจวนเทพพึ่งจะคลายออกแค่ส่วนเดียว ราชสีห์เก้าเศียรทั้งบินทั้งวิ่งห้อตะบึงไปที่ข้างกายมหาเทพไป๋เจ๋อ เขากำลังนับลูกศิษย์อยู่ พอเห็นว่ามาพร้อมหน้าแล้วก็แสดงท่าทีเคร่งเครียดที่เห็นได้ยากออกมาแล้วกล่าวเสียงขรึมว่า “พอขอบเขตด้านบนของจวนอวี้หยางเปิดออกแล้ว ให้บินไปทางประตูหลังและพยายามออกไปให้ห่างจากทะเลหลีเฮิ่น”
ลางสังหรณ์ไม่ดีในใจเขารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ขนที่สันหลังลุกชัน เกรงว่าคืนนี้แปดเก้าส่วนคงได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ ครั้งที่แล้วที่เขามีความรู้สึกอย่างนี้คือตอนที่เขาคุนหลุนและเขาไท่สิงตกลงไปที่โลกเบื้องล่าง
สวรรค์และพิภพนั้นมีความบริสุทธิ์และขุ่นมัว โลกเบื้องล่างคือความขุ่นมัว โลกเบื้องบนคือความบริสุทธิ์ พื้นดินของแดนเทพหากว่าตกลงไปที่โลกเบื้องล่างก็มีความเป็นไปได้เดียว คือความขุ่นมัวมากเกินไป ทะเลหลีเฮิ่นถูกความมืดผนึกมานานเกินไป ด้านในไม่รู้ว่ามีพลังขุ่นมัวและสัตว์ประหลาดกำเนิดขึ้นมาเท่าไหร่ หากว่าตกลงไปที่โลกเบื้องล่าง จะต้องสร้างหายนะและเภทภัยให้กับมนุษย์เป็นแน่ ผลที่เกิดไม่อยากจะคิด ยิ่งไปกว่านั้นแรงที่ตกลงไปไม่เพียงแค่จวนจูเซวียนอวี้หยางเท่านั้น เกรงว่าดินแดนฝั่งตะวันตกนี้ก็คงยากจะรักษาไว้ได้
“พวกเจ้าเข้าไปใกล้กันหน่อย แต่ละคนอย่าห่างกันมาก…”
เขาสั่งการอย่างละเอียด ยังไม่ทันจะพูดจบกลับเห็นมือดำขนาดยักษ์เงื้อสูงเหนือจวนอวี้หยาง ฝ่ามือทั้งหมดกางออกแล้วยังยาวกว่าถนนหยกขาวสายนั้นเสียอีก มันตบลงมาทางจวนอวี้หยางอย่างช้าๆ โดยไม่มียั้งมือ พริบตาเดียว ถนนหยกขาวที่วิจิตรงดงามก็แตกเป็นเสี่ยงท่ามกลางเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวของเหล่าเทพ
“นั่นคืออะไร!” กู่ถิงเห็นมือยักษ์สีดำที่ไร้หัวไร้ร่าง ราวกับปรากฏขึ้นมาฉับพลันทันใดท่ามกลางความโกลาหล ตกใจจนเสียงเปลี่ยน
เสียงของเขาถูกลมพัดสลายไปในพริบตา อานุภาพของมือยักษ์นี้ ทำให้เกิดลมพายุที่รุนแรงขึ้น มีเทพที่มีพลังเทพอ่อนบางคนต้านไว้ไม่ไหวถูกลมม้วนหอบไปราวกับใบไม้ เห็นเหล่าศิษย์ดูจะต้านแรงลมประหลาดนี้ไม่ไหว มหาเทพไป๋เจ๋อจึงรีบกางม่านพลังแล้วสั่งเสียงเข้มว่า “จูเซวียน! เจ้ารีบปล่อยขอบเขตออกมาเร็ว!”
ใครจะรู้ว่าพอมองไปกลับเห็นมหาเทพจูเซวียนกำลังใช้พลังเทพคุ้มครองเหล่าของล้ำค่าที่นำมาจัดเรียงบนแท่นหยก มหาเทพไป๋เจ๋อกระทืบเท้าอย่างแค้นเคือง “เวลานี้ยังมัวห่วงสมบัติอีก!”
พูดจบก็รู้สึกว่ามีเงาดำทาบลงมาที่หัว มือยักษ์อีกข้างปรากฏขึ้นมา แล้วตบลงมาจากด้านบน เทพทั้งหลายไหนเลยจะหลบทัน มีเสียงดัง “ปัง” มือสีดำขนาดยักษ์นั่นตบลงมาที่ม่านพลังของมหาเทพไป๋เจ๋อ จนทำให้เหล่าผู้เยาว์เผ่าเทพหัวใจแทบวาย
เทพที่อยู่ใกล้ถึงจะพบว่า มือยักษ์สีดำนั้นไม่ใช่เพราะผิวดำ แต่ว่าด้านบนมีกระแสพลังลึกลับมากมายพัวพันอยู่ ไอบริสุทธิ์ของแดนเทพปะทะเสียดสีกับกระแสพลังขุ่นมัวจนเกิดเสียงดังแสบแก้วหูขึ้น
มหาเทพไป๋เจ๋อสีหน้าเคร่งเครียด มือทั้งสองประกบกันแล้วนำเหล่าศิษย์ใส่เข้าไปในรถสีทองขนาดมหึมา กิเลนทองแปดตัวเทียมรถกำลังห้อหนีเร็วราวกับลม หลบพ้นรัศมีที่มือขนาดใหญ่นั่นตบลงมา เขาเอาติ้วไม้ไผ่ออกมาจากในอกกำหนึ่งแล้วซัดไปกลางอากาศ ไม้นั้นพอเจออากาศก็ยาวขึ้นแล้วกลายเป็นธนูสีเขียวมรกตนับไม่ถ้วน แต่ละดอกพุ่งไปยังมือยักษ์นั้นและปักเป็นรูปยันต์แปดทิศไว้ที่พื้น เขาตะคอกออกไปครั้งหนึ่ง ฝ่ามือยักษ์นั้นพริบตาก็ถูกพลังเทพสลายจนกลายเป็นพลังสีดำหลายสายแล้วหายไป
มือขนาดใหญ่อีกมือหนึ่งอยู่ใกล้แท่นหยกและกำลังพัวพันอยู่กับมหาเทพจูเซวียน เห็นชั้นวางแก้วมากมายถูกมือขนาดใหญ่ตบจนแตก เหล่าของล้ำค่าต่างก็กลายเป็นเพียงเศษซากไป มหาเทพจูเซวียนโมโหจนเนื้อเต้น เขาใช้มือข้างหนึ่งกวาดอย่างแรง และกล่าวไปด้วยความโมโหว่า “ไข่มุกหยกของข้า! ยาวิเศษของข้า! คัมภีร์สวรรค์โบราณของข้า!”
เขาพร่ำรำพันถึงของล้ำค่าแต่ละชิ้นที่ถูกทำลายเสียหาย โมโหจนแม้แต่คำแทนตัวว่า ‘เปิ่นจั้ว’ ก็ไม่พูดแล้ว มือสีดำขนาดใหญ่ถูกแปรงปัดฝุ่นของเขาปัดไปราวกับผ้าขี้ริ้วขาดๆ แค่ครู่เดียวก็เหลือเพียงโครงกระดูก ร่วงลงไปจากแท่นหยกอย่างไร้เรี่ยวแรง
“เทพบริวารอยู่ที่ไหน!” มหาเทพจูเซวียนตะคอกด้วยสีหน้าแข็งกระด้าง “รีบเก็บสมบัติที่นี่ให้หมด! แล้วเอาไปเก็บไว้ในเจดีย์แก้วมรกต!”
ในที่สุดเหล่าเทพบริวารที่ตกใจจนหลบไปไกลก็ได้สติขึ้นมาแล้วพุ่งมาราวกับคลื่นน้ำ ใครย้ายกล่องก็ไปย้ายกล่อง ใครยกชั้นแก้วก็ไปยกชั้นแก้ว แต่ละคนทำงานกันอย่างรวดเร็ว แค่พริบตาเดียวก็เห็บของล้ำค่าทั้งหมดที่อยู่บนแท่นหินหยกไปจนหมดเกลี้ยง
เหล่าศิษย์ทั้งหลายเกาะอยู่ที่หน้าต่างรถสีทองขนาดใหญ่พากันชะเง้อคอมอง มือยักษ์สีดำที่ปรากฏขึ้นมากะทันหันสองข้างนั้นมีความสามารถประหลาดเกินไป ทำให้ทุกคนตกใจกันมากจนตอนนี้ยังพูดอะไรไม่ออก มีเพียงแค่ไท่เหยา บุตรชายแล้วก็เอ่ยปากว่า “ฝ่ามือยักษ์ของข้างเมื่อครู่นี้ หรือว่าจะเป็นมือของฝางเฟิงซื่อ”
ฝานเฟิงซื่อ สามคำนี้ทำให้เหล่าศิษย์ทั้งหลายตกใจกันจนเงียบกริบไปอีกครั้ง
ฝานเฟิงซื่อ คือยักษ์ที่มีร่างกายใหญ่โตมากตนหนึ่ง ปีนั้นมันติดตามองค์ราชาชือโหยวไปก่อกวนโลกทั้งเบื้องล่างและเบื้องบน ต่อมาถูกเหล่าเทพวางแผนและฆ่าตายที่เขาจีซานแห่งโลกเบื้องล่าง แต่ด้วยเพราะร่างกายที่มีขนาดใหญ่เกินไป ใช้รถคันใหญ่มากมายหลายคัน ถึงสามารถนำเอาร่างที่แยกเป็นส่วนๆกลับมายังแดนเทพได้
จื่อซีมีท่าทีระแวง “ไม่ใช่ว่าฝานเฟิงซื่อตายไปนานแล้วหรือ”
และที่น่าแปลกกว่าก็คือ ด้านนอกจวนอวี้หยางว่างเปล่าไม่มีอะไร ทำไมถึงได้มีมือปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหันได้ ทั้งยังไม่เห็นร่างของมันอีกต่างหาก
ไท่เหยาเหมือนกับนึกอะไรได้ “ตอนนั้นร่างของฝานเฟิงซื่อวางไว้ที่ไหน”
ศิษย์ทั้งหลายต่างก็พากันส่ายหน้า เรื่องเก่าแก่โบราณอย่างนี้ ผู้เยาว์เผ่าเทพอย่างพวกเขาจะรู้ได้อย่างไร
“เดิมจักรพรรดิสวรรค์คิดจะนำร่างของฝานเฟิงซื่อส่งกลับไปยังโลกเบื้องล่าง” ไม่รู้ว่ามหาเทพไป๋เจ๋อมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ ร่างเล็กของเขาห้อยอยู่ด้านนอกรถคันใหญ่ “แต่ว่าอย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ขององค์ราชาชือโหยวมาก่อน ตายมาหลายปีแล้วแต่ไอพลังชั่วร้ายกลับยังเข้มข้นไม่สลายไป หากเอาไปไว้ที่โลกเบื้องล่างอาจจะเกิดอะไรขึ้นได้ ก่อนที่ทะเลหลีเฮิ่นจะกลายเป็นสถานที่ต้องห้าม มันถูกเก็บไว้ในวังสวรรค์ตลอด”
ไท่เหยาสูดลมหายใจ “อาจารย์หมายความว่า พอทะเลหลีเฮิ่นกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามแล้ว เสด็จพ่อนำร่างของฝานเฟิงซื่อไปทิ้งไว้ในทะเลหลีเฮิ่นอย่างนั้นหรือ”
มหาเทพไป๋เจ๋อกล่าวเสียงเรียบ “เป็นคำแนะนำของเปิ่นจั้วเอง สถานการณ์ของทะเลหลีเฮิ่นเหล่าเทพทำอะไรไม่ได้ ถ้าปล่อยไว้เฉยๆก็ไม่มีประโยชน์ สู้เอาของหนักสมองโยนลงไปในนั้นดีกว่า”
แค่คิดไม่ถึงว่า พอทิ้งลงไปกลับเกิดเรื่องเสียได้
สีหน้าของเหล่าศิษย์เปลี่ยนไปทันที ไท่เหยาไม่กล้ามองหน้าของอาจารย์ที่เคารพตรงๆ “ท่านยังโยนอะไรลงไปอีก”
นี่น่ะหรือ เวลาเล็กน้อยอย่างนี้เขาจะไปคิดออกได้อย่างไร มหาเทพไป๋เจ๋อเตรียมจะเค้นสมองคิด พลันได้ยินเสียงร้องดังมาจากด้านหลัง แล้วจึงเห็นว่ามือขนาดใหญ่ที่เมื่อครู่นี้ถูกเขาทำให้สลายไปนั้นกลับรวมกระดูกและไอสีดำขึ้นมาอีกครั้ง และครั้งนี้มันตบลงไปที่เจดีย์แก้วมรกตซึ่งอยู่ด้านหลังอย่างแม่นยำ