บุหลันเคียงรัก - บทที่ 58 เวทมายาลวงวิญญาณ (ตอนต้น)
“ข้าไปเอง”
กลางฝ่ามือของเซ่าอี๋มีเพลิงหงส์อมตะปรากฏขึ้นมากลุ่มหนึ่ง เขาเป่าออกไปเบาๆ เปลวเพลิงสีแดงก็ลามไปตามถนนหนทาง ไอบริสุทธิ์เบาบางหลายสายที่หลงเหลือจากร่างของเหยียนสยาถูกเปลวไฟลามเลียจนกลายเป็นสีทองอ่อนสุกสว่างอยู่ท่ามกลางสายลม
เขามองไปยังร่องรอยของไอบริสุทธิ์แล้วยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ข้าไปเอง เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของข้าอยู่แล้ว พวกเจ้ากลับไปรายงานเรื่องที่ประตูสวรรค์ทิศใต้ เวลาชั่วประเดี๋ยวเดียวอย่างนี้ข้ายังไม่ดับสูญไปง่ายๆหรอก”
จื่อซีจ้องไปที่เขาด้วยแววตาซับซ้อน จู่ๆ ก็กัดฟันกล่าว “ข้าไปด้วย! ศิษย์น้องฝูชาง เสวียนอี่ พวกเราไปด้วยกัน! จะให้เพื่อนร่วมสำนักไปเสี่ยงอันตรายเพียงลำพังได้อย่างไร บรรดาเผ่าปีศาจของโลกเบื้องล่างอย่างปีศาจต้นไม้ดอกไม้ต้นหญ้าเหล่านี้ ยังเชี่ยวชาญเวทมายาลวงวิญญาณมากด้วย พวกเราต่างก็ยังไม่ถึงขั้นที่ต้องหลับใหลพันปีไม่รับรู้อะไร หากว่าให้ศิษย์น้องเซ่าอี๋ไปคนเดียวจะต่างอะไรกับเอาชีวิตไปทิ้ง มีแต่ต้องอาศัยหิมะของตระกูลจู๋อินมาต้านเท่านั้น”
เสวียนอี๋นวดขมับ นางรู้อยู่แล้ว…ดูท่าขาซ้ายนางคงต้องเอามาทิ้งไว้ที่โลกเบื้องล่างนี่เสียแล้ว
ฝูชางย้ายร่างของนางไปบนราชสีห์เก้าเศียร นางไม่พอใจมากและทำหน้าตึงขึ้นมา จากนั้นก็เอาผมยัดลงไปในเสื้อทั้งหมดพร้อมกล่าวเสียงเย็นว่า “หากว่าเจ้ากล้ามาตัดผมของข้า ข้าจะให้ชิงเยี่ยนมาซัดเจ้า!”
ฝูชางคุ้นชินกับความคิดหลุดกรอบของนางแล้ว เขานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ชิงเยี่ยน…องค์ชายมังกรน้อยน่ะหรือ”
“ใช่” ตอนเสวียนอี่พูดถึงชิงเยี่ยน นางก็มีท่าทางภูมิใจขึ้นมา “เขาเชี่ยวชาญเรื่องต่อยตีที่สุด”
ฝูชางก้มหน้าจ้องนาง พลันยื่นมือไปดึงผมของนางออกมาจากเสื้ออย่างไม่สนใจการทุบตีเตะต่อยของนางแล้วกล่าวเสียงเรียบ “ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องลองดูสักครั้ง”
ร่องรอยไอบริสุทธิ์สีทองจางๆ คดเคี้ยวไปมา และเบี่ยงไปทางเขาลูกหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปตามทางบนเขาอีกช่วงหนึ่งแล้วพลันหายไป
ฝูชางเงยหน้ามองเขาที่ไม่สูงนักลูกนี้ บนยอดเขามีไอขุ่นมัวมากกว่าบริเวณอื่น เขาเอ่ย “ไปดูที่ยอดเขา”
ราชสีห์เก้าเศียรและเซี่ยจื้อบินตามกันขึ้นไปบนยอดเขาอย่างรวดเร็ว และพบกับกิ่งไม้นับไม่ถ้วนรวมถึงกองหินวางระเกะระกะ มีเพียงบนต้นไหวขนาดใหญ่ต้นเดียวเท่านั้นที่ขึ้นตระหง่านอยู่ กิ่งก้านขนาดใหญ่ของมันพันไปรอบกองหินระเกะระกะนั้น ตอนนี้โลกเบื้องล่างคือฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่ว่าต้นไหวต้นนี้กลับยังคงเขียวขจี ดูแล้วน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
ฝูชางกระโดดลงมาจากหลังราชสีห์แล้วยื่นมือออกไปดู พอเขาลูบดูแล้วกลับเป็นอากาศธาตุ ปีศาจไหวตนนี้ย้ายไปจากที่นี่แล้ว ที่ตรงนี้เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น
เขากระทืบเท้าลงไปอย่างหนัก ภูเขาก็สั่นไหวขึ้นมาโดยพลัน ทันใดนั้นภาพลวงตาเบื้องหน้าก็สลายหายไป บนยอดเขาปกคลุมไปด้วยหมอกหนาทึบ บนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งมีประตูสีแดงประดับเอาไว้ ด้านบนยังตั้งชื่อไว้อย่างมีสง่าราศีว่า ถ้ำสวรรค์หรรษา ไอบริสุทธิ์สีทองจางๆ ของเหยียนสยาหมุนวนอยู่ที่ประตู
จื่อซีมาฆ่าปีศาจที่โลกเบื้องล่างนี้ครั้งแรก จึงอดที่จะรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ นางกัดริมฝีปากแล้วกล่าวถามเสียงต่ำ “บุกเข้าไปหรือ”
ดูเหมือนว่า…จะมีแต่วิธีนี้เสียแล้ว
ฝูชางวางเสวียนอี้ไว้บนฝ่ามือของจื่อซี “รบกวนศิษย์พี่หญิงดูนางเอาไว้ให้ดีด้วย”
พูดแล้วก็ดีดนิ้ว ฉุนจวินสีน้ำเงินกลายเป็นลำแสงกระบี่นับหมื่นนับพันสาย ประตูถ้ำแตกเป็นเสี่ยงดังสนั่น เขากับเซ่าอี๋พุ่งเข้าไปในประตูทางซ้ายและขวา จื่อซีแบกเสวียนอี่ตามหลังไปติดๆ ทัศนียภาพหลังบานประตูคือสิ่งก่อสร้างอันวิจิตรงดงามและโอ่อ่าหรูหรา เซ่าอี๋สะบัดชายแขนเสื้อ เพลิงหงส์อมตะพลันกลืนสิ่งก่อสร้างของเผ่าปีศาจตรงหน้าไป ความหมายก็คือ ไม่มีเสียงร้องโหยหวน และไม่มีเงาของเผ่าปีศาจใดๆทั้งนั้น ที่แห่งนี้ราวกับว่างเปล่า
ไอบริสุทธิ์ของเหยียนสยาไหลเวียนอยู่หลังประตูไม้งดงามวิจิตรบานหนึ่ง พอเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงดังลอดมาจากด้านในราวกับคนสองคนกำลังถกเถียงอะไรกันอยู่ แล้วเสียงร้องไห้ของเหยียนสยาก็ดังขึ้น “ข้าไม่อยากจะไปเจอพี่ใหญ่ไหวอะไรนั่น! จื่อตู! เจ้าบอกข้าว่าที่นี่คือบ้านของเจ้าชัดๆ!”
จื่อตูถอนหายใจ “ข้าก็แค่ปีศาจเถาวัลย์ตัวเล็กๆ ไหนเลยจะสร้างบ้านเองได้ อาสยา ข้าเองก็อยากจะเลียนแบบเทพเซียนอิจฉานกยวนยาง ครองคู่กับเจ้าไปจนแก่เฒ่า แต่ว่าข้ามันไร้ประโยชน์ จึงต้องฟังคำของพี่ใหญ่ไหว เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้าไปอยู่กับเขาห้าวัน ข้าก็จะสามารถอยู่กับเจ้าได้หนึ่งวัน หากว่าเจ้าอยากจะอยู่กับข้าก็มีแต่ต้องพยายามเอาใจเขา แล้วพวกเราถึงจะสามารถอยู่ด้วยกันได้ตราบนานเท่านาน ดีหรือไม่”
ในโลกนี้ยังมีคนที่น่าขยะแขยงและน่ารังเกียจได้ถึงเพียงนี้! จื่อซีโมโหจนตัวสั่น นางกำลังจะถีบประตูเข้าไป แต่เซ่าอี๋กลับเร็วกว่านางมาก ประตูไม้ถูกเพลิงหงส์อมตะของเขาเผาเป็นเถ้าถ่านในพริบตา ใบหน้าของเขาคล้ำลงอย่างยากจะได้เห็น เขาเหยียบเปลวเพลิงค่อยๆ เดินเข้าไปช้าๆ
ภายในห้องหรูหรางดงามนั้น เสื้อผ้าและผมเผ้าของเหยียนสยายุ่งเหยิงไปหมด นางฟุบหน้าอยู่บนเตียงร้องไห้สะอึกสะอื้น จื่อตูนั่งชันเข่าอยู่ข้างเตียงนางและโอบไหล่ปลอบนางอยู่ ทันใดนั้นเขาก็เห็นเทพกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาในห้อง สีหน้าพลันเปลี่ยนไป กำลังจะกลายเป็นเงาเตรียมจะหนี
เพลิงหงส์อมตะสีแดงก็พุ่งไปรอบบริเวณอย่างไร้สุ้มเสียง จื่อตูร้อนจนร้องโหยหวนออกมา เขาลอยตัวอยู่กลางอากาศแล้วกุมแขนที่ถูกลวกเอาไว้พร้อมหอบหายใจอย่างหนักหน่วง
เหยียนสยาตกใจกับท่าทางของเขาเป็นอันมาก “เจ้าเป็นอะไรไป”
เซ่าอี๋โบกมือ นางก็ถูกเวทดูดวิญญาณ ล้มพับลงไปกับพื้น
เทพทั้งสี่และหนึ่งปีศาจเถาวัลย์พลันตกอยู่ในความเงียบอันน่าประหลาด
จื่อซีจ้องจื่อตูเขม็ง ยิ่งมองก็ยิ่งตกใจ เขาคล้ายกับเซ่าอี๋มาก! หน้าตาก็คล้าย บุคลิกก็คล้าย แม้แต่ไข่มุกบนหน้าผากก็ยังเหมือนกัน! นางพลันรู้สึกปวดใจขึ้นมา เหยียนสยาที่โง่งม เพื่ออะไรกัน
จื่อตูชะงักไปครู่หนึ่ง แววตาค่อยๆ เผยประกายอ้อนวอนออกมาแล้วกล่าวเสียงสั่นว่า “ข้าเป็นแค่ปีศาจเถาวัลย์ตนหนึ่งเท่านั้น นี่เป็นแผนของพี่ใหญ่ไหว! ข้า ไม่ได้ทำอะไรนางทั้งนั้น! ท่านเทพได้โปรดไว้ชีวิตด้วย!”
จื่อซีเดือดดาล “พี่ใหญ่ไหวอะไร! ที่นี่มีแต่เจ้าตนเดียว! เจ้ามีโทษที่ไปจับเทพธิดาที่ลงมาเกิดยังโลกเบื้องล่าง และยังมีโทษที่ไปเข้าสายมาร ไม่ว่าความผิดข้อไหนก็พอที่จะทำให้วิญญาณเจ้าต้องสูญสลายได้ทั้งนั้น!”
จื่อตูหน้าซีดเผือดรีบกล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้! เมื่อครู่นี้ตอนที่ข้าพาเหยียนสยามาพวกเขายังอยู่เลย! จะเป็นไปได้อย่างไร?!”
เขาพูดแล้วตั้งท่าก็เหาะไปด้านนอก แต่เพลิงหงส์อมตะที่อยู่รอบด้านกลับขวางทางเขาไว้ เซ่าอี๋มองเขาแล้วหัวเราะออกมา จากนั้นก็ส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “เจ้านี่เหมือนข้าตรงไหน เสี่ยวหวั่นสยา สายตาของเจ้าไม่ดีเอาเสียเลย”
บนแดนเทพก็ชอบพอคนเลวทรามอย่างเขา พอลงมาโลกเบื้องล่างก็ยังมาชอบพอเจ้าปีศาจตาขาวนี่อีก
เขาชี้นิ้วไปด้านหน้า เพลิงหงส์อมตะของเขาก็กลืนร่างจื่อตูไป เขากรีดร้องนานประมาณชั่วเวลาจิบชาหนึ่งถ้วย[1]ถึงได้ค่อยๆ เงียบไป ร่างเขาไม่เหลือแม้แต่ขี้เถ้า
เซ่าอี๋เดินไปด้านหน้าเหยียนสยาช้าๆ เขาก้มหน้าลงไปมองอยู่นานแล้วอุ้มนางขึ้นมาเบาๆ พร้อมถอนหายใจ “ไปเถอะ ส่งนางกลับไปก่อน”
เสวียนอี่ได้ยินว่ากลับได้แล้วก็ถอนหายใจออกมาทันที รีบเอาปากแนบข้างหูจื่อซีพลางกล่าวเสียงหวานว่า “ศิษย์พี่หญิง อีกสักครู่ข้านั่งเซี่ยจื้อกับท่านได้หรือไม่”
เจ้าปีศาจน้อยนี้โกรธกับฝูชางอีกแล้ว จื่อซียิ้มออกมาอย่างจนใจ “เจ้านี่นะ โตได้แล้ว ข้าไม่อยากเข้าไปยุ่งกับการทะเลาะกันของเจ้ากับฝูชางหรอก ไม่อยากหาเรื่อง”
เสวียนอี่กลับกอดคอจื่อซีแน่น นางรู้ดีว่าจะต้องออดอ้อนแง่งอนกับนางอย่างไร นางบิดตัวราวกับขนมเกลียว “ศิษย์พี่หญิงคนดี ให้ข้าไปนั่งเซี่ยจื้อด้วยเถอะ”
จื่อซีถูกนางตื้อเข้าจนได้แต่ต้องยอมนาง “ได้ๆๆ ขี่เซี่ยจื้อ”
เหล่าเทพออกไปจากประตู เห็นเพลิงหงส์อมตะสีแดงฉานราวกับเลือดนั่นกำลังจะมอดลง บรรดาสิ่งก่อสร้างงดงามเหล่านั้นเองก็ถูกเผาจนกลายเป็นขี้เถ้าไม่เหลือซาก พวกเขากำลังจะกลับไปยังทางที่มา เสวียนอี่พลันตบไปที่บ่าของจื่อซี “เดินไปทางนี้ พวกท่านไปผิดทางแล้ว”
นางชี้ไปยังทางปิดตายด้านหลัง ที่นั่นมีแต่กำแพงที่ถูกเผาจนไหม้เกรียม
จื่อซีรู้สึกแปลกใจ “นี่คือกำแพงนะ!”
เสวียนอี่ไม่ตอบแต่กลับเป่าไอออกมา หิมะสีขาวของตระกูลจู๋อินลอยวนบนศีรษะอย่างแช่มช้า ความหนาวเย็นเสียดแทงกระดูกทำให้เทพทั้งหลายพากันตัวสั่นขึ้นมา พริบตาเดียวภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไป ทางที่นางชี้ต่างหากถึงจะเป็นทางออก
“ดูท่าแล้วปีศาจไหวอะไรนั่นคงจะถนัดเวทมายาลวงวิญญาณจริงๆ” เสวียนอี่ปั้นก้อนหิมะแล้วส่งให้พวกเขา “รีบไปเถอะ อย่าหวังว่าข้าจะทนได้นาน”
—
[1]ชั่วเวลาจิบชาหนึ่งถ้วย : หมายถึงเวลาตั้งแต่ที่น้ำชาถูกยกเข้ามาและค่อยๆ จิบจนหมด ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 15 นาที