บุหลันเคียงรัก - บทที่ 57 หนีไม่พ้น
ฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น ในบ้านก็เริ่มมีเสียงคนดังขึ้นพร้อมทั้งเสียงอึกทึกของมนุษย์ที่สัญจรผ่านไปมา
ฝูชางนั่งหลับตาอยู่บนต้นหนี่ว์เจินหน้าตึกทอผ้า
เรื่องเมื่อคืนทำให้เขาคิดมาก จื่อตูกล่าวว่าหินที่เต็มไปด้วยไอมารนั่นคือหินที่ตกมาจากแดนเทพตั้งแต่เมื่อสามร้อยปีก่อน นี่เป็นสิ่งพิสูจน์ลางสังหรณ์ก่อนหน้านี้ของเขา
ฟ้ากับดินแบ่งเป็นไอบริสุทธิ์และขุ่นมัว ไอบริสุทธิ์ก่อกำเนิดพลังเทพ ไอขุ่นมัวก่อกำเนิดพลังมาร สรรพสิ่งที่ปนเปื้อนไอขุ่นมัวมายาวนานจะค่อยๆ ก่อเกิดไอมารขึ้น
ก่อนหน้านี้มหาเทพจูเซวียนก็กล่าวไว้ว่า ทะเลหลีเฮิ่นสั่นไหวมานานหลายปีแล้ว การที่มันตกลงมาโลกเบื้องล่างไม่ใช่เรื่องฉับพลัน ก็เหมือนกับที่กล่าวว่าน้ำแข็งหนาสามฉื่อไม่ได้เกิดในวันเดียว แผ่นดินสั่นสะเทือนหลายปีนี้ทำให้แดนเทพที่ถูกไอขุ่นมัวของทะเลหลีเฮิ่นตกลงไปเบื้องล่างบ้าง แต่เพราะมันมีขนาดเล็กมากจึงไม่มีใครสังเกตเห็น และเผ่าปีศาจที่เก็บเศษเหล่านี้จะเข้าสู่สายมารหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความคิดของพวกมัน
เขาสังเกตเห็นเรื่องเหล่านี้ได้ ไม่ช้าก็เร็วมหาเทพและจักรพรรดิของแดนเทพเองก็ต้องสังเกตเห็น หลายปีมานี้ไม่รู้ว่ามีชิ้นส่วนที่ตกลงไปจากทะเลหลีเฮิ่นมากน้อยเพียงใด ที่โลกเบื้องล่างเองก็ไม่รู้ว่ามีเผ่าปีศาจจำนวนเท่าไหร่ที่เข้าสู่สายมาร แดนเทพสงบสุขมานานเกินไป ตอนนี้ควรจะรู้สึกตัวได้แล้ว
ลมแผ่วเบาพัดผ่านไป ใบของต้นหนี่ว์เจินก็พัดเสียดสีส่งเสียงดัง ปลาดุกอุยน้อยบนฝ่ามือหลับสนิท เสียงลมและลมหายใจที่หลับลึกของนางทำให้เขารู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด
ฝูชางลืมตาขึ้น แสงอาทิตย์สาดส่องผ่านใบไม้หนาทึบลงมาที่หางเรียวยาวของนาง ไอบริสุทธิ์ในบ้านไหลเวียน แสงอาทิตย์ยิ่งดูโปร่งใสมากขึ้น เกล็ดบนร่างของนางราวกับผงทอง หางของนางบ้างก็กระดกขึ้นแล้วฟาดลงไปที่มือของเขาทำให้รู้สึกทั้งคันทั้งชา
ท่าทางอย่างนี้น่าสนุกมาก หากว่าตอนที่ปลาดุกอุยกลายเป็นเทพสาวแล้วจะยอมเชื่อฟังและนิ่งเงียบได้อย่างนี้คงลดเรื่องไปไม่น้อย
หน้าต่างบนตึกทอผ้ามีเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้น มันถูกเปิดออก เสวียนอี่ตกใจตื่นทันทีและเห็นเหยียนสยากำลังเหม่อมองอยู่บนหน้าต่าง
นางคือดรุณีที่กำลังตกอยู่ในห้วงรัก ในใจเต็มไปด้วยความคิดมากมาย ไม่รู้ว่านางคิดถึงเรื่องอะไร นางลอบยิ้มแล้วกัดริมฝีปากเอาไว้ ภายหลังใบหน้ากลับขาวซีด ดวงตาก็มีน้ำตาเอ่อคลอ
ฝูชางประหลาดใจกับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปมาของนางอย่างนี้มาก ปลาดุกอุยบนฝ่ามือกลับนั่งตัวตรง ดวงตาเล็กทั้งสองมองจ้องไปที่เหยียนสยาตาไม่กะพริบ ผ่านไปครู่หนึ่งปลาดุกอุยก็ถอนหายใจออกมา
ฝูชางคิดว่าองค์หญิงปีศาจจะพูดว่า “ไป” หรือไม่ก็อาจจะบ่นออกมาเรื่องไม่มีของกิน ใครจะรู้ว่านางกลับถอนหายใจออกมา เขาจึงอดไม่ได้แล้วถามออกไปว่า “เป็นอะไรหรือ”
เสวียนอี่ขดร่างเป็นก้อนกลม พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงแค้นเคืองว่า “มีคนป่าเถื่อนบังคับให้ข้ากลายร่างเป็นมังกรทุกวัน แล้วยังไม่ยอมให้ดื่มให้กินไม่ยอมให้ไปไหน ข้าจะถอนหายใจบ้างก็ไม่ได้หรือ”
เสียงร้องไห้แผ่วเบาของเหยียนสยาที่อยู่บนตึกทอผ้าทำให้นางวุ่นวายใจจนต้องพลิกไปมา ตอนนั้นท่านแม่เองก็ร้องไห้อย่างนี้ทั้งวัน ภายหลัง ทุกวันสิ่งที่นางเห็นบ่อยที่สุดก็คือน้ำตาของนาง ทำไมถึงได้มีน้ำตามากมายขนาดนั้นกัน ไหลออกมาอย่างไรก็ไม่หมดสักที เสียงร้องไห้อย่างสะกดอารมณ์และแผ่วเบาทำให้นางอยากจะหลบลงไปใต้ดินสักหมื่นจั้ง
“ทำให้นางหมดสติ” เสวียนอี่กล่าวอย่างใจร้าย “นางจะได้ไม่ต้องร้องไห้อีก”
ฝูชางเขย่าปลาดุกอุยบนฝ่ามือแต่ไม่ได้กล่าวอะไร
…
วันเวลาอันปรกติสุขสิ้นสุดในคืนวันที่สาม ในช่วงสามวันของโลกมนุษย์นี้ เทพผู้ตรวจการไม่ได้มา เหล่าปีศาจก็ไม่ได้มา แต่ว่าเหยียนสยาที่รอคนรักมานานสามวันกลับรอไม่ไหวอีกต่อไป
ดึกดื่นค่ำคืน นางปีนลงมาจากตึกทอผ้า ท่าทางของนางคล่องแคล่วมาก เสวียนอี่เป่าลมหายใจออกไป เวทกักขังก็ครอบคลุมไปทั่วทั้งลานบ้าน เหยียนสยาวิ่งวนอยู่นาน แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ออกไปไม่ได้ นางทั้งตกใจทั้งไม่เข้าใจ ในใจก็ร้อนรนจนว้าวุ่น
ในใจนางเต็มไปด้วยความคิดที่จะหนีไปกับคนรักโดยไม่ได้รู้เลยว่าการกระทำของนางกำลังนำความยุ่งยากมาให้นาง
หากว่ายอมให้เหยียนสยาวิ่งเอาตัวเองไปหากับดัก ที่พวกเขาเฝ้าอยู่หลายวันนี้ก็เท่ากับเสียเวลาเปล่า จื่อตูพูดแล้วว่า เขายังมีพี่ใหญ่ไหวคอยอยู่เบื้องหลังและสั่งการเขา หากว่าเป็นปีศาจที่ร้ายกาจอย่างเทพีอูเจียงอีกจะน่าปวดหัวขนาดไหน นางเพิ่งจะรักษาขาขวาหายยังไม่อยากจะต้องเสียขาซ้ายอีก
ฝูชางซ่อนกายอยู่ในเงาไม้เงียบๆ แล้วหลับตาลงทำสมาธิ ไม่รู้ทำไมเขาพลันเกิดสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา เขาลืมตาขึ้นแล้วรู้สึกว่าลานบ้านที่เคยมีไอบริสุทธิ์มากมายพลันมีไอขุ่นมัวถาโถมเข้ามา หมอกบางค่อยๆ ปกคลุมลงมาและครอบคลุมไปกว่าครึ่งเมือง
เขาคว้าเอาปลาดุกอุยน้อยขึ้นมาแล้วลอยลงมาที่พื้น เขาได้ยินเสียงกีบม้าดังแว่วมาอย่างชัดเจนในอากาศ แล้วรถม้าที่อยู่ในสภาพกลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่งก็อ้อมกำแพงจวนเข้ามาแล้วมาหยุดที่นอกตึกทอผ้า
ต่อมาประตูก็ค่อยเปิดออก จื่อตูที่หายไปสามวันถือโคมไฟยืนอยู่บนรถ เขาหัวเราะแล้วกล่าวออกมาว่า “อาสยา ข้ามารับเจ้าแล้ว”
เขาสวมชุดชุดสีเหลืองขมิ้นทั้งตัว มือที่ถูกกระบี่ฉุนจวินตัดขาดไปแล้วนั้นงอกกลับมาดังเดิมแล้ว กลางหน้าผากห้อยไข่มุกสีแดงเพลิงเม็ดหนึ่งเอาไว้ยิ่งทำให้เขาดูหล่อเหลารูปงามยิ่งขึ้น
ในใจของฝูชางทั้งตกใจระคนประหลาดใจ เขาดีดนิ้วเบาๆ กระบี่ฉุนจวินก็พุ่งออกไป ภายในรถม้าพลันมีมือสีดำเรียวยาวคู่หนึ่งพุ่งออกมาแล้วกดบนกระบี่ของเขาไว้ จากนั้นในรถม้าก็มีเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้น “เจ็บ! นี่มันกระบี่วิเศษนี่!”
มือสีดำคู่นั้นรีบหดกลับเข้าไป ฝูชางจึงรีบขว้างกระบี่ฉุนจวินออกไปเบาๆ กระบี่วิเศษนี้วาดเป็นวงกลางอากาศหนึ่งรอบ พลันเกิดประกายแสงเยือกเย็นนับพันนับหมื่นสาย พวกมันเร็วราวกับสายฟ้า แค่พริบตาเดียวก็ทำให้รถม้ากลายเป็นฝุ่นผงไป มีเสียงร้องโหยหวนดังออกมาไม่นานแล้วหยุดลง รอบด้านเงียบสนิท
ไม่ได้มีปีศาจมาตนเดียวจริงๆ ฝูชางพลิกมือหมายจะคว้าเหยียนสยาไว้ ใครจะรู้ว่ากลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า พอหันกลับไปมองก็พบว่านางหายไปแล้ว เหลือไว้เพียงแค่ไอขุ่นมัวที่ถูกลมราตรีพัดไหววูบไปมาเท่านั้น
ซากรถม้าที่แตกเป็นเสี่ยงยังอยู่ที่เดิม กลางเศษซากยังมีปีศาจนอนจมกองเลือดอยู่หนึ่งตน มันหมดลมหายใจไปแล้ว
ในใจของฝูชางตื่นตะลึงยิ่งกว่าเดิม เขาส่งกระบี่ฉุนจวินออกไปก็แค่ชั่วเวลาดีดนิ้วเท่านั้น เวลาสั้นๆ อย่างนี้เขากลับมองไม่ชัดว่าเหยียนสยากับจื่อตูหายไปได้อย่างไร การฝึกฝนของจื่อตูก้าวหน้าขึ้น หรือว่าพี่ใหญ่ไหวอะไรนั่นทำอะไรเบื้องหลัง
เสวียนอี่ออกมาจากแขนเสื้อแล้วกระโดดขึ้นไปบนไหล่เขา นางเหยียดร่างตรงแล้วกวาดมองรอบด้าน นางเองก็มองไม่ชัดว่าเหยียนสยาหายไปได้อย่างไร เป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ได้การ ท่าทางพี่ไหวอะไรนี่จะต้องเป็นปีศาจที่ร้ายกาจสุดยอดเหมือนอย่างเทพีอูเจียงแน่นอน
นางคิดอยากจะล้มเลิก หางเพิ่งจะขยับก็ได้ยินเสียงร้องด้วยความตกใจของจื่อซีดังมาจากเหนือศีรษะ “ศิษย์น้องฝูชาง”
จากนั้นเซี่ยจื้อที่น่าเกรงขามตัวหนึ่งก็ร่อนลงมายังลานบ้าน บนหลังของมันมีเทพนั่งอยู่สองคน นอกจากจื่อซีแล้ว เซ่าอี๋เองก็อยู่ด้วย
เสวียนอี่รู้สึกราวกับมีผู้ช่วยชีวิตมาถึง มีเสียงดังฟุบ นางแปลงกลับมาเป็นร่างคน แล้วใช้ขาข้างเดียวกระโดดไปทางจื่อซี “ศิษย์พี่หญิง! ศิษย์พี่หญิง!”
จื่อซีพลันเห็นนางปรากฏตัวขึ้นมากะทันหัน ก็รีบใช้แขนประคองนางเอาไว้พร้อมกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ พวกเจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม พวกเจ้าตกลงมาที่นี่หรือ”
เสวียนอี่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร เซ่าอี๋ก็พลันถามออกมาว่า “เหยียนสยาเล่า แล้วเศษซากรถม้าบนกำแพงนั่นมันอะไรกัน”
เรื่องนี้หรือ…เสวียนอี่ถอนหายใจออกมา
จื่อซีอธิบายให้ฝูชางฟังสั้นๆ แล้วถามสถานการณ์ดู “ข้าตกลงมาใกล้ๆ กับแม่น้ำบริเวณนี้ ต่อมาไปพบกับเซ่าอี๋เข้า หงส์แดงของเขาถูกกระแสพลังฉีกทำลาย ข้าจึงเดินทางมากับเขา ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าเหยียนสยามาเกิดที่นี่ พวกเราจึงอยากจะมาดู เหยียนสยาเกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่”
หากว่าพวกเขามาเร็วกว่านี้อีกสักเค่อหนึ่งก็คงดี ฝูชางกล่าวออกไปว่า “ศิษย์พี่หญิงเหยียนสยาถูกปีศาจจับตัวไปแล้ว เมื่อครู่นี้เอง”
จื่อซีตกใจมาก เทพที่ลงมาเกิดยังโลกเบื้องล่างมักจะถูกปีศาจจับจ้อง บ้างก็อยากจะกินเลือดเนื้อ บ้างก็อยากจะหลอกให้มาประสานหยินหยางกับตน การที่เหยียนสยาไปครั้งนี้เกรงว่าจะร้ายมากกว่าดี และอาจจะมีอันตรายถึงชีวิตได้ การลงมาที่โลกเบื้องล่างครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะมาอย่างไร้ประโยชน์ วิญญาณยังเสียหายและได้รับผลกระทบอย่างหนักด้วย
“ปีศาจตนนั้นมีเศษดินแดนเทพที่ย้อมไปด้วยไอขุ่นมัว” เสียงของนางสั่นขึ้นมา นางนึกไปถึงเทพีอูเจียงทันที “นั่น…คือดินทะเลหลีเฮิ่นที่ตกลงมาตอนแผ่นดินไหว หากเป็นอย่างนี้ ในโลกเบื้องล่างไม่ใช่ว่ามีปีศาจเสื่อมทรามมากมายที่พวกเราไม่รู้อีกนับไม่ถ้วน”
ไม่ผิด น่ากลัวเกินไปแล้ว เสวียนอี่พยักหน้า “ปีศาจตนนั้นดูแล้วร้ายกาจมาก สู้พวกเรารีบกลับไปรายงานที่ประตูสวรรค์ทิศใต้ดีกว่า”
จื่อซีถอนหายใจ “ทันเวลาที่ไหน ครั้งที่แล้วกู่ถิงโชคดี ถึงได้พอเจอเข้ากับเทพเหลยเจ๋อที่มารับงานต่อเข้าพอดี ตอนนี้เรื่องทะเลหลีเฮิ่นจะต้องวุ่นวายมากเป็นแน่ ใครยังจะมีเวลาว่างพอมาสนใจพวกเรา รอให้ทหารของประตูสวรรค์ทิศใต้รวมตัวกันแล้วลงมาที่โลกเบื้องล่าง หากมีเรื่องร้ายแรงอะไรก็คงเกิดขึ้นไปหมดแล้ว”
เสวียนอี่ถอนหายใจ แล้วจะทำอย่างไรดี ให้พวกเขาสี่คนเอาชีวิตไปทิ้ง เหยียนสยาตายรอบนี้ยังกลับไปที่แดนเทพได้ แต่หากว่าพวกเขาดับสูญ นั่นต่างหากที่เรียกว่ามอดม้วยของจริง