บุหลันเคียงรัก - บทที่ 6 มหาเทพไป๋เจ๋อ
เทพเด็กที่กำลังเขี่ยเถ้ากำยานอยู่หยุดชะงัก ส่งเสียงหัวเราะประหลาดใจออกมา เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาว แววตาของเขาอ่อนโยนสุกใสยิ่ง ราวกับว่ามีมหาสมุทรกว้างใหญ่อยู่ในนั้น
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าคือมหาเทพไป๋เจ๋อ” เขายังคงคลางแคลงใจ
เสวียนอี่ครุ่นคิด “ข้าเดาเอา”
เดา…มหาเทพไป๋เจ๋อยิ้มออกมาอย่างลืมตัว ช่างเป็นเด็กประหลาดเสียจริง ทว่าก็ยังไม่รู้ว่านางฉลาดหรือโง่เขลาแน่
“ข้าปรากฏตัวน้อยครั้ง แม้แต่พ่อของเจ้าก็ยังไม่เคยเห็นข้า เหตุใดเจ้าจึงเดาถูก หรือว่าจะมีดวงดีอย่างมหาศาล”
เขาพูดขึ้นพลางใช้ที่เขี่ยเครื่องหอมสัมฤทธิ์เคาะเบาๆ เทพเจ้าอีกสี่องค์ที่เหลือในห้องสลายกลายเป็นควันขาว ค่อยๆ กระจายออกไป
เสวียนอี่ส่งกล่องหยกให้อย่างเคารพนอบน้อม “ขอแสดงความยินดีกับท่านมหาเทพที่สมความปรารถนาเจ้าค่ะ”
มหาเทพไป๋เจ๋อหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้ง เขาเองก็ไม่ได้สงวนท่าทีเช่นกัน รับกล่องหยกนั้นมาเปิดอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง เกล็ดมังกรในกล่องกับพลังเทพของเขาสัมผัสกันและกัน ท้ายสุดคล้ายกับมีเสียงมังกรคำรามดังขึ้น
เขาอดประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขที่ได้รับของกำนัลสูงค่านี้ เหมือนกับว่าในที่สุดนั้นก็ได้ของมีค่าชิ้นนี้ที่ประทับในความทรงจำของเหล่าทวยเทพมาครอบครอง
“ดี ดี ดี” เขาพูดคำว่า ‘ดี’ ติดกันถึงสามครั้ง เงยหน้าขึ้นมองเสวียนอี่ด้วยแววตาเป็นประกาย ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เจ้าดีมาก เกล็ดมังกรก็ดีมากเช่นกัน ความสมปรารถนาของข้าดีมากที่สุด รับเจ้าเป็นศิษย์จะเป็นไร”
ฟังอาจารย์ท่านนี้รับเป็นศิษย์อย่างไม่เต็มใจนัก ก็ดี นางก็ไม่ได้เต็มใจที่จะเป็นศิษย์เช่นกัน เชื่อว่าหลังจากนี้อาจารย์และศิษย์คงจะอยู่ดีมีสุขร่วมกันในภายหน้าแน่นอน
“ศิษย์เสวียนอี่ ขอคำนับท่านอาจารย์” นางมองเห็นถึงผลประโยชน์ ท่าคำนับอาจารย์นี้ทั้งเร็วทั้งน่ามอง
มหาเทพไป๋เจ๋อตอบ “อืม” เบาๆ เขาปิดกล่องหยกลงอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย เงยหน้าขึ้นมองผืนฟ้า “วันนี้พอแค่นี้เถอะ”
เขาปรบมือเบาๆ ห้องหนังสือทั้งหมดกลายเป็นละอองหิมะขาวโปรยปรายลงมา ภาพที่เห็นเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียวอีกครั้ง เสวียนอี่พบว่าตนอยู่ภายในตำหนักหมิงซิ่ง เทพเด็กผิวขาวคล้ายมหาเทพไป๋เจ๋อกำลังนั่งหัวเราะพลางลูบคางอยู่บนเก้าอี้ของมหาเทพ บริเวณข้างๆ นั้นมีเทพหนุ่มสาวสองคนกำลังยืนคำนับ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มองอย่างเป็นมิตรมาที่…อืม ไม่ใช่นาง ทว่ามองมายังเทพที่ยืนอยู่ข้างนาง เทพฝูชาง
เห็นได้ชัดว่า เขาผ่านการทดสอบมาแล้วแน่นอน เสวียนอี่เบ้ปากขึ้นอย่างไม่มีความสุขที่สุด
มหาเทพไป๋เจ๋อยิ้มพลางกล่าวว่า “ผ่านมาหลายหมื่นปียังไม่มีความจำเป็นต้องรับศิษย์ซักคน คิดไม่ถึงว่าวันนี้ได้รับศิษย์เข้ามาถึงสองคน มิน่าเล่าเช้าวันนี้นกการเวกบนกิ่งไม้ถึงขานขึ้นสามครั้ง กลับมีลางดีมานี่เอง ไท่เหยา จื่อซี เข้าดูสิ ศิษย์น้องชายคนหญิงคน เป็นอย่างไร”
เทพไท่เหยาท่าทางเคร่งครัดระเบียบที่อยู่ฝั่งซ้ายของเขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เมื่อครู่ข้าเห็นหน่วยก้านของศิษย์น้องฝูชางและศิษย์น้องเสวียนอี่แล้ว ศิษย์น้องฝูชางดูกระฉับกระเฉง คล่องแคล่วดี ส่วนศิษย์น้องเสวียนอี่…ก็ไม่เลวเช่นกัน ข้าคิดว่าที่ท่านอาจารย์รับทั้งสองเป็นศิษย์นั้น เหมาะสมที่สุด”
เขาเอ่ยว่าศิษย์น้องทั้งสอง เป็นอันแน่นอนแล้วว่า ทั้งสองได้รับการยอมรับเป็นศิษย์ใหม่
ฝูชางจู่ๆ ได้ทำสิ่งที่ไม่คาดถึง เขาก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่ง ยกมือกุมประสานไว้เบื้องหน้า พูดเสียงต่ำ “ท่านมหาเทพโปรดพิจารณาอีกครั้ง ข้าน้อยมิบังอาจ แต่ว่าข้าน้อยเกรงว่าจะมีคุณสมบัติไม่พอที่จะเข้ามาเป็นศิษย์ท่านมหาเทพ หวังว่าท่านจะไตร่ตรองอีกครั้ง”
น้ำเสียงของเขาแม้อ่อนน้อมถ่อมตนทว่าราบเรียบ คารวะอีกครั้ง ก่อนจะหมุนตัวตั้งท่าจะจากไป
มหาเทพไป๋เจ๋อพูดอย่างประหลาดใจ “เจ้าผ่านการทดสอบแล้วกลับต้องการไปอย่างนั้นรึ ได้ยินมาว่าเจ้ากับกู่ถิงมีความสัมพันธ์เหนียวแน่นต่อกันมาแต่เล็กแต่น้อย เขาได้เป็นศิษย์ของที่นี่ เจ้าน่าจะรู้ว่าเมื่อเร็วๆ นี้เขาได้แนะนำเจ้าให้แก่ข้ากระมัง เจ้ามาวันนี้ เกรงว่าคงเพราะรับไมตรีจากเขา หากว่าต้องการไปเช่นนี้แล้ว ข้าควรทำเยี่ยงไรดี”
ฝูชางนิ่งเงียบ เทพธิดาเบื้องขวาของมหาเทพไป๋เจ๋อก้าวขึ้นมาอย่างสำรวม “ท่านอาจารย์ ศิษย์เข้าใจอะไรบางอย่างแล้วเจ้าค่ะ”
“จื่อฉี ลองพูดมาสิ”
เทพธิดาจื่อซีตอบรับพลางหันมา กิริยาล่องลอยอ่อนช้อย สวยสง่างามอย่างยากจะลืม
ดวงใสราวกับสายน้ำนั้นของนางมองเสวียนอี่ปราดหนึ่ง ก่อนพูดขึ้นว่า “อาจารย์ ศิษย์คิดว่าท่านทดสอบองค์หญิงเสวียนอี่ง่ายเกินไป ศิษย์เขลานัก มิกล้าปักใจเชื่อได้ นอกจากนั้น ศิษย์ยังสงสัยเรื่องที่องค์หญิงเสวียนอี่เข้ามาเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ได้ด้วย”
นางรักษามารยาทอย่างที่สุด หันกลับมาก่อนจะคำนับองค์หญิงเสวียนอี่ “ข้ามีบางอย่างที่จำเป็นต้องพูด ขอองค์หญิงอย่าได้คิดว่าเป็นเรื่องแปลก การปะทะกันก่อนหน้านี้ขององค์หญิงกับศิษย์น้องฝูชางที่หน้าประตูนั้นข้าได้เห็นแล้ว แล้วต้นเหตุของเรื่องนี้ ก็มาจากเมื่อไม่กี่วันก่อนในอุทยานของราชาบุปผา องค์หญิงใช้อำนาจบีบบังคับเทพฝูชาง จากนั้นก็กล่าววาจาทำร้ายจิตใจ ทำให้ท่านเทพโกรธจนเดินหนีไป นี่เป็นต้นเหตุข้อพิพาทในคราแรก องค์หญิงทรงลืมไปแล้วหรือ การเลือกศิษย์ของท่านอาจารย์นั้นให้ความสำคัญกับลักษณะนิสัยและคุณสมบัติมาก องค์หญิงวาจาเชือดเฉือน ไม่รักษาน้ำใจคน ข้าว่าองค์หญิงไม่เหมาะสมที่จะเข้าสำนัก”
ดวงตาที่ลูกตาดำขาวตัดกันชัดเจนของเสวียนอี่จ้องหน้านางอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ถามขึ้น “ขอถามหน่อยว่า เจ้าเป็นใครกัน”
ดวงหน้าอันงดงามของเทพธิดาจื่อซีปรากฏแววเก้อกระดากพาดผ่าน รีบตอบว่า “ข้าเป็นกลุ่มดาวที่สว่างที่สุดของดาวราศีสิงห์ อยู่ในตระกูลสยง ข้ามีนามว่าจื่อซี อาจารย์รับข้าเป็นศิษย์เมื่อเก้าหมื่นปีก่อน”
เสวียนอี่ยิ้มละไม พูดเสียงอ่อน “ขอบคุณศิษย์พี่จื่อซีที่สอนข้า เสวียนอี่จะจำให้ขึ้นใจ”
เมื่อเทพธิดาจื่อซีถูกเรียกว่า ‘ศิษย์พี่’ หัวคิ้วนางขมวดแน่น “ข้ายังไม่ยอมรับว่าเจ้าเป็นศิษย์น้องสักหน่อย ที่ข้าบอกว่าเจ้ามีวาจาเชือดเฉือน ไม่รักษาน้ำใจคน ผิดตรงไหนหรือ”
เสวียนอี่เอ่ย “ศิษย์พี่พูดจาหลักแหลมนัก พูดได้มีเหตุผลมาก จนข้าไม่มีอะไรจะโต้แย้ง”
จื่อซีสีหน้าหมองคล้ำลง หันกลับไปมองมหาเทพไป๋เจ๋อ “ที่อาจารย์ทดสอบองค์หญิงเมื่อครู่นี้ ศิษย์ไม่อาจยอมรับได้อย่างเต็มใจ เป็นการพิจารณาอย่างสะเพร่า ไม่ถูกต้อง พออาจารย์ถามขึ้นก็ตอบไม่ได้จึงตอบมาว่าเดา ฝีมือการใช้กระบี่เมื่อเทียบกับเทพฝูชางแล้วก็แตกต่างราวฟ้ากับดิน ทำเหมือนเด็กเล่น หากอยู่สำนักเดียวกับนาง ศิษย์รู้สึกไม่สบายใจ ท่านรับนางเข้ามาแบบนี้ นางจะเชื่อฟังได้อย่างไร”
ใบหน้าขาวเนียนของมหาเทพไป๋เจ๋อประดับด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา มองนางครู่หนึ่ง มองเสวียนอี่ครู่หนึ่ง ทำราวกับว่าเบื้องหน้ามีเหตุการณ์สนุกสนาน ไท่เหยาผู้อยู่ด้านข้างไม่สามารถทนดูต่อไปได้ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นเบาๆ “ท่านอาจารย์ ที่ศิษย์น้องจื่อซีพูดนั้นก็มีเหตุผลไม่น้อย เรื่องนี้ท่านอาจารย์โปรดไตร่ตรองอีกครั้งได้หรือไม่”
มหาเทพไป๋เจ๋อผู้พิถีพิถันเรื่อง “ความเมตตา” “ความสง่า” “ปัญญา” ลูกศิษย์ทั้งหมดที่รับมาล้วนมีความเมตตา มีสติปัญญาชาญฉลาด และกิริยาสง่างาม หากแต่องค์หญิงไม่รู้ที่ต่ำที่สูงองค์นี้กลับไม่เข้ากับคุณสมบัติเหล่านั้นสักนิด ยิ่งไปกว่านั้นถ้านางเสียฝูชางไป เกรงว่ากู่ถิงจะไม่พอใจอย่างมาก
มหาเทพไป๋เจ๋อขมวดคิ้วขึ้นมา “แต่ว่าข้ารับของกำนัลสำคัญจากมหาเทพจงชานแล้ว ถึงอย่างไรก็คืนกลับไปไม่ได้ ทำเยี่ยงไรดี เสวียนอี่ บอกกับศิษย์พี่ของเจ้าอีกทีซิว่าเจ้าเดาว่าเป็นข้าได้อย่างไร จึงทำให้ข้ารับเกล็ดมังกรนี้ได้”
เอาอีกแล้ว! นิสัยชอบพูดเป็นนัยแบบนี้! พูดไปพูดมาก็คือเพราะเสียดายเกล็ดมังกรแห่งตระกูลจู๋อินนั่นแหละ!
เทพธิดาจื่อฉีผู้ยืนกรานมาตั้งแต่แรก ตอนนี้ยกมือกอดอกพลางพูดเสียงต่ำ “ท่านอาจารย์เคยสอนพวกเราว่าบางอย่างก็คุ้มที่จะทำ บางอย่างก็คุ้มที่จะไม่ทำ เหตุเพราะของมีค่าชิ้นนี้ ท่านอาจารย์ถึงกับลืมคติข้อนั้น แล้วยังทำให้เหล่าศิษย์ผิดหวังอีกหรือเจ้าคะ”
คำพูดนี้แรงเกินไปแล้ว ไท่เหยากระตุกแขนเสื้อนางเบาๆ จื่อซีกลับไม่สนใจ
เสวียนอี่หัวเราะขึ้นมาทันที พูดกู้ศักดิ์ศรีตนขึ้น “พอข้าเข้าไปในห้องหนังสือ มีเพียงท่านอาจารย์ที่ไม่สนใจข้า ส่วนเทพอีกสี่ท่านล้วนแต่เป็นภาพที่จิตท่านอาจารย์สร้างขึ้น เป็นธรรมดาที่จะสะท้อนให้เห็นถึงจิตของท่าน นี่คือสิ่งที่ท่านไม่สามารถบังคับได้ ในมือข้าถือกล่องหยกอยู่ เป็นของมีค่าที่อาจารย์ตั้งตารอคอยมาเนิ่นนาน ต่อให้เขาไม่มองข้า จิตของท่านก็ยังอดชำเลืองมองข้าแวบหนึ่งไม่ได้ ดังนั้นจึงถูกข้าจับได้”
คาดไม่ถึงว่านางจะสามารถพูดเป็นเหตุเป็นผลได้เยี่ยงนี้ แล้วยังพูดอย่างเข้าใจถ่องแท้ แม้แต่ตัวมหาเทพไป๋เจ๋อเองยังมองอย่างประหลาดใจ “จริงรึ”
“ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง อาจารย์อยากฟังหรือไม่”
“พูดต่อไป”
เสวียนอี่พูดเรียบๆ “ข้ามองท่านเขี่ยเถ้ากำยานไปมา แต่เครื่องหอมในนั้นกลับไม่ถูกเปลี่ยนสักนิด ข้าเดาว่าท่านเปลี่ยนไม่เป็น ดังนั้นเลยได้แต่หาเรื่องใช้แท่งสัมฤทธิ์เขี่ยเถ้าเครื่องหอมไปมาเท่านั้น”
มหาเทพไป๋เจ๋อหัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนจะเหลือบมองนางเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว ไม่รู้ว่าคิดถึงใครขึ้นมา จึงถอนใจ “ฉลาดแกมหยิ่งแบบนี้ ถึงทำให้คนทั้งรักทั้งเกลียดไม่ลง ช่างคล้ายกันมากนัก”
เขาลุกขึ้นสะบัดชายแขนเสื้อ ร้องว่า “ไท่เหยา บันทึกชื่อศิษย์ใหม่ทั้งสองนี้ลงไป พรุ่งนี้พาไปส่งที่ตำหนักเหวินหวา”
อาจารย์ไม่รอฟังคำคัดค้านอีกครั้งของฝูชาง จัดการเรื่องนี้อย่างรวดเร็วฉับไว ไท่เหยาผู้อยู่ข้างๆ ตอบรับอย่างนอบน้อมทันที ลอบมองฝูชางพลางยิ้มปลอบโยน
“ฝูชาง เสวียนอี่ สามวันหลังจากนี้มาพบกันที่ตำหนักหมิงซิ่งอีกครั้ง มารวมตัวในฐานะศิษย์สำนักเดียวกัน ต้องปฏิญาณตนร่วมกัน ออกไปได้แล้ว”
เหล่าศิษย์ทยอยกันคำนับลาอาจารย์ มหาเทพไป๋เจ๋อจู่ๆ ก็เรียกเสวียนอี่ “เจ้ารอสักครู่”
เสวียนอี่หันไปมองเขาอย่างผู้บริสุทธิ์ หรือว่าต้องการเตือนอะไรนางอีก
มหาเทพไป๋เจ๋อรอจนกระทั่งตำหนักหมิงซิ่งว่างเปล่า จึงพูดเสียงต่ำว่า “เจ้า…นิสัยแบบนี้..”
พูดเพียงเท่านั้น กลับหยุดลง ไม่รู้ว่าคิดอะไรขึ้นมาอีก ใบหน้าเต็มไปด้วยความทอดถอนใจ “นิสัยแบบนี้ของเจ้าช่างคล้าย…ช่างเถอะ อย่าพูดเรื่องเหล่านี้เลย เสวียนอี่ ข้าขอพูดเกี่ยวกับเจ้าสักอย่าง”
เสวียนอี่โค้งตัวตามมารยาท “ศิษย์ล้างหูเต็มใจรับฟังแล้วเจ้าค่ะ”
“เจ้ามีความคิดชาญฉลาด มีสติปัญญาโดดเด่น ทว่าหยิ่งยโสนัก ยึดมั่นถือมั่นในตน สองอย่างแรกเป็นข้อดี สองอย่างหลังเป็นข้อเสีย ในความรอบคอบที่สุดย่อมมีข้อที่ถูกละเลยได้ ให้เอาใจใส่ระมัดระวังความละเลยนี้ มิเช่นนั้นเจ้าอาจถึงแก่ความตายได้”
เสวียนอี่กะพริบตา “คำพูดอาจารย์ยากต่อการเข้าใจนัก ศิษย์ไม่ค่อยเข้าใจนักเจ้าค่ะ”
มหาเทพไป๋เจ๋อกลับพูดยิ้มๆ “แล้วก็เป็นเด็กแกล้งโง่จนชิน เจ้าจำได้ก็ดีแล้ว ไปเถอะ”