บุหลันเคียงรัก - บทที่ 64 เทียบเชิญเทพบูรพา
ที่ทะเลหลีเฮิ่นทลายลงไปในครั้งนี้ มีเทพทั้งหมดสามร้อยยี่สิบแปดที่เคราะห์ร้าย เสวียนอี่กลับถึงเขาจงซานได้สามวัน รายชื่อเทพที่ดับสูญถึงได้แน่ชัด ยอดเทพผู้เคราะห์ร้ายและดับสูญในภัยหายนะครั้งนี้มีทั้งหมดห้าสิบเก้าคน จำนวนมากในนั้นดับสูญเพราะถูกแรงปะทะเสียดสีกันของไอขุ่นมัวและไอบริสุทธิ์ฉีกร่าง อีกส่วนน้อยในนั้นลงไปเจอกับปีศาจที่เข้าสายมารของโลกเบื้องล่างเข้า ทำให้สู้ไม่ได้และต้องดับสูญไป
ที่เคราะห์ร้ายที่สุดคิดว่าน่าจะเป็นมหาเทพหลีจู เขาคือมหาเทพคนเดียวที่ดับสูญไปในภัยครั้งนี้ เขากับศิษย์อีกสองคนเคราะห์ร้ายตกลงบริเวณใกล้กับทะเลหลีเฮิ่น กว่ารัชทายาทฉางฉินจะพาทหารมาถึงทางเหนือสุดของโลกเบื้องล่างและหาทะเลหลีเฮิ่นเจอ ร่างของพวกเขาก็ถูกมือของฝางเฟิงซื่อตบจนเละไปแล้ว
เพราะมีเทพจำนวนมากต้องดับสูญไปทำให้บรรยากาศในแดนเทพอึมครึมยิ่งนัก ในจำนวนเหล่าคนผู้ที่เสียใจที่สุดคิดว่าน่าจะคือมหาเทพจูเซวียน จวนจูเซวียนอวี้หยางของเขาพังทลายกลายเป็นเศษซาก ไม่มีทางที่จะฟื้นฟูกลับมาได้อย่างแน่นอน ของล้ำค่าที่สะสมมาหลายต่อหลายรุ่นก็เสียหายหมด ถึงแม้ว่าเล็บขององค์ราชาชือโหยวกับหัวกะโหลกขององค์ราชาก้งกงจะถูกมหาเทพไป๋เจ๋อแย่งชิงเอาไปต่อหน้าต่อตา แต่ว่าเสียเจดีย์แก้วมรกตไป เขาเองก็เก็บของทั้งสองอย่างเอาไว้ไม่ได้ จึงได้แต่ต้องยอมส่งให้กับวังสวรรค์แต่โดยดี และให้เจดีย์แก้วของวังสวรรค์กดพวกมันไว้
ลูกธนูโฮ่วอี้ที่เขาใช้ไอบริสุทธิ์หล่อเลี้ยงมานานหลายปีกับหินที่มีวิญญาณชิ้นนั้นเขากลับรักษาเอาไว้ไม่ได้ พวกมันทั้งสองเองก็หายไปยังโลกเบื้องล่าง จนทำให้ตอนนี้ ไม่ว่าเขาเจอกับเทพคนไหนก็เป็นต้องร้องไห้เสียงดังและระบายความโศกเศร้าที่เขาประสบมาให้ฟัง
แน่นอนว่า หากว่าเขารู้ว่า อีกหลายปีต่อมาหินวิญญาณที่ตกลงไปโลกเบื้องล่างชิ้นนั้นจะให้กำเนิดลิงกับกระบองเหล็กอันหนึ่งที่ทำให้แผ่นดินต้องสั่นสะเทือนและแดนเทพวุ่นวายกันอย่างอลหม่านขึ้นมา ก็ไม่รู้ว่าเขาจะคิดอย่างไร เรื่องหลังจากนี้ขอยังไม่กล่าวถึง
เทียบกับเหล่าเทพจำนวนมากที่ตกใจเสียขวัญแล้ว ผู้ที่โชคดีที่สุดก็คือเทพีวั่งซูและเทพเฟยเหลียน วันนั้นพอนางเอาพิษปีศาจออกมาจากร่างของเสวียนอี่ที่จวนอวี้หยางแล้ว พวกเขาทั้งสองก็รีบจากไป ทำให้ไม่ต้องเจอกับภัยพิบัตินี้และรอดไปได้อย่างโชคดี
“ตอนนี้แน่ใจแล้วว่า ทะเลหลีเฮิ่นตกลงไปยังเขตเหนือสุดของโลกเบื้องล่าง ที่นั่นมีอาณาเขตกว้างขวางและมีผู้คนอาศัยอยู่น้อย ทำให้ไม่เกิดเรื่องร้ายแรงมากนัก ถือว่าโชคดีมาก ได้ยินว่าที่นั่นมีทหารถึงห้าร้อยนายผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเฝ้าที่โลกเบื้องล่างทุกวัน ตอนนี้ยังไม่พบเรื่องผิดปกติอะไรที่ทะเลหลีเฮิ่น มือของฝางเฟิงซื่อทั้งสองข้างนั้นก็ถูกรัชทายาทฉางฉินนำกลับไปที่แดนเทพแล้ว นำไปไว้ที่ตำหนักหมื่นเทพและให้เหล่ามหาเทพตรวจสอบอย่างละเอียด เชื่อว่าอีกไม่กี่วันก็น่าจะรู้ผล”
ฉีหนานกล่าวรายงานข่าวสารที่ตนไปรวบรวมมา องค์หญิงมังกรน้อยตรงหน้าเขากลับคายเม็ดบ๊วยออกมาจากปากด้วยท่าทีที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก “ฉีหนาน ท่านมาบอกเรื่องพวกนี้ให้ข้าฟังทำไม”
ฉีหนานร้อนรน “ภายนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นองค์หญิงจะไม่สนใจได้อย่างไร ทุกวันนี้โลกเบื้องล่างอันตรายมาก เผ่าปีศาจที่เข้าสายมารก็เพิ่มขึ้นทุกวันจนนับไม่ถ้วน ที่ประตูสวรรค์ทิศใต้กับกระจกชางเซิงไม่อนุญาตให้เผ่าเทพลงไปโลกเบื้องล่างแล้ว”
เสวียนอี่มองไปที่เขาอย่างงุนงง “แล้ว?”
เอ่อ แล้ว? เขาลืมไปได้อย่างไรกันว่า ความเคยชินที่ไม่ดีอย่างหนึ่งขององค์หญิงคือ หากองค์หญิงได้อยู่ที่บ้านล่ะก็ จะไม่มีทางยอมออกไปไหน คำเตือนไม่ให้นางลงไปวุ่นวายที่โลกเบื้องล่างช่างเป็นคำพูดที่ไร้ประโยชน์เสียจริง
“ไม่มีอะไร องค์หญิงเป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว” ฉีหนานยิ้มแห้งๆ
เสวียนอี่ปิดหนังสือในมือ นางอ่านหนังสือมาตลอดทั้งช่วงเช้าแล้ว ชักจะเริ่มเบื่อ “ข้าจะไปเล่นกับชิงเยี่ยน”
ฉีหนานนึกขึ้นได้ว่ายังพูดกับองค์หญิงไม่จบ จึงรีบขวางเทพรับใช้ที่ยกเอาเตียงสานเข้ามาไว้ก่อน “ข้ามีเรื่องต้องถามองค์หญิง ครั้งที่แล้วองค์หญิงลงไปโลกเบื้องล่างและถูกปีศาจปลาดุกทำร้ายเข้าที่ขาขวา ดีที่เทพีวั่งซูไม่เก็บเอาเรื่องแต่ก่อนมาคิดแล้วช่วยเอาพิษปีศาจออกมาจากร่างขององค์หญิง กำจัดต้นตอของอาการไป มหาเทพได้เตรียมของขวัญจำนวนมากส่งไปที่ตำหนักวั่งซูแต่กลับถูกส่งกลับมา เทพีวั่งซูกล่าวแค่ หวังว่าองค์หญิงจะจำที่นางพูดกับองค์หญิงที่จวนอวี้หยางได้ นางพูดอะไรกับองค์หญิงกันแน่ นางมีเงื่อนไขอะไร”
เสวียนอี๋นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็นึกขึ้นได้ “นางหวังว่า เมื่อข้าอายุครบห้าหมื่นปีแล้วจะไปรับตำแหน่งเทพีวั่งซูแทนนาง”
ฉีหนานทั้งตกใจทั้งดีใจ “จริงหรือ องค์หญิงดำรงตำแหน่งวั่งซู นับว่าเหมาะสมมาก!”
เสวียนอี่ขมวดคิ้ว “หากเป็นวั่งซู ทุกวันได้แต่อาศัยแสงจันทร์ไปๆ มาๆ และยังต้องไปทำงานร่วมกับเทพเฟยเหลียนนั่นอีก ข้าไม่เอาด้วยหรอก”
“แต่ข้าคิดว่าไม่เลว”
เสียงของชิงเยี่ยนดังมาจากด้านนอก วันนี้เขาเปลี่ยนเป็นชุดสีขาวทั้งตัว และเดินมาด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย หากมองแค่แวบเดียวกลับรู้สึกว่าเขาคล้ายกับฝูชาง แต่ก่อนเสวียนอี่ไม่ได้มีอคติกับสีขาว แต่นับตั้งแต่ที่นางได้รู้จักกับฝูชาง นางก็มักจะมองเทพที่สวมชุดขาวทุกคนอย่างไม่ชอบใจขึ้นมา พอเห็นว่าชิงเยี่ยนเองก็สวมแบบเดียวกัน นางจึงยิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้นพร้อมกับแสดงสีหน้ารังเกียจออกมา
“ทำหน้าอะไร” ชิงเยี่ยนจิ้มไปที่หน้าผากของนางทีหนึ่งแล้วค้อมเอวลงนั่งบนเตียงสาน เขาพลิกหนังสือของนางไปพูดไปว่า “เจ้าขี้เกียจมาตลอด บอกให้เจ้าเรียนวิชาฝึกฝีมือไว้บ้าง เจ้าก็หาว่าเป็นการกระทำของคนป่าเถื่อน อีกหน่อยหากอายุครบห้าหมื่นปี นักรบเจ้าไม่ต้องคิดเลย แต่หากจะเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น เจ้าก็นิสัยเสียไปแล้ว เกรงว่าคงไปล่วงเกินคนไม่น้อย รับตำแหน่งเป็นวั่งซูถือว่าเหมาะสมดีแล้ว มีเวลาว่างทุกวัน และยังเงียบสงบ ไม่ต้องคอยมองสีหน้าใคร”
แปลกจริง ได้ยินเขาพูดอย่างนี้ พลันรู้สึกว่าไม่เลวขึ้นมา เสวียนอี่กล่าวอย่างสงสัย “แล้วชิงเยี่ยนเล่าหากพี่อายุห้าหมื่นปีแล้วพี่จะเป็นเทพตำแหน่งไหน จะเป็นนักรบหรือ”
ชิงเยี่ยนไม่ได้ตอบ เป็นฉีหนานที่ชิงตอบว่า “วันหน้า องค์ชายน้อยต้องรับสืบทอดตำแหน่งต่อจากมหาเทพจงซาน แต่ว่าต้องไปเป็นนักรบก่อนสองแสนปี”
เสวียนอี่ยิ้มแล้วกล่าว “แล้วหากว่าข้าเองก็อยากเป็นมหาเทพจงซานล่ะ”
ชิงเยี่ยนมองเยาะหยันนาง “เจ้า หากว่าเจ้าเป็นมหาเทพ ชื่อเสียงของตระกูลจู๋อินคงถูกเจ้าทำลายหมดแน่”
ฉีหนานถอนหายใจ “องค์หญิงอายุได้แค่สองร้อยปีก็มีร่างมนุษย์แล้ว ตอนนั้นยังหวังว่าวันหน้าองค์หญิงจะต้องประสบความสำเร็จ และแสดงพลังที่น่าเกรงขามของเทพมังกรจู๋อินได้แน่ แต่น่าเสียดาย….ทำไมองค์หญิงถึงได้กลายเป็นอย่างนี้ไปได้หนอ”
เขาพูดออกมาเป็นตุเป็นตะ เสวียนอี่ถูกเขายั่วโมโหนจนยิ้มออกมา กำลังจะเถียงกับเขาสักหน่อย ด้านนอกพลันมีเสียงรายงานของเทพขุนนางดังขึ้นว่า “ท่านฉีหนาน มีจดหมายมาขอรับ”
ฉีหนานไม่ได้คุยเล่นหัวเราะกับพวกเขาสองพี่น้องนานแล้ว ตอนนี้เขาไม่อยากจะไปจัดการงานจึงกล่าวว่า “จดหมายอะไร ถ้าไม่สำคัญก็วางเอาไว้ก่อนเถอะ”
“เป็นเทียบเชิญ”
เขาไม่สนใจเทียบเชิญ นับตั้งแต่ที่มหาเทพไปกวาดล้างทำลายเผ่าถงซาน ก็อยู่แต่ในตำหนักฉางเซิงไม่ยอมออกไปไหน ไม่ว่าเทียบเชิญอะไรก็ส่งกลับไปทุกใบ
“เป็นเทียบเชิญของเทพบูรพา”
ฉีหนานพลันผุดลุกขึ้นยืน “เข้ามาได้!”
ที่เทพีวั่งซูยอมรักษาพิษให้กับองค์หญิงก็เพราะเทพบูรพาออกหน้าให้ น้ำใจนี้เขากำลังคิดอยู่เลยว่าควรจะตอบแทนอย่างไร องค์หญิงกับเทพฝูชางก็เอาแต่กวนประสาทกัน ทะเลาะกันอยู่คลอด เขาร้อนใจกังวลใจกับแม่คุณทูนหัวคนนี้จะแย่แล้ว
ไม่นานจดหมายก็ถูกส่งเข้ามา มันคือกระดาษสี่เหลี่ยมจัตุรัสแผ่นหนึ่ง ซองจดหมายเป็นสีแดง ตัวอักษรบนนั้นเขียนเอาไว้อย่างเรียบร้อยและเป็นระเบียบว่า “องค์หญิงเสวียนอี่ที่เคารพ”
ฉีหนานประหลาดใจมาก กลับเป็นจดหมายถึงองค์หญิง นี่ถือเป็นครั้งแรก หรือว่าจะเป็นเทพฝูชาง…หัวใจที่ร้อนรนตั้งแต่เมื่อหลายหมื่นปีก่อนของเขาเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่กล้าฉีกซองออก จึงประคองด้วยสองมือแล้วส่งให้เสวียนอี่ “องค์หญิง เทพบูรพาส่งเทียบเชิญให้องค์หญิง”
เสวียนอี่ฉีกซองจดหมายออกอย่างมึนงง ร่องรอยน้ำหมึกเขียนลงบนกระดาษยาวหลายบรรทัด นางอ่านด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ฉีหนานตื่นเต้นและแอบหวังขึ้นมา อยากจะแอบดูตาก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม สุดท้ายเป็นชิงเยี่ยนที่ยื่นหน้าเข้าไปดูแล้วกล่าวว่า “อ้อ วิถีกระบี่ของเทพฝูชางตระกูลหวาซวีตื่นแล้ว จึงได้ส่งเทียบเชิญมา หลังจากนี้สองวันในยามอู่ [1] ขอต้อนรับผู้มีเกียรติที่เขาไท่ซาน”
เขายิ้มแล้วกล่าวอีกว่า “ที่แท้ ปราณกระบี่จำแลงมังกรวันนั้นก็คือการตื่นของวิถีกระบี่ตระกูลหวาซวี ถือเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ”
ฉีหนานตื่นเต้นจนมือทั้งสองสั่น เขารู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ได้มองเทพฝูชางผิด! วิถีกระบี่ของเทพบูรพาตื่นตอนอายุได้ห้าหมื่นปี! แต่เทพฝูชางเพิ่งจะมีอายุได้แค่สามหมื่นปีเท่านั้นเอง! จะให้ของขวัญอะไรดี เขาต้องไปเตรียมของขวัญใหญ่เสียแล้ว! ให้ไข่มุกทะเลตะวันตกดีไหมนะ หรือว่าจะให้วิญญาณเพลิงสวรรค์ของสุดเขตแดนตะวันออก
เสวียนอี่พลันถอนหายใจออกมา ฉีหนานมองไปที่นางก็เห็นนางขมวดคิ้วและกำลังอ้าปาก เขาไม่รอให้นางเอ่ยอะไรออกมาแล้วรีบกล่าวทันทีว่า “ห้ามพูดว่าจะไม่ไป!”
เสวียนอี่ถูกเขาตำหนิน้อยครั้งนัก จึงได้แต่กลืนคำที่อยากจะพูดลงไปแล้วพยักหน้า “ข้าไปช้าไป”
นางมองไปที่ชิงเยี่ยนอย่างขอความช่วยเหลือแล้วกอดแขนเขาเอาไว้ “ท่านพี่ไปเป็นเพื่อนข้านะ”
ชิงเยี่ยนยิ้มแล้วจิ้มไปที่หน้าผากของนาง เขามักจะทำอย่างนี้กับนางตลอด “เจ้าไปเอง ข้าต้องกลับไปเทียนเป่ยแล้ว”
—
[1] ยามอู่ ช่วงเวลาตั้งแต่ 11.00 น.- 12.59 น.