บุหลันเคียงรัก - บทที่ 59 เวทมายาลวงวิญญาณ (ตอนปลาย)
เหล่าเทพต่างไม่กล้าอยู่นาน พวกเขามุ่งไปยังทางออกอย่างรวดเร็วดุจพายุคลั่ง ทันใดนั้นพลันได้ยินเสียงดังสนั่น ซากกำแพงบ้านถูกแหวกออกจากตรงกลางในพริบตา ด้านล่างคือหลุมใต้ดินขนาดใหญ่ที่มืดสนิทและมีเสียงลมพัดดังออกมา แสงสีเขียวของเงามายากลางฟ้าเหนือศีรษะเองก็เริ่มปริร้าว บ้านปีศาจนี้กลับเป็นของปลอมที่ใช้มายาสร้างขึ้น พอมันพังทลายลงมาถึงได้เผยลักษณะที่แท้จริง ด้านบนคือหินขนาดยักษ์ ใต้เท้าคือหลุมว่างเปล่า นับตั้งแต่ที่พวกเขาก้าวเท้าเข้ามาในบ้านแห่งนี้ก็เข้าสู่หลุมพรางแล้ว
หินขนาดใหญ่เหนือศีรษะราวกับเขาไท่ซานที่กดลงมาทำให้เหล่าเทพไร้ที่หลบหนีและต้องฝืนรับการโจมตีนี้ไป ทำให้พวกเขาถูกกระแทกเข้ามาในหลุม หินยักษ์ตกลงมาอย่างแรงและค้างปิดอยู่ด้านบนหลุมได้อย่างพอดี เสียงดังเสียดแก้วหูสะท้อนไปมาไม่ขาดสายภายในหลุมอยู่นาน
เซ่าอี๋ใช้มือคลำไปบนหินขนาดใหญ่ที่เย็นเยียบนั้นอยู่พักหนึ่ง ปากทางหลุมถูกหินขวางปิดเอาไว้โดยไม่มีแม้แต่รอยแยก ฝูชางซัดกระบี่ฉุนจวินออกไป แสงนับหมื่นนับพันสายก็กระแทกเข้าที่หินนั้นอย่างแรง บนหินมีมนตร์อักขระสีแดงโลหิตของเผ่าปีศาจอยู่เต็มไปหมด แสงสีแดงสว่างวาบออกมาทำให้รอยแยกปิดสนิทกลับมาอย่างรวดเร็ว
“สลักอักขระมนตร์เผ่าปีศาจไว้ ผ่านไปไม่ได้” เซ่าอี๋ถอนหายใจ”คงต้องดูด้านล่างแล้ว”
เหล่าเทพต่างก็ใช้พลังเทพออกมา แสงมงคลส่องสว่างจนทำให้หลุมที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมา แต่ว่าหลุมแห่งนี้ลึกถึงพันจั้ง ผนังเรียบลื่น แล้วยังสลักมนตร์อักขระเผ่าปีศาจเอาไว้เต็มไปหมด เห็นได้ชัดว่าขุดเอาไว้ก่อนแล้ว พอลงมาถึงก้นหลุมก็เห็นว่าเป็นหลุมปิดตายที่ไม่ได้ใหญ่โตนัก ที่พื้นมีกระดูกกองอยู่เต็มไปหมด ลองนับๆดูแล้วไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยโครงได้ กระดูกมีลักษณะหนาและเหลืองคล้ำ น่าจะเป็นกระดูกของมนุษย์ธรรมดา
ทุกคนต่างถอนหายใจออกมา ยังดี เจ้าปีศาจตนนี้ไม่กินเผ่าเทพ
จื่อซีอุ้มเสวียนอี่มาไว้ด้านหน้าด้วยใจที่ไม่สงบนัก เมื่อครู่นี้นางยังไม่ทันรู้ตัว หินก้อนใหญ่ก็กระแทกใส่ร่างของเสวียนอี่ไปกว่าครึ่งแล้ว นางได้ลองตรวจองค์หญิงมังกรที่อ่อนแอบอบบางดูอย่างละเอียดก็พบว่านางถูกกระแทกเข้าจนหมดสติไป เลือดกำเดาไหลอาบแก้มนาง
นางพลันกระวนกระวายขึ้นมาแล้วรีบกล่าวว่า “พวกเจ้ารีบมาดูเสวียนอี่! นางได้รับบาดเจ็บหนักหรือไม่?!”
เมื่อวาจานี้หลุดออกไป สีหน้าของฝูชางและเซ่าอี๋ก็เปลี่ยนไป ฝูชางเดินมาด้านหน้าแล้วประคองศีรษะของเสวียนอี่เอาไว้ เขาใช้ปลายนิ้วแตะจุดสำคัญต่างๆ บนกะโหลกศีรษะ แล้วเลื่อนลงไปตามไขสันหลังพร้อมค่อยๆ กดเบาๆ สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมา “…ไม่เป็นไร ไม่ได้รับบาดเจ็บ แค่ถูกแรงสั่นสะเทือนกระทบเข้าจนหมดสติไป”
เซ่าอี๋ถอนหายใจแล้วกล่าว “นางหมดสติไปต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่ ไม่มีหิมะของตระกูลจู๋อินแล้วจะทำอย่างไร ทำไมเจ้าปลาดุกอุยน้อยนี้ถึงได้บอบบางอ่อนแอเช่นนี้”
เขามักจะถูกเสวียนอี่หาว่า ‘อ่อนแอบอบบาง’ ในที่สุดวันนี้เขาก็หาโอกาสโต้กลับได้ แต่น่าเสียดายที่นางไม่ได้ยิน ตระกูลจู๋อินคนอื่นๆมีแต่คนเก่งกาจอาจหาญ มีแต่นางที่หากไม่บาดเจ็บก็หมดสติไป หากมนุษย์ได้ยินว่ามีเทพถูกหินกระแทกจนหมดสติคงได้หัวเราะจนฟันร่วงเป็นแน่
จื่อซีตำหนิตัวเองมาก “เสวียนอี่อายุยังน้อย ข้าไม่ดีเอง ข้ารู้ตัวช้าไป…”
ฝูชางรับเสวียนอี่เข้ามาในอก เลือดกำเดาที่จมูกของนางไหลออกมาพักหนึ่งก็หยุดลงเหลือไว้แค่รอยคราบเลือดกว่าครึ่งหน้า เขาเรียกฝนมาล้างหน้าให้นางแล้วสัมผัสไปตามส่วนสำคัญในร่างนางอีกครั้งเพื่อตรวจสอบให้ละเอียดว่านางมีร่องรอยบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่
เสียงที่นุ่มนวลของเซ่าอี๋พลันดังเข้ามาในหูซ้ายของเขาว่า “ศิษย์น้องฝูชาง เห็นเจ้าดูแลปลาดุกอุยน้อยแทนข้าอย่างนี้แล้ว ข้าก็วางใจได้มาก ต้องขอบคุณเจ้า”
แทนเขาอีกแล้ว?
ฝูชางเหลือบตาขึ้นมอง สบเข้ากับดวงตาที่แฝงรอยยิ้มเอาไว้ของเขา
เซ่าอี๋กล่างเสียงเบา “ภายหลังยังคงจ้องรบกวนเจ้าอีกสักระยะให้เจ้าดูแลนางแทนข้า นางสำคัญกับข้ามาก”
ฝูชางมองเขาและนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวเสียงเรียบ “ข้าไม่เคยทำเรื่องอะไรแทนใคร”
เซ่าอี๋กะพริบตา “หากพูดอย่างนี้ หรือว่าที่ศิษย์น้องฝูชางคอยดูแลนางมาตลอดทางเป็นเพราะเจ้าอยากทำเอง”
ฝูชางไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ
เซ่าอี๋กล่าวเสียงต่ำ “อย่างนี้ไม่ดีเลย เจ้าต้องเสียใจแน่”
ฝูชางขมวดคิ้วแล้วคลายออกอย่างรวดเร็ว “ข้าว่าก็ไม่แน่”
เพิ่งจะกล่าวจบหน้าอกพลันรู้สึกเย็นวาบขึ้นมา ร่างทั้งร่างของเขาสั่นสะท้าน แล้วมองไปที่เซ่าอี๋ที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขากุมกระบี่ฉุนจวินไว้ในมือแล้วแทงทะลุหัวใจเขาไปพร้อมกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “เจ้าดู จะต้องเสียใจเช่นนี้แหละ”
ฝูชางจับแขนของเขาเอาไว้แน่น พลันรู้สึกได้ถึงความเยียบเย็นเสียดกระดูกที่แผ่ไปทั่วร่าง ภาพเบื้องหน้าเปลี่ยนไปในบัดดล เขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม ฉุนจวินยังคงแขวนไว้ที่เอวของเขา เซ่าอี๋กับจื่อซีนั่งยองๆอยู่ตรงข้ามด้วยสีหน้าตกตะลึงแกมประหลาดใจ ส่วนเสวียนอี่ในอกของเขาไม่รู้ว่านางได้สติมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เกล็ดหิมะสีขาวของตระกูลจู๋อินค่อยๆตกลงมาจากเหนือศีรษะขึ้นไปสามฉื่อ นางกำลังถลึงตามองมาที่เขาอย่างมีโทสะแล้วกล่าวอย่างโมโหว่า “เจ้าบีบข้าจนเจ็บไปหมดแล้ว! ปล่อยมือ!”
ฝูชางรู้สึกงุงงงไปชั่วขณะ และยังคงตกอยู่ในภาวะตกตะลึง จากนั้นจึงพลันได้สติขึ้นมาว่าเมื่อครู่นี้เขาถูกเวทมายาเข้าให้แล้ว แต่ตัวเขากลับไม่รู้ตัวเลยว่าโดนตั้งแต่เมื่อไหร่
เสวียนอี่รู้สึกว่าบ่าของนางถูกเขาบีบไว้จนแทบจะแตกแล้ว นางเจ็บจนหน้าเขียวจึงใช้ขาเตะไปที่ร่างเขา “รีบปล่อยข้า! อย่าแตะข้า!”
ฝูชางปล่อยบ่าของนางช้าๆ ผ่านไปนานเขาจึงกล่าวเสียงต่ำว่า “…เป็นเวทมายาลวงวิญญาณที่ร้ายกาจมาก”
จื่อซีพิจารณาเขาอย่างกังวล “ศิษย์น้องฝูชาง เจ้าไม่เป็นไรนะ”
เมื่อครู่นี้เสวียนอี่ถูกหินใหญ่กระแทกเข้าจนหมดสติไป ฝูซานตรวจสอบแผลให้กับเสวียนอี่แล้วพลันนิ่งไป จากนั้นร่างทั้งร่างก็สั่นสะท้านขึ้นมาจนทำให้พวกเขาต่างตกใจกันมาก ยังดีว่าเสวียนอี่ถูกเขาบีบจนได้สติขึ้นมาและใช้หิมะของตระกูลจู๋อินออกมาได้ทันการ หิมะตกลงไปที่บ่าของเขาจนหนาสามฉื่อ แต่ว่าร่างทั้งร่างของเขากลับมีเหงื่อออกโชกไปทั้งตัวและมีใบหน้าตกตะลึง เวทมายาเมื่อครู่จะต้องร้ายกาจมากเป็นแน่
จื่อซีไม่อยากให้เขาคิดมากจึงยิ้มแล้วกล่าว “ไม่เป็นไร เสวียนอี่ได้สติแล้ว ไม่ต้องกลัวเวทมายาลวงวิญญาณนั่นอีก”
เขาเหลียวมองไปรอบๆ ก็เห็นเสวียนอี่นั่งอยู่มุมหนึ่ง นางกำลังก้มหน้าปั้นเจดีย์แก้วหิมะในมือ เจดีย์แก้วนี้นางยังปั้นไม่เสร็จทะเลหลีเฮิ่นก็พังทลายลงมาเสียก่อน ตอนลงมายังโลกเบื้องล่างก็ลงมาอย่างรุนแรงมากจนทำให้มีบางส่วนที่แตกไป ตอนนี้นางกำลังใช้หิมะมาเสริมรอยแตกของมัน
ฝูชางมองนางนิ่งๆอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงลุกขึ้นเดินไปหานาง ชุดสีขาวแผ่ไปที่พื้น เขานั่งลงข้างกายนางช้าๆแล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “…ขออภัย”
เสวียนอี่หันหน้ามาแล้วเบิกตากว้าง “แล้วอย่างไรต่อ”
เขารู้อยู่แล้วว่านางต้องมีท่าทางอย่างนี้
“ไม่มีต่อ”
เสวียนอี่ถอนหายใจออกมา ตอนนี้ที่บ่าของนางยังเจ็บอยู่ จะต้องถูกเขาบีบจนม่วงช้ำแน่ เจ้าคนป่าเถื่อนนี่ เจอเขาทีไรไม่เคยมีเรื่องดี ไหนจะท่าทางเลวร้ายเยี่ยงนี้อีก! นางยัดเจดีย์แก้วหิมะเข้าไปในแขนเสื้อแล้วลุกขึ้นเตรียมกระโดดออกไป ทันใดนั้นเขาก็กดลงมาที่บ่าของนางบริเวณที่เจ็บเมื่อครู่ นางเจ็บจนร้องสูดปากออกมา เขารีบปล่อยมือแล้วจับแขนนางพร้อมดึงนางมาอยู่ข้างกาย
จะพูดอะไร เขาเองก็ไม่รู้
ฝูชางนิ่งไปนานแล้วเอ่ยปากว่า “หิมะของตระกูลจู๋อินอยู่ได้นานเท่าไหร่”
ตอนนี้ความเป็นความตายของพวกเขาขึ้นอยู่กับนาง เสวียนอี่จ้องไปที่เขาอย่างมาดร้ายพลางกล่าวช้าๆว่า “หากว่าข้าพอใจ สิบวันก็ยังได้ แต่หากว่าไม่พอใจ แม้แต่เค่อเดียวก็ไม่ได้”
องค์หญิงมังกรราวกับไม่สามารถพูดจากับเขาดีๆได้เลย นับตั้งแต่เกาะสวรรค์ของราชาบุปผาจนถึงตอนนี้ หากว่าไม่ใช่เสียดสีเย้ยหยันก็ต้องจงใจหาเรื่อง ฝูชางยื่นมือไปกำผมของนางเอาไว้ปอยหนึ่งแล้วถามอีกรอบ “สามารถอยู่ได้นานเท่าไหร่”
เสวียนอี่พยายามดึงผมนางออกมาจากมือของเขา แต่ว่าเพราะออกแรงมากเกินไปจึงทำให้ผมขาดไปหลายเส้น นางกล่าวอย่างโมโหว่า “ของเจ้าใกล้จะไม่มีแล้ว!”
นางค่อยๆ แงะนิ้วเขาออกทีละนิ้ว พอแงะนิ้วหนึ่งได้ก็ค่อยไปแงะนิ้วที่สองต่อ กระนั้นเขากลับกำมือใหม่ นางแงะอยู่นาน ก่อนจะแหงนหน้าจ้องเขาด้วยใบหน้าถมึงทึง แววตาของฝูชางกลับมีประกายสนุกสนานแกมประสงค์ร้าย และยังมีความอ่อนโยนใกล้ชิดสนิทสนมที่ชวนให้นางขยาดราวกับงูหรือคางคกนั่นอีก
เสวียนอี่วางมือลงช้าๆแล้วหดกลับไปในแขนเสื้อพร้อมเบือนหน้าไปอีกทาง
“น่าจะได้จนถึงตอนที่ความช่วยเหลือจากแดนเทพมาถึง” เสียงของนางกลายเป็นราบเรียบ
ฝูชางกำลังจะพูดอีก แต่ในหลุมปิดตายนี้กลับมีเสียงชราแปลกหน้าดังขึ้น “มีตระกูลจู๋อินตนหนึ่ง”
ฝูชางหมุนตัวกลับไปทันที เขาคว้ากระบี่ฉุนจวิน แสงสว่างวาบขึ้น เสียงนั่นร้องขึ้นอย่างเจ็บปวด เงาสีดำที่ไม่รู้มาจากไหนถูกกระบี่ฉุนจวินปักตรึงไว้ที่ผนัง มันดิ้นรนไปมา เพลิงหงส์อมตะคลุมไปทั่วในพริบตา และกลืนกินเงาดำที่กำลังดิ้นรนนั้นไปราวกับมีชีวิต
“นี่คือปีศาจไหวหรือ” เซ่าอี๋ลูบจมูกอย่างประหลาดใจ “ดูแล้วก็ไม่ได้ร้ายกาจอะไรเลยนี่”
แล้วเขาก็เห็นเงาดำนั่นกลายเป็นกลุ่มควันกลุ่มหนึ่ง พอควันสลายออกก็ไปรวมเป็นเงาคนใหม่อีกครั้งบนอากาศ มันกล่าวเสียงเข้มว่า “ข้าไม่อยากฆ่าเทพ ทิ้งองค์หญิงเล็กของจักรพรรดิแดงเอาไว้แล้วพวกเจ้าก็ไปได้!”