บุหลันเคียงรัก - บทที่ 56 เทพธิดาผู้ลุ่มหลง
เสวียนอี่หลับตาลงอีกครั้งแล้วกัดขนมตรงหน้าเงียบๆ พลันรู้สึกว่าเจ้าสิ่งนี้ไม่อร่อยจนยากจะกลืนลงไปได้
นางจึงพ่นออกมาแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าอิ่มแล้ว ไปเถอะ”
ฝูชางกำลังปอกเปลือกส้มสายน้ำผึ้งอยู่ ราชสีห์เก้าเศียรด้านหน้าของเขาเอาหัวทั้งเก้าซุกเข้ามาในอกเขาราวกับกลายเป็นแมวไปเสียแล้ว ดวงตาทั้งสิบแปดจ้องไปยังส้มสายน้ำผึ้งในมือของเขาด้วยสายตาหยาดเยิ้ม พอได้ยินเสวียนอี่กล่าวว่าจะไปแล้ว มันก็มีท่าทีหงอยซึม หัวหูของมันลู่ลงไปหมด
ฝูชางไม่สนใจนาง แต่ลูบไปที่ขนของราชสีห์เก้าเศียรแล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้าก็หิวแล้วสิ”
โลกเบื้องล่างหาของให้เสี่ยวจิ่วกินไม่ได้เลย เขาจึงปอกส้มสายน้ำผึ้งห้าหกลูกป้อนมัน กระทั่งลูกท้อก็ยังเอาให้มันกิน สุดท้ายจึงเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปที่รูปปั้นเสวียนหนี่ว์ที่ไม่เหมือนจริงนั่นแล้วยื่นมือออกไปจับหางของเสวียนอี่พลางม้วนแขนหนึ่งรอบ ปลาดุกอุยก็ถูกยัดเข้าไปในแขนเสื้อของเขา แล้วเทพหนุ่มก็ไปจากศาลเจ้าเสวียนหนี่ว์ด้วยท่าทางสง่างามหล่อเหลา ทิ้งไว้เพียงเปลือกของลูกท้อ ส้มสายน้ำผึ้งและเศษขนมเต็มพื้นเท่านั้น
ผ่านไปนาน แสงเทียนในศาลเสวียนหนี่ว์ก็วูบไหวไปมา เงาดำกลุ่มหนึ่งไหลลงมาจากบนรูปปั้นเสวียนหนี่ว์ราวกับน้ำ ไม่นานก็กลายเป็นชายหนุ่มที่สวมชุดคลุมยาวหรูหรางดงามคนหนึ่ง เขาไว้ผมยาว รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา เขามองไปนอกศาลหลายครั้งแล้วจึงถอนหายใจออกมา “ทำข้าตกใจหมด คิดว่าเป็นเหล่าเทพผู้ตรวจการณ์จากแดนเทพตามมาเร็วขนาดนี้ ที่แท้ก็แค่เทพผู้เยาว์สองคน”
เขาควานหาด้านหลังรูปปั้นเสวียนหนี่ว์ครู่หนึ่ง แล้วหยิบหินขนาดประมาณฝ่ามือออกมาหนึ่งก้อน หินมีสีดำสนิท และยังเต็มไปด้วยไอสีดำ เขาจ้องไปที่หินก้อนนั้นอยู่นาน ทั้งหวาดกลัวทั้งเหมือนกับกำลังสู้กับอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็ตัดสินใจเอามันยัดเข้าไปในอกแล้วลอยออกไปนอกประตู เขาเลี้ยวไปตามทางสายเล็กแล้วหายลับไปในความมืด
“ไม่ใช่ว่าจะรีบกลับไปประตูสวรรค์ทิศใต้หรือ” เสียงนุ่มของเสวียนอี่แฝงไปด้วยความอ่อนเพลียหลังกินเสร็จ “เจ้าจะตามเจ้าปีศาจน้อยนี่มาทำไม”
คนที่พูดว่าจะรีบกลับก็คือเขา คราวนี้คนที่หาเรื่องก็เขาอีก แค่ปีศาจน้อยที่ยึดศาลเสวียนหนี่ว์ตนหนึ่งก็คุ้มกับการแอบสะกดรอยตาม เมื่อครู่นี้ตอนที่เข้าไปในศาลเสวียนหนี่ว์พวกเขาก็พบเจ้าปีศาจน้อยตนนี้อยู่แล้ว ตบะของมันต่ำขนาดนี้ ไม่ได้ควรค่าพอให้เสียแรงไปทำให้มันตกใจเลย ดังนั้นจึงไม่มีใครสนใจมัน
ฝูชางกล่าว “หินที่มันเอาออกมาเมื่อครู่นี้เต็มไปด้วยไอมาร”
แล้วอย่างไร เสวียนอี่ที่อยู่ในแขนเสื้อเขาหาวออกมา
“หินก้อนนั้นมีเนื้อหินหนาแน่ น่าจะเป็นพื้นดินของแดนเทพมาก่อน”
ทะเลหลีเฮิ่นยังตกลงมาได้ แล้วกับพื้นดินของแดนเทพขนาดหนึ่งชุ่น[1]เพียงชิ้นเดียวจะนับเป็นอะไรได้
ฝูชางไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ในใจเขากลับมีลางสังหรณ์บางอย่าง เพียงแต่ยังไม่แน่ใจเท่านั้น
ปีศาจน้อยด้านหน้าตนนั้นลอยไปได้ระยะหนึ่ง ก็เข้าไปในลานบ้านของมนุษย์ธรรมดาหลังหนึ่ง ดูแล้วน่าจะเป็นคนมีฐานะ ลานบ้านกว้างขวาง ต้นไม้เขียวขจี ตัวอาคารประณีตงดงาม ด้านนอกไอขุ่นมัวเต็มไปหมด แต่พอเข้าไปภายในบ้านกลับรู้สึกสบายตัว ไอบริสุทธิ์โถมมาไม่ขาดสาย ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่พักของใคร
ปีศาจน้อยพลันหยุดใต้ตึกหลังหนึ่งแล้วหยิบกระจกทองแดงบานหนึ่งออกมาจากอก เขาอาศัยแสงจันทร์ส่องดูอยู่นาน จัดผมเผ้าและเสื้อผ้าพร้อมกับดึงหญ้ามาแปลงเป็นพัดหนึ่งอัน จากนั้นจึงโบกพัดไปมาแล้วลอยไปอยู่ตรงหน้าหน้าต่างชั้นสองพร้อมกับกระแอมไอออกมาหนึ่งครั้ง
เสวียนอี่เกือบจะหลับอยู่แล้ว แต่ถูกเสียงไอของเขาทำให้ตกใจตื่น นางมุดหัวออกมาจ้องไปที่ปีศาจน้อยนั่นอยู่ครู่หนึ่งอย่างไม่พอใจ ทันใดนั้นก็ร้อง “เอ๋” ออกมา “เขาดูไปแล้ว…คล้ายกับศิษย์พี่เซ่าอี๋เลยใช่หรือเปล่า”
เซ่าอี๋รึ
ฝูชางขมวดคิ้วแล้วคลายออก “ข้าไม่เห็นรู้สึก”
เสวียนอี่กลับยังคงกล่าวไปว่า “มีส่วนเหมือนจริงๆ เจ้าดูชุดของเขาสิ ใบหน้าด้านข้างก็คล้ายมาก แต่ว่ายังห่างกับศิษย์พี่เซ่าอี๋อีกไกล”
ฝูชางกล่าวเสียงเรียบ “เงียบ อย่าให้เขารู้ตัวสิ”
ระหว่างพูด หน้าต่างชั้นสองพลันเปิดออก มนุษย์หญิงสาวอายุประมาณสิบสี่สิบห้าปีคนหนึ่งยื่นหน้าออกมา ใบหน้ากลมมนงดงามของนางเต็มไปด้วยความอ่อนเยาว์และบริสุทธิ์ ทำให้คนมองแล้วรู้สึกน่าสงสารระคนเอ็นดู
เสวียนอี่เห็นใบหน้าของนางชัดก็เกือบจะร้องออกมาด้วยความตกใจ จึงรีบกัดหางตัวเองเอาไว้แน่น แม้แต่ฝูชางก็ยังตกตะลึง “…ศิษย์พี่หญิงเหยียนสยา”
“จื่อตู!” หญิงสาวเรียกปีศาจน้อยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวาน
ปีศาจที่ชื่อจื่อตูจับขอบหน้าต่าง เขาโบกพัดจนเกิดเสียงแล้วกล่าวยั่วเย้าว่า “อาสยา คิดถึงข้าไหม”
นางชื่ออาสยา หรือว่านางคือศิษย์พี่หญิงเหยียนสยาจริงๆ เสวียนอี่ตกตะลึงจนปล่อยหางออก ร่างกว่าครึ่งไถลออกมาแล้วพิจารณานางตั้งแต่หัวจรดเท้า
ใบหน้าของอาสยาแดงระเรื่อ ดวงตาหยาดเยิ้มลุ่มหลง นางมีท่าทีดีใจอย่างปิดไม่มิด
“เจ้าแอบมาหาข้าอย่างนี้อีกแล้ว หากไปเจอกับนักพรตร้ายกาจเข้าจะทำอย่างไร” นางกล่าวเสียงเบามาก
จื่อตูกล่าวเสียงหวานว่า “ความคิดถึงช่างลึกล้ำ ไม่เจอหนึ่งวันยาวนานราวกับห่างกันถึงสามฤดู ต่อให้ไปเจอกับนักพรตที่ร้ายกาจอย่างไรก็ทำอะไรข้าไม่ได้ เจ้าไม่ต้องกังวล คืนนี้พระจันทร์สว่างไสว ลมพัดเย็นสบาย อาสยา ออกไปพูดคุยกับข้าดีหรือไม่”
อาสยาหน้าแดงก่ำแล้วส่ายหน้า ”ท่านแม่รู้สึกตัวไว หากว่าตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นข้าต้องตกใจแน่ พวกเราพูดคุยกันอย่างนี้เถอะ”
จื่อตูกล่าวอย่างร้อนรนว่า “ครั้งที่แล้วข้าบอกเจ้าว่า ข้าสร้างบ้านหลังหนึ่งที่เขาใกล้ๆนี้ ทิวทัศน์งดงามมาก ข้าพาเจ้าไปดูดีหรือไม่”
พูดแล้วยังไม่ทันให้นางตอบ เขาก็ยื่นมือไปหมายจะจับบ่าของนาง
ทันใดนั้นหลังคอก็รู้สึกเย็นวาบ ไอคุกคามของโลกเบื้องบนที่ทำให้เขาต้องขนลุกก็กดทับลงมา ร่างของเขานิ่งค้างกลางอากาศ เหงื่อไหลราวกับน้ำ
“ลงไป” เสียงที่เยือกเย็นและมีเสน่ห์ดังมาจากด้านหลังช้าๆ
อาสยาที่อยู่หลังหน้าต่างกล่าวอย่างตกใจว่า “จื่อตู เป็นอะไรไป”
ตอนนี้นางเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา มองไม่เห็นเทพ ฝูชางสะบัดแขนเสื้อ ดวงตานางก็ค่อยๆมืดลงแล้วปิดหน้าต่างพร้อมเดินกลับเข้าไปนอนในห้อง
จื่อตูตกลงมาที่พื้นอย่างแรงแล้วกลายเป็นกลุ่มเงาดำเตรียมจะหนีไป แล้วเขาก็เห็นแสงสว่างวาบเข้ามา ฉึก กระบี่ฉุนจวินเสียบลงไปในพื้นดิน ทำให้เขานิ่งอยู่กับที่ทันที
“ลุกขึ้นมา” ฝูชางกดด้ามกระบี่ฉุนจวินแล้วสั่งเสียงเย็น
เงาดำรวมกันเป็นร่างชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนเมื่อครู่นี้ เขาคุกเข่าลงที่พื้น “ท่านเทพได้โปรดไว้ชีวิต! ท่านเทพได้โปรดไว้ชีวิต! ข้าไม่ควรไปยึดศาลเสวียนหนี่ว์!”
ฝูชางกล่าว “ข้าถามเจ้า มนุษย์ผู้หญิงคนนี้คือใคร”
จื่อตูกล่าวเสียงสั่นว่า “นางคือคุณหนูใหญ่ของคหบดีท้องที่คนหนึ่ง ปีนี้อายุสิบสี่ปี ข้ากับนางรักกันตั้งแต่แรกพบ ข้าไม่ได้คิดจะกินนาง! ขอท่านเทพตรวจสอบด้วย!”
“โกหก!” ฝูชางใช้กระบี่ฉุนจวินพาดไปที่หลังคอของเขา “ข้าจะให้โอกาสสุดท้าย”
อานุภาพของกระบี่วิเศษกดทับลงมาทำให้เขาตกใจจนหน้าซีด แข้งขายวบทรุดลงไปพร้อมพูดพึมพำว่า “ข้า ข้าพูดความจริง! ข้าคือปีศาจเถาวัลย์ของเขาใกล้ๆนี้ พี่ใหญ่ไหวในเขาบอกข้าว่า คุณหนูคนนี้คือองค์หญิงเล็กของจักรพรรดิแดงที่ลงมาโลกเบื้องล่างเพื่อตัดสัมพันธ์ หากว่าได้แลกเปลี่ยนหยินหยางกับนาง[2] ตบะจะต้องก้าวหน้าไปมากแน่ ตอนนี้ตบะของพี่ใหญ่ไหวอยู่ในช่วงสำคัญไม่สามารถออกมาจากเขาได้ จึงให้ของดีข้าแลกกับการที่ข้าต้องมาพาคุณหนูเข้าไปในเขา พอดีกับที่เมื่อครึ่งเดือนก่อนทะเลหลีเฮิ่นตกลงมา ทำให้เหล่าเทพผู้ตรวจการณ์ไม่ได้มานานแล้ว ข้า ข้าจึงปรากฏตัวต่อหน้านาง ใครจะรู้ว่านางกลับหลงรักข้า ข้า ข้า ข้าจึงคิดจะตักตวงประโยชน์เสียก่อน…ข้า…ข้ายังทำไม่สำเร็จ! ข้าไม่กล้าอีกแล้ว!”
เป็นเหยียนสยาจริงๆ!
เวลาของโลกมนุษย์ผ่านไปเร็วมาก เวลาแดนเทพยังไม่ทันจะถึงหนึ่งวัน เวลาของโลกเบื้องล่างกลับผ่านไปแล้วครึ่งเดือน เหยียนสยาลงมาที่โลกเบื้องล่างไม่ทันจะถึงหนึ่งปี ตอนนี้กลับอายุได้สิบสี่ปีแล้ว
เสวียนอี่พิจารณาเจ้าปีศาจที่ตัวสั่นงันงกที่พื้นอย่างรังเกียจ “นางหลงรักเจ้ารึ”
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเหยียนสยาก็เป็นถึงองค์หญิงเล็กของจักรพรรดิแดง ตอนอยู่แดนเทพมียศศักดิ์สูงส่ง ไม่ว่าไปที่ไหนก็ถือเป็นเทพที่มีฐานะสูง ลงมาเป็นมนุษย์ที่โลกเบื้องล่างคงไม่ถึงกับไปยุ่งเกี่ยวกับปีศาจน้อยตัวบางอย่างนี้
จื่อตูไม่รู้แล้วว่าเขาจะต้องทำอย่างไรถึงจะแสดงความจริงใจได้ “เป็นเรื่องจริง! ข้า ข้าจะกล้าโกหกได้อย่างไร! ข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงได้มาหลงรักข้า นางกล่าวว่าข้ามีใบหน้าเป็นมิตร ครั้งที่แล้วยังเอาไข่มุกที่หน้าผากชิ้นหนึ่งมาให้ข้า…”
เสวียนอี่มองใบหน้าของเขาที่คล้ายคลึงกับเซ่าอี๋อยู่สามส่วน ในใจก็เข้าใจขึ้นมา
มิน่าเล่า…คิดไม่ถึงเลย คิดไม่ถึงเลยว่านางลงมาเป็นคนธรรมดาที่โลกเบื้องล่างแล้ว กลับยังมาตกหลุมรักคนที่คล้ายคลึงกันกับคนผู้นั้นอีกได้
ฝูชางกล่าว “ของในอกที่เต็มไปด้วยไอดำชั่วร้ายนั่น คือของที่ปีศาจไหวให้เจ้ามา เขาไปเอามันมาจากที่ไหน”
แววตาของจื่อตูมีประกายวาบ เขาอึกอักอยู่ครู่หนึ่งแล้วพลันกล่าวเสียงต่ำว่า “ท่านเทพ ข้าพูดแล้ว ท่านยังจะฆ่าข้าหรือเปล่า”
ฝูชางกล่าวช้าๆว่า “ข้าไม่เข่นฆ่าพร่ำเพรื่อ”
ใบหน้าของจื่อตูมีประกายชั่วร้าย เขาหมอบอยู่บนพื้น ตัวสั่นระริกขึ้นมาฉับพลันพลางกล่าวว่า “นี่คือของที่ตกลงมาจากแดนเทพเมื่อสามร้อยปีก่อน พี่ใหญ่ไหวกล่าวว่ามันคือดินของแดนเทพที่ถูกไอขุ่นมัวเข้า เขามักจะเอาเศษของพวกมันมาให้พวกเรา แล้วใช้ให้พวกเราไปทำงานให้…ท่านเทพ ข้าจะเอาของนี่ให้ท่าน! ท่านอย่าฆ่าข้าเลย!”
เขาเอาหินที่เปี่ยมไปด้วยไอดำของมารนั่นออกมาจากอก ทำทีว่าจะส่งให้ ฝูชางพลันรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาจึงดีดนิ้วทันที กระบี่ฉุนจวินก็วาดเป็นวงโค้งอย่างงดงาม แล้วฟันมือของจื่อตูทั้งสองข้างจนข้อมือขาด มือข้างซ้ายที่ตกลงไปที่พื้นกลายเป็นสีดำสนิท เมื่อครู่นี้เขาอาศัยตอนที่พูดกันดูดซับเอาไอมารเข้าไปไม่น้อย
จื่อตูร้องโหยหวนออกมาแล้วคาบแขนทั้งสองที่ขาดของเขาไว้ที่ปาก ก่อนจะกลายเป็นกลุ่มเงาดำแทรกลงไปในดินหนีไป
ฝูชางไม่ได้ตามไป แต่ใช้กระบี่เขี่ยหินสีดำบนพื้น ไอบริสุทธิ์ในบ้านปะทะกับไอมารที่แผ่ออกมาจากหินจนเกิดเสียงดังเสียดหู
“หนวกหูจะตายอยู่แล้ว” เสวียนอี่ถูกเสียงเหล่านี้รบกวนจนปวดหูจึงกระโดดอกมาจากแขนเสื้อเขา “ทำไมเจ้าไม่ตามไปเล่า”
ฝูชางส่ายศีรษะ “ที่นี่ไม่มีเทพผู้ตรวจการณ์คอยดูแล จากไปไม่ได้”
ปีศาจที่อยากจะได้เหยียนสยาไม่ได้มีแค่ตนเดียว เทพธิดาที่ลงมาโลกเบื้องล่างจะมีเทพผู้ตรวจการณ์คอยคุ้มครองทุกวัน ทำให้พวกเขาไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร แต่ตอนนี้ทะเลหลีเฮิ่นตกลงมา แดนเทพโกลาหลวุ่นวาย เทพผู้ตรวจการณ์ไม่ได้มาดู หากว่าพวกเขาไป เหยียนสยาจะต้องถูกจับไปแน่
เสวียนอี่ใช้หางยันร่างไว้ นางกระโดดไปรอบหินก้อนนั้นหนึ่งรอบ เจ้าก้อนนี่ทำเอานางปวดหัวไปหมด นางกล่าวว่า “เจ้าหันหน้าไป”
ฝูชางขมวดคิ้ว “จะทำอะไร”
“เจ้านี่เสียงดังเกินไป ข้าจะทำให้มันเงียบเสียงลงเสียหน่อย เจ้าหันกลับไปห้ามมองมา”
ฝูชางปรายตาไปที่นางแล้วหมุนตัวหันหลังให้ เขากลับไม่ได้มองจริงๆ เขาได้ยินเสียง “ฟุบ” ไม่นาน เสียงเสียดแก้วหูนั้นก็เงียบลง
เสวียนอี่ใช้หิมะของจู๋อินห่อก้อนหินนั้นเอาไว้อย่างแน่นหนาจนเหมือนกับลูกบอลหิมะก้อนใหญ่ นางโยนไปมาบนฝ่ามือได้แค่สองทีก็หันกลับไปเห็นฝูชางกำลังจ้องมาที่นางนิ่ง ไม่รู้ว่าเขาหันกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่
แย่แล้ว เขาเห็นนางร่างคนแล้ว เขาจะต้องมาตัดผมนางแน่ๆ!
นางกลิ้งตัวไปที่พื้นแล้วมีเสียง ฟุบ นางเปลี่ยนกลับมาเป็นปลาดุกอุย เขาเองก็ลงมือเร็วราวกับสายฟ้า คว้าตัวนางมาแล้ววางไว้บนฝ่ามือ
“เจ้าตัดไม่ได้หรอก” นางภูมิใจขึ้นมา
ฝูชางคลึงที่รอยปูดบนหัวกลมๆ ของนางแล้วกล่าวเสียงนุ่มว่า “อืม ข้าตัดไม่ได้”
—
[1]ชุ่น มาตรวัดความยาวของจีน โดย 1 ชุ่นเท่ากับประมาณ 1 นิ้ว
[2]แลกเปลี่ยนหยินหยาง หมายถึง การมีสัมพันธ์กันระหว่างหญิงชาย