บุหลันเคียงรัก - บทที่ 55 ปลาดุกอุยรีบหนี
ลมที่แฝงไปด้วยไอขุ่นมัวปะทะเข้ากับหน้า ความรู้สึกนี้ไม่ได้ดีเลยจริงๆ เสวียนอี่ใช้แขนเสื้อคลุมหน้าและหัวไว้เตรียมจะนอนต่อ ใครจะรู้ว่า กลิ่นสุราที่แขนเสื้อกลับพุ่งใส่จมูก ยิ่งรวมกับไอขุ่นมัวด้วยแล้ว อย่าให้พูดเลยว่ากลิ่นมันร้ายกาจขนาดไหน
นางถูกกลิ่นรมจนลืมตาตื่นขึ้นอย่างไม่พอใจ สิ่งที่เข้ามาในสายตาคือท้องฟ้าที่ดูคุ้นเคยแต่ก็ไม่คุ้นเคย ฟ้ายังคงเป็นสีคราม เมฆก็ยังเป็นสีขาว แต่ดูแล้วกลับห่างไกลมาก พระอาทิตย์เองก็ดูเล็กมากและไม่ได้บาดตาเช่นแต่ก่อน
เสวียนอี่ไม่ได้พลิกตัวและไม่ได้ขยับ เพียงแต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ
นางกับโลกเบื้องล่างไยถึงได้ต้องชะตากันอย่างนี้ ครั้งที่แล้วถูกบังคับให้ลงมา สุดท้ายเกือบจะต้องเสียขาขวาไป ครั้งนี้ยังตกลงมาอย่างไม่รู้เรื่องราวอีก ไม่รู้ว่าสุดท้ายจะเป็นอย่างไร
ราชสีห์เก้าเศียรใต้ร่างร้อง “โฮก” ขึ้นมา แล้วใบหน้าที่แสนน่ารังเกียจของฝูชางปรากฏมาในคลองจักษุ ดวงตาที่มักจะแฝงไปด้วยความเย็นชาของเขากลับมีความห่วงใยและอ่อนโยนแฝงอยู่ เขากล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
เสวียนอี่ไม่ได้ขยับ นางนอนหงายหน้าแล้วจ้องมองเขานิ่งๆ
เขาอีกแล้ว
ไม่รู้ทำไม นางรู้สึกว่าความอ่อนโยนที่ดูใกล้ชิดในแววตาของเขากลับดูขัดตามาก นางไม่ชอบพวกมัน ยิ่งกว่าที่ไม่ชอบตัวฝูชางก่อนหน้านี้เสียอีก เหมือนกับที่นางไม่ชอบภัยพิบัติอย่างนั้น
นางหลบสายตาของเขาแล้วค่อยๆ ลุกขึ้น จากนั้นจึงหันหลังแล้วใช้นิ้วมือสางผมยาวของนางช้าๆ มองไปยังเมฆที่เคลื่อนผ่านร่างไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ราชสีห์เก้าเศียรบินท่ามกลางทะเลเมฆ ด้านล่างคือเขาสีเขียวมากมาย ตรงกลางมีแม่น้ำสีดำตัดผ่านราวกับเข็มขัดสีดำที่ผ่ากลางหยกเขียวมิปาน
“ทะเลหลีเฮิ่นเล่า”
เสวียนอี่เสียบวงแหวนทองเสร็จก็มองไปทั่ว ก่อนหน้านี้แดนเทพเกิดเรื่องใหญ่ปานนั้น เหตุไฉนโลกเบื้องล่างยังแลดูสงบอยู่เล่า พูดไปแล้วทะเลหลีเฮิ่นนี่ก็ถูกบรรพบุรุษตระกูลนางแช่แข็งไว้ นางยังไม่ทันจะได้เห็นสักแวบก็ตกลงมาที่โลกเบื้องล่างแล้ว น่าเสียดายจริงๆ
“โลกเบื้องล่างมีอาณาเขตกว้างขวาง ไม่รู้ว่าทะเลหลีเฮิ่นไปตกที่ไหน”
ฝูชางใช้มือสางขนนุ่มของราชสีห์เก้าเศียรที่ถูกนางนอนทับ พวกเขามีโชคไม่เลว จึงไม่ได้ตกลงไปในทะเลหลีเฮิ่น อาศัยแค่ฝีมือเล็กๆน้อยๆนั่นของนาง รวมกับวิถีกระบี่ที่ยังไม่ได้คล่องแคล่วมากของเขาแล้ว หากเทพอายุน้อยสองคนตกลงไปที่ทะเลหลีเฮิ่น เก้าในสิบคงได้ดับสูญทันทีแน่
“พวกศิษย์พี่เล่า”
“ไอบริสุทธิ์และไอขุ่นมัวปะทะกันรุนแรงมาก พอตกลงมาเผ่าเทพก็แยกกันไปหมด”
อืม ศิษย์คนอื่นแยกกันไปคนละที่ มีแค่นางที่ซวย ต้องมาอยู่กับเจ้านี่ เสวียนอี่ถอนหายใจ “ที่นี่คือที่ไหน”
ปัญหานางทั้งมากและเร็ว น้อยครั้งที่จะได้เห็นฝูชางยังไม่ได้หมดความอดทนและตอบกลับมาด้วยเสียงราบเรียบว่า “ที่นี่น่าจะใกล้ๆกับแม่น้ำดำของโลกเบื้องล่าง ถ้ากลับไปที่ประตูสวรรค์ทิศใต้ต้องใช้เวลาอีกประมาณห้าวัน”
ดวงตาเสวียนอี่ทอประกายทันใด “แม่น้ำดำรึ ถ้าอย่างนั้นเขาคุนหลุนก็ต้องอยู่ใกล้ๆนี้เหมือนกันน่ะสิ ข้าจำได้ว่ายอดเขามีน้ำพุร้อนที่เสวียนหนี่ว์ใช้อยู่เป็นประจำ”
นางดมกลิ่นที่ไม่น่าพิสมัยบนผมแล้วรีบสั่งการเขาอย่างหยิ่งยโสว่า “ข้าจะอาบน้ำ ให้เจ้าราชสีห์โง่ตัวนี้ลงไป”
ฝูชางกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นโดยไม่หันกลับมา “ในที่รกร้างโล่งแจ้งเยี่ยงนี้จะอาบน้ำอะไร ทนไป”
ที่นางพูดมานั้นมันเรื่องตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว เขาคุนหลุนตกลงมาที่โลกเบื้องล่างนานแล้ว ใครจะรู้ได้ว่าตอนนี้บนนั้นมีเผ่าปีศาจอะไรยึดครองอยู่
เสวียนอี่ชี้ลงไปที่แม่น้ำดำกว้างขวางด้านล่าง “ถ้าอย่างนั้นก็ลงไปที่แม่น้ำดำนี่ แม่น้ำดำสายนี้มีน้ำมากตั้งขนาดนั้น พอให้ข้าอาบแล้ว”
“เรื่องนี้ไม่ต้องพูดอีก เลิกคิดไปเลย” ฝูชางหันมามองนางอย่างหมดความอดทน การที่ทะเลหลีเฮิ่นตกลงมานับเป็นภัยพิบัติใหญ่หลวง โลกเบื้องล่างมีเผ่าปีศาจมากมาย ไม่รู้ว่าจะส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง นางยังไม่คิดจะรีบกลับไปอีก ทำไมถึงได้เรื่องเยอะอย่างนี้
เสวียนอี่คลี่ยิ้มบางให้เขาพลางกล่าวเสียงหวานว่า “ศิษย์พี่ฝูชาง ข้ากลับไปที่ประตูสวรรค์ทิศใต้เองได้ ท่านไปก่อนดีหรือไม่”
ฝูชางมองไปยังขาข้างที่บาดเจ็บของนาง นางจะไปเอง ไปอย่างไร คลานไปหรือ
ดูแล้วนางมีท่าทีจริงจังมาก “จริงๆ นะ ข้ากลับไปเองได้”
ฝูชางกล่าวเสียงเรียบ “เรื่องนี้ก็ไม่ต้องพูดอีกเหมือนกัน นั่งดีๆ”
สถานการณ์ของโลกเบื้องล่างดูแล้วยังสงบ แต่การที่ทะเลหลีเฮิ่นตกลงมาอย่างนี้ไม่มีทางเหมือนปกติไปได้แน่ อาการบาดเจ็บขององค์หญิงมังกรยังไม่หายดี เขาไม่มีทางให้นางไปลำพังแน่ นับว่าเขาเองก็รู้นิสัยชั่วร้ายขององค์หญิงมังกรนี่ดี ไม่แน่ว่านางอาจจะทำเรื่องอะไรที่ทำให้เขาต้องตกใจออกมาอีกก็เป็นได้ จากนั้นก็กำชายกระโปรงนางแล้วพันกับมือไปหลายครั้ง
เสวียนอี่หรี่ตาลงจ้องเขา ตอนนี้ฝูชางของตระกูลหวาซวีคนนี้ชักจะแข็งข้อขึ้นทุกวันๆ เขาไม่ยอมลับฝีปากกับนางและยังไม่ยอมทะเลาะกับนาง ทุกครั้งเขาจะลงมือทันที อาศัยว่าตัวเองมีวีถีกระบี่กับตัวอยู่นิดหน่อยแล้วมาปีนหัวนางอย่างนี้
นางสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วยิ้มให้เขา “อย่างไรข้าก็จะไป”
ฝูชางกำกระโปรงยาวของนางแน่นโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นก็มีเสียงดัง “ปุ” แล้วองค์หญิงมังกรตรงหน้าเขาก็หายตัวไป กระโปรงยาวในมือเขาเองก็พลันหายไปด้วย แล้วปลาดุกอุยน้อยสีดำสนิทก็ใช้หางยันพื้นเพื่อทรงตัวไว้ จากนั้นก็กระโดดลงไปจากหลังของราชสีห์เก้าเศียร กระต่ายยังกระโดดไม่ได้เร็วอย่างนางเลย แล้วนางก็มุดเข้าไปในกลุ่มทะเลเมฆ
เขาตะลึงไปชั่วขณะ นาง…ปกติก็สามารถแปลงเป็นปลาดุกอุยได้ด้วยหรือ
เสวียนอี่รัดเสื้อผ้าบนร่างให้กระชับ จากนั้นก็พุ่งออกไปราวกับลูกธนู ขาข้างขวาที่บาดเจ็บยังไม่มีแรง แต่ยังดีที่ร่างมังกรของนางมีหาง เวลาบินไม่ได้เสียแรงมากนัก เดิมเมื่อมีร่างมนุษย์แล้วการเปลี่ยนร่างกลับมาเป็นร่างมังกรถือว่าเป็นความอัปยศของตระกูลจู๋อิน แต่ว่าอย่างไรเสียที่นี่ก็มีแค่พวกเขาสองคน นางใช้วิธีอะไรออกมาก็ไม่ต้องคิดกังวลอะไรมาก
ตูม! นางพุ่งลงไปในแม่น้ำดำเย็นเฉียบ จากนั้นก็พ่นฟองออกมามากมายอย่างสบายใจ
ทำไมต้องไปกับเจ้าป่าเถื่อนนี่ด้วย นางคนเดียวก็กลับไปที่ประตูสวรรค์ทิศใต้ได้ อีกอย่าง ร่างมังกรเร็วกว่าอีก
เสวียนอี่มุดไปมุดมาที่ทรายใต้น้ำ เพื่อให้พวกมันพากลิ่นประหลาดบนร่างนางออกไป นางพุ่งไปทางประตูสวรรค์ทิศใต้ไป ด้านหลังก็ได้ยินเสียงน้ำดังมา แล้วนางก็เห็นใต้น้ำพลันเกิดคลื่นมากมาย น้ำในแม่น้ำที่เคยใสสะอาดพลันขุ่นมัว เวทสองสายพุ่งผ่านร่างของนางไปประดุจมังกรสีเงิน กวนคลื่นน้ำในแม่น้ำเบื้องหน้านางให้ม้วนตัวขึ้นมา
นางตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็เข้าใจทันทีว่า ฝูชางกำลังหานาง ตระกูลจู๋อินนั้นเวทใดๆ ล้วนไม่มีผล เขาจึงใช้วิชาพลิกน้ำในแม่น้ำเพื่อดูว่าที่ไหนสงบแสดงว่านางหลบอยู่ตรงนั้น
เจ้าคนป่าเถื่อนโหดเ**้ยมผู้นี้ ทำไมถึงได้เปลี่ยนไปตามสถานการณ์เก่งนัก!
นางซ่อนร่างอยู่ใต้ทรายและมุดลงไป ทันใดนั้นดวงตาก็มีประกายสว่างวาบไป กระบี่ฉุนจวินกลับมาขวางทางไว้ ปลายกระบี่ชี้มายังท้องที่ไม่มีเกล็ดของนาง นางหยุดนิ่งทันที นางเปลี่ยนทิศทางและมุดลงดินไป แต่กลับมีมือหนึ่งคว้านางออกไปจากแม่น้ำดำเสียก่อน
เสวียนอี่ดิ้นอย่างไม่คิดชีวิต นางกำลังจะเปลี่ยนกลับมาร่างคน ร่างนางพลันถูกยกมาด้านหน้าของฝูชาง เขาจ้องนางอยู่นาน นานจนนางขนหัวลุก แล้วกล่าวออกมาทีละถ้อยทีละคำว่า “หนึ่ง ห้ามหนีอีก สองห้ามเปลี่ยนกลับเป็นร่างคน ไม่อย่างนั้นจะตัดผมเจ้าเสีย”
คำเตือนที่แสนเ**้ยมโหดของเขาน่ากลัวว่าก่อนหน้านี้มาก เสวียนอี่นิ่งไปทันที แล้วขดม้วนตัวเป็นก้อนบนฝ่ามือเขา พร้อมทั้งซ่อนแขนขาและหางเอาไว้ใต้ท้อง
ฝูชางก้มหน้ามองปลาดุกอุยน้อยในฝ่ามือ เกล็ดสีดำสนิทของนางสะท้อนสีเย็นออกมาท่ามกลางแสงยามเช้า
อารมณ์ชั่วร้ายที่อัดอยู่ในท้องนับตั้งแต่เมื่อวานเย็นจนถึงเมื่อครู่นี้พลันหายไป นางเป็นปลาดุกอุยดีกว่าจริงๆ ด้วย
…
ไอขุ่นมัวของโลกเบื้องล่างถูกแขนเสื้อของฝูชางกั้นเอาไว้ภายนอก เสวียนอี่ขดตัวอยู่ภายในแขนเสื้อ
นางนอนแล้วตื่น ตื่นแล้วนอนมาสามสี่ครั้งแล้ว ตอนนี้รู้สึกหิวจนทรมาน ไม่อาจนอนได้อีก บนร่างของเจ้านี่ไม่มีกลิ่นอะไรเลย หากว่าเป็นเซ่าอี๋ก็คงดี อย่างน้อยบนร่างเขาจะต้องมีกลิ่นขนมให้นางได้ดมแก้หิวบ้าง
นางเอาหน้าแนบกับแขนเสื้อแล้วมองออกไปด้านนอก ด้านนอกเหมือนจะเป็นเวลาค่ำของโลกมนุษย์แล้ว ลมพัดผ่านแขนเสื้อของเขา บ้างก็มีกลิ่นเขม่าควันไฟของมนุษย์ลอยเข้ามาแตะจมูกนาง แม้ยังคงไม่น่าดม แต่ว่านางหิวมากจริงๆ กลิ่นควันและน้ำมันเหล่านี้ยิ่งทำให้กระเพาะนางหิวมากกว่าเดิม ท้องนางร้องออกมาเสียงดัง
แขนเสื้อเปิดออก แล้วร่างก็ถูกฝูชางจับเอาไว้ นางปิดตาแกล้งตาย แล้วก็รู้สึกว่าเขาวางนางไว้บนฝ่ามือแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “หากว่าหิวแล้ว ด้านล่างคือเมืองของมนุษย์ ไปกินอาหารมนุษย์ดีหรือไม่”
เสวียนอี่ค่อยๆ เปิดตาขึ้นมองทีละนิด ใบหน้าของเขาเรียบเฉย ความนุ่มนวลที่ทำให้รู้สึกไม่ชอบใจนั่นหายไปแล้ว นางจึงพยักหน้า
ราชสีห์เก้าเศียรลงไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ดึกมากแล้ว ในเมืองมีโคมไฟอยู่ไม่มากที่ยังคงสว่างอยู่ ดูแล้วเงียบสงบมาก ราวกับว่าการที่ทะเลหลีเฮิ่นตกลงมาน่าจะไม่ส่งผลกับที่นี่
เสวียนอี่หันมองไปรอบๆ แล้วสูดจมูกขยุกขยิก จากนั้นก็กัดแขนเสื้อของฝูชาง “ทางใต้มีกลิ่นควันไฟ ไปทางนั้น”
ลมพัดเข้ามา ฝูชางสูดลมหายใจเข้า นั่นไม่ใช่กลิ่นควันไฟ แต่ว่าเป็นกลิ่นธูป คิดว่าน่าจะมีการสร้างศาลเจ้าอะไรสักอย่างของมนุษย์ที่นี่ แต่ว่าหาได้เต็มไปด้วยไอบริสุทธิ์เหมือนศาลเจ้าเทพบูรพาเมื่อคราวที่แล้ว แต่กลับมีไอขุ่นมัวมาก กระนั้นเรื่องนี้ก็ไม่ได้แปลก นับตั้งแต่ที่เขาสวรรค์ถูกชนถล่ม ต่อมาเขาคุนหลุนกับไท่สิงยังตกลงมาอีก ไอขุ่นมัวของโลกมนุษย์ยิ่งเข้มข้นขึ้น เผ่าเทพที่ชอบมาเที่ยวเล่นโลกเบื้องล่างก็ไม่ลงมาอีก การที่ศาลเจ้าถูกเผ่าปีศาจยึดครองถือว่าเป็นเรื่องปกติ
เห็นระดับความเข้มข้นของไอขุ่นมัวแล้ว คิดว่าน่าจะไม่ใช่เผ่าปีศาจที่ร้ายกาจอะไร ฝูชางไม่ได้ใส่ใจอีก หมุนตัวมุ่งไปทางใต้พลันกล่าวว่า “ห้ามพูด”
เสวียนอี่โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ “ถือดีอะไร”
“ปลาดุกอุยพูดไม่ได้” ได้แค่ร้องจี๊ดๆ เท่านั้น
“แล้วตอนนี้เห็นปลาดุกอุยที่พูดได้แล้วหรือยัง”
ศาลเจ้าเล็กๆทางใต้เก่าและทรุดโทรมมาก ประตูสีแดงมีลายมากมาย ภายในมีรูปปั้นของเทพีเสวียนหนี่ว์อยู่ ไม่ได้เหมือนกับเทพีเสวียนหนี่ว์จริงๆเลย ลายพร้อยไปหมด ไม่รู้ว่าสวมชุดที่ทำจากอะไร ใบหน้ายังเปื้อนชาดทาแก้มสีแดงจัดสองแต้มไว้อีก
โชคดีที่ไม่มีศาลตระกูลจู๋อิน ไม่อย่างนั้นนางจะต้องแช่รูปปั้นเทพนั้นให้กลายเป็นน้ำแข็งแน่
บนโต๊ะมีขนมที่แลดูไม่ค่อยสดวางอยู่จำนวนหนึ่ง และยังมีลูกท้อกับส้มสายน้ำผึ้งอีกนิดหน่อย เสวียนอี่คาบขนมพันชั้นที่แข็งโป๊กไว้ในปาก แล้วกินไปบ่นไป “ไม่อร่อย ไม่อร่อย”
พูดแล้วก็กินขนมครึ่งจานนั้นเข้าไปจนเกลี้ยง
ฝูชางเห็นนางยัดขนมเต็มปาก แขนขาทั้งสี่ซ่อนไว้ใต้ท้อง แสงเทียนสลัวไหววูบไปบนเกล็ดสีดำสนิทของนาง ดวงตาเล็กเป็นประกาย เขามังกรขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารบนหัวทั้งสองของนางก็ยิ่งดูน่ารักน่าดึงดูด
ระหว่างเขามังกรเล็กๆ ทั้งสองคือหัวล้านใสที่มีรอยปูดนูนขึ้นมา เป็นรอยงับของเขาหลังจากดื่มสุราไป
เสวียนอี่กำลังกลืนขนมอันหยาบกระด้างและเลวร้ายของมนุษย์อย่างรังเกียจ บนหัวพลันมีนิ้วมือหนึ่งกำลังลูบเบาๆ นางบิดคอไปมาแต่กลับสะบัดไม่หลุด ตอนนี้นางอยู่ในร่างมังกร จะไปแกล้งหยอกล้อใกล้ๆตัวเขาก็ไม่ได้ และถ้าไปแกล้งหนักเข้า เจ้าป่าเถื่อนนี่ยังจะตัดผมของนางอีก อย่างอื่นนางยังไม่เชื่อ แต่ว่าตัดผมนางเชื่อว่าเขากล้าทำแน่
นางหลับตาลงแล้วนิ่งไป สนใจแค่อาหารที่นางเคี้ยวหยุบหยับในปากเท่านั้น
นิ้วมือลูบไล้บนหัวที่นูนขึ้นมาของนางอย่างนุ่มนวลและเชื่องช้า แล้วลูบเขามังกรเล็กทั้งสองอันของนางไปมาอีก จากนั้น เขาก็ส่งเสียงหัวเราะอันอบอุ่นยิ่งออกมา
เขาบ้าไปแล้วหรือ
เสวียนอี่หรี่ตาเล็ก แสงเทียนภายในศาลเสวียนหนี่ว์ทาทาบลงที่หว่างคิ้วเขา แสงไม่สว่างเลยสักนิด แต่กลับบาดตานางยิ่งนัก
“เหมือนมีเขามังกรสามอันเลย” ฝูชางยิ้มน้อยๆ ความเย็นชาในดวงตาเขาพลันหลอมละลาย