บุหลันเคียงรัก - บทที่ 65 ยอดเขาไท่ซาน
คราวนี้ ไม่เพียงแต่เสวียนอี่เท่านั้น แม้แต่ฉีหนานที่กำลังตื่นเต้นจนตัวสั่นยังชะงักไป
“กลับเทียนเป่ยเร็วขนาดนี้เชียว” เสวียนอี่พึมพำ “มหาเทพเสวียนหมิงคนนั้นมีอะไรดี เทียนเป่ยก็ไกลออกขนาดนั้น ท่านพี่ก็อยู่ต่ออีกหน่อยค่อยไปเถอะ”
ฉีหนานกล่าวเตือนว่า “องค์ชายมังกรน้อยเพิ่งจะกลับมาได้แค่สามวัน อยู่ต่อเป็นเพื่อนองค์หญิงต่ออีกสักหน่อยเถอะ”
องค์ชายน้อยไม่อยู่ที่เขาจงซาน รอยยิ้มบนใบหน้าองค์หญิงน้อยลงไปมาก พอฮูหยินดับสูญไปแล้ว มหาเทพก็กักขังตัวอยู่ในตำหนักฉางเซิงและไม่สนเรื่องราวภายนอกอีก ต่อให้เขาพยายามทุ่มเทดูแลเด็กทั้งสองอย่างดีแล้ว แต่ว่าก็ยังไม่สามารถทดแทนพ่อแม่ได้ เขาจงซานขนาดใหญ่ที่ถูกน้ำแข็งปกคลุมนี้ มีเพียงสองพี่น้องเท่านั้นที่คอยดูแลกันและกัน หายไปสามร้อยปีไม่มีข่าวคราว เพิ่งจะได้พบหน้ากันก็จะกลับไปอีกแล้ว องค์หญิงจะต้องนิ่งเงียบและซึมไปอีกหลายวันแน่
ชิงเยี่ยนยิ้มบางๆ แล้วลูบหัวเสวียนอี่ “การหลับใหลพันปีของข้าถูกทะเลหลีเฮิ่นทลายมาขัด หากว่าไม่กลับไป ที่บำเพ็ญเพียรมานั่นคงเสียเปล่าแน่ วันที่จะได้เจอกันวันหน้าต้องมีแน่ ไม่จำเป็นต้องเป็นช่วงนี้ รอให้มหาเทพไป๋เจ๋อจัดการเรื่องวุ่นวายพวกนี้เสร็จ เจ้าเองก็ควรจะกลับไปเรียนต่อได้แล้ว ตั้งใจบำเพ็ญเพียร ต่อให้ไม่เป็นวิชากระบี่หรือเตะต่อย แต่วิชาเวทเจ้าควรจะตั้งใจและขยันฝึกฝน หากว่ามีใครมารังแกเจ้าจะได้ตอบโต้ได้”
เสวียนอี่กอดแขนเขาแล้วเงยหน้ามองอยู่นาน สุดท้ายจึงปล่อยเขาออกช้าๆ แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “หลับใหลพันปี…ถ้าอย่างนั้นข้าต้องรอไปอีกหนึ่งพันปีหรือถึงจะได้เจอพี่อีกน่ะหรือ”
ชิงเยี่ยนกล่าวเสียงเบา “พันปีก็แค่คำพูดจำกัดความเท่านั้น บางทีอาจจะไม่กี่ร้อยปี หรือบางทีอาจจะหลายพันปี เจ้าเขียนจดหมายมาหาข้าได้ตลอด ครั้งนี้หากว่าข้าตื่นแล้วจะอ่านอย่างละเอียดทุกฉบับแน่นอน”
เสวียนอี่จ้องเขา “ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะเขียนจดหมายหาพี่บ่อยๆ แน่ พี่…พรุ่งนี้ ไม่สิ วันมะรืนค่อยไปได้ไหม”
ชิงเยี่ยนส่ายหน้า “ข้าต้องรีบไปแล้ว เมื่อครู่นี้ให้เทพรับใช้เตรียมรถไว้หน้าประตูแล้ว ไปเทียนเป่ยต้องใช้เวลาหนึ่งวัน หากสายกว่านี้การบำเพ็ญเพียรคงเสียหายแน่ อาจารย์เองก็คงต้องตำหนิข้าแน่นอน”
เสวียนอี่ก้มหน้าลงและนิ่งไปพลางกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปส่งที่ประตู”
ชิงเยี่ยนหัวเราะออกมา “ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้เจอกันแล้วเสียเมื่อไหร่ ร่าเริงเข้าไว้ อย่าทำฉีหนานร้องไห้อีก หน้าเขายังบวมไม่หายเลย”
เดิมดวงตาทั้งสองของฉีหนานเต็มไปด้วยน้ำตาแล้ว พอถูกเขาพูดเข้าอย่างนี้กลับอายไม่กล้าร้องไห้ออกมา รีบแอบขยี้ตาพร้อมกับฝืนยิ้ม “ไปเถอะ พวกเราไปส่งองค์ชายมังกรน้อยที่ประตูกัน”
เขาไม่ได้บอกให้มหาเทพจงซานรู้ ชิงเยี่ยนเองก็ไม่ชอบพูดถึงมหาเทพ ความสัมพันธ์ของพ่อลูกคู่นี้ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับคนแปลกหน้า
ก่อนขึ้นรถ เห็นเสวียนอี่ยังคงมีสีหน้าซึมเซา ชิงเยี่ยนก็กล่าวว่า “เจ้าเพิ่งจะอายุเท่าไหร่ ห่างกันแค่ไม่กี่พันปีก็รู้สึกราวกับห่างกันทั้งชีวิตอย่างนั้น มันก็แค่ชั่วเวลาเพียงดีดนิ้วเท่านั้นเอง ไม่ต้องปั้นหน้าแล้ว”
ในที่สุดเสวียนอี่ก็ยิ้มออกมา “พี่เองก็รู้ว่าข้ายังอายุน้อยอยู่ ข้าก็แค่ไม่อยากให้ท่านไป”
ชิงเยี่ยนส่ายศีรษะแล้วฝืนยิ้ม พลันเหมือนนึกอะไรได้ เขาลังเลแล้วกล่าวเสียงหนักว่า “อย่าไปเข้าใกล้เซ่าอี๋ของตระกูลชิงหยางคนนั้นนัก ทางที่ดีไม่ต้องพูดกับเขาเลยยิ่งดี”
เสวียนอี่ยิ้มกว้างขึ้น “พี่คิดเหลวไหลจริงๆ เรื่องนี้พี่ไม่ต้องกังวลหรอก”
ชิงเยี่ยนเลิกคิ้ว “ก็จริง ข้ากลับกังวลว่าเจ้าจะถูกหลอกไปได้ จริงๆ เจ้าไม่ไปหลอกคนอื่นก็ถือว่าดีแล้ว เทพฝูชางที่ทะเลาะกับเจ้าคนนั้น รอให้ข้ากลับมาแล้วค่อยจัดการแทนเจ้า หากว่าข้ายังไม่กลับมาเจ้าก็คอยตื้อก่อกวนเขาไปก่อน มีพี่คอยหนุนอยู่ ไม่ต้องกลัว”
เสวียนอี่หัวเราะคิกออกมา “พี่พูดเองนะ”
ต่อให้กลัวว่าองค์หญิงจะเหงาถึงให้นางไปทะเลาะกับเทพฝูชางต่อ แต่ว่าองค์ชายน้อยทำอย่างนี้จะเป็นการสอนให้องค์หญิงยิ่งแย่ไปกว่านี้หรือไม่ ฉีหนานถอนหายใจออกมาแล้วใช้สายตามองตามหลังส่งรถไป เขาก้มหน้าลงมองเสวียนอี่ หยดน้ำตาที่เอ่อคลอเต็มสองตาทันใดนั้นก็หายไป เหลือแค่เพียงไอความทุกข์เท่านั้น
หากว่าหยดน้ำตาหยดนั้นของนางไหลออกมา บางทีอาจจะดีหน่อย
ฉีหนานกล่าวปลอบเสียงนุ่ม “องค์หญิง องค์ชายน้อยกล่าวได้ไม่ผิด ท่านยังอายุน้อยถึงได้รู้สึกว่าเวลาไม่กี่ปีช่างยาวนานนัก แต่จริงๆ แค่ไม่นานก็ผ่านไปแล้ว หลังจากนี้ยังมีระดับหลับใหลหมื่นปีอีก หากเคยชินก็ไม่เป็นไรแล้ว”
เสวียนอี่กะพริบตา หลับใหลหมื่นปี ตอนนี้นางหวังเหลือเกินว่านางจะสามารถหลับใหลหมื่นปีได้ เพื่อให้เวลาที่นางตื่นขึ้นมาจะได้ไม่ต้องมีใครต้องจากนางไปอีกเลย
…
ก่อนยามอู่ [1] ยอดเขาไท่ซานมีสายฝนโปรยปรายลงมา บนระเบียงหนานมู่ที่ยาวและคดเคี้ยวเปียกชื้นเป็นรอย ทะเลสาบเฉิงเจียงที่อยู่ห่างออกไปมีหมอกปกคลุมลงมาราวกับม่านบางๆ บ้างก็มีปลาสีทองขนาดใหญ่กระโดดลอยผ่านหมอกไป หางยาวของมันปัดผ่านน้ำจนกระจายเป็นวงคลื่น
ภายในศาลาต้านเย่ว์หลังเล็กริมถนนใหญ่ข้างทะเลสาบ โต๊ะหินสีขาวเล็กๆ มากมายได้จัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ศาลาต้านเย่ว์แห่งนี้สร้างขึ้นมาจากต้นสนหมื่นปีที่เรียวยาว บนยอดปูด้วยใบสนสีเขียวมรกตมากมาย ที่พื้นประดับประดาด้วยผงดาราวารีสวรรค์เม็ดละเอียด คล้ายกับพระจันทร์สีเขียวเข้มริมทะเลสาบดวงหนึ่ง รอบด้านศาลาต้านเย่ว์กว้างขวางปลอดโปร่งไร้สิ่งขวางกั้น มุมทุกมุมจะมีกระดิ่งทองแดงแขวนเอาไว้ ยามนี้บ้างก็มีสายลมเอื่อยๆ พัดมา หมอกตลบไปทุกที่ ไกลๆ มีเขาเขียวชอุ่ม พร้อมกับเสียงกระดิ่งใสดังกังวาน ภาพที่เห็นต่างกับภาพความหรูหราของจวนจูเซวียนอวี้หยางมาก แต่เป็นภาพความเรียบง่ายที่สง่างาม และยังดูผ่อนคลายสบายตา
ยามนี้แขกที่เทพบูรพาเชื้อเชิญมาทยอยมาถึงแล้ว วิถีกระบี่ของฝูชางตื่นขึ้น จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก และแต่ไหนแต่ไรมาเทพบูรพาไม่เคยวางท่า ครั้งนี้ก็เชิญเพียงแค่สหายร่วมสำนักของฝูชางและสหายสนิทของเขาเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เดิมเขาคิดจะเชิญมหาเทพไป๋เจ๋อด้วย แต่ก็ต้องจนใจเพราะเรื่องของทะเลหลีเฮิ่นส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนพลังห้าธาตุในแดนเทพ มหาเทพผู้นี้จึงยุ่งกระทั่งยังไม่ได้กลับตำหนักหมิงซิ่งด้วยซ้ำ จึงได้แต่ต้องปล่อยไป
ห่างกับยามอู่อีกไม่กี่เค่อ เหล่าเทพที่ไปมาหาสู่กับเทพบูรพาล้วนแล้วแต่เป็นผู้อาวุโสที่งามสง่าทั้งสิ้น เหล่าบรรดาศิษย์ของมหาเทพไป๋เจ๋อเองก็ล้วนแต่มีศักดิ์ฐานะที่สูงส่งทั้งนั้น จึงไม่มีใครเสียมารยาทกับเรื่องนี้ คนส่วนใหญ่ต่างก็มาถึงกันหมดแล้ว ภายในศาลาต้านเย่ว์มีเสียงหัวเราะดังมาเป็นระลอกๆ เทียบกับความคึกคักครึกครื้นของจวนอวี้หยางแล้ว ถือว่าถ่อมตนมากจริงๆ
เพราะกู่ถิงรู้จักกับฝูชางมาตั้งแต่ยังเล็ก และถือว่าเป็นแขกประจำของเขาไท่ซานแห่งนี้ จึงนำศิษย์ทั้งหลายเดินเลียบทะเลสาบหนึ่งรอบและกล่าวแนะนำ “วังเทพบูรพาอยู่บนยอดเขาตรงข้าม นี่คือทะเลสาบเฉิงเจียง เทพบูรพารุ่นก่อนได้เลี้ยงปลาหลีฮื้อสีทองสองตัวไว้ในนี้ จนถึงตอนนี้น่าจะใหญ่กว่าเทพมังกรธรรมดาๆ ไปแล้ว หากเดินผ่านทางนี้ไปจะเป็นสวนดอกไม้ ด้านในมีสวนต้นเซียนหวาซิ่งสองแปลง ฝูชางปลูกด้วยตัวเองตอนอายุได้ห้าพันปี ปีก่อนดอกซิ่งบาน จนบัดนี้มันก็ยังไม่เ**่ยวเฉา เดินตรงไปอีกคือระเบียงหนานมู่ ห้องพักแขกจะอยู่ทางด้านนั้นหมด…”
ระหว่างที่กู่ถิงกำลังพูดอยู่นั้น เสียงของฝูชางก็ดังมาจากทางด้านหลัง “กู่ถิง”
ไอหยา คนสำคัญของวันนี้มาแล้ว! ศิษย์ทั้งหลายต่างคารวะแล้วกล่าวแสดงความยินดีด้วย วันนี้ฝูชางกลับไม่ได้ใส่ชุดสีขาวอย่างเคย แต่กลับสวมชุดสีเขียวตัวยาว บนหัวประดับด้วยรัดเกล้าหยก พอมายืนอยู่ริมทะเลสาบฉางเจียงที่ปกคลุมไปด้วยหมอกแล้ว ก็ราวกับทำให้สีสันของเขาทั้งลูกมัวหมองลงไป
เขายิ้มแล้วคารวะตอบแต่ละคน กู่ถิงอดจะกล่าวเย้าไม่ได้ว่า “ปกติเวลาอยู่ที่ตำหนักหมิงซิ่งราวกับปั้นขึ้นจากหิมะ วันนี้กลับกลายเป็นคุณชายรูปงามไปได้”
ฝูชางยิ้มแล้วกล่าว “เป็นเจ้าภาพทั้งที จะเสียมารยาทได้อย่างไร ยามนี้สุราในศาลาต้านเย่ว์น่าจะพร้อมแล้ว ศิษย์พี่ทุกท่าน ให้ข้าได้คารวะสุราสักจอกเพื่อตอบแทนที่พวกท่านมาร่วมแสดงความยินดีเถิด”
จื่อซีหัวเราะออกมาเสียงเบาอย่างอดไม่อยู่แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ข้ารู้สึกไม่คุ้นเคยกับศิษย์น้องฝูชางที่เป็นเช่นนี้เลยจริงๆ” พูดแล้วไท่เหยาเองก็พลอยหัวเราะไปด้วย
จื่อซีหัวเราะไปพักหนึ่ง ก็พลันพบว่าใจดวงน้อยในอกนางกลับไม่รู้สึกสั่นไหว กลับกันมันยังสงบนิ่งมากอีกด้วย หากเป็นแต่ก่อน นางได้เห็นฝูชางแต่งตัวต่างไปจากเดิม หัวใจนางจะต้องสั่นราวกับมีอะไรวิ่งวนอยู่ในนั้นแน่ แต่ว่าไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ความคิดของนางถึงได้ไม่ติดอยู่กับฝูชาง
กระทั่งกลับมาที่ศาลาต้านเย่ว์แล้ว นางถึงได้มองไปรอบๆ โดยสัญชาตญาณ กระทั่งเห็นเงาร่างในชุดสีม่วงอ่อนกำลังนั่งชื่นชมกระดิ่งทองแดงในมืออยู่มุมหนึ่ง หัวใจของนางพลันสั่นไหวราวกับมีมือมาเขย่า
จะเดินไปไม่ได้! นางกล่าวเตือนตัวเองในใจอย่างหนักแน่น นางไปหาโต๊ะสีขาวที่ห่างจากเซ่าอี๋แล้วนั่งลงฟังเสียงหัวเราะของสหายร่วมสำนักเงียบๆ
ฝูชางกำลังริมสุราหลัวฝูชุนลงในแก้วสุราหินสีเขียวสิบกว่าแก้วก็พลันได้ยินเสียงเทพขุนนางร้องขานว่า “องค์หญิงเสวียนอี่ตระกูลจู๋อิน อำมาตย์ฉีหนาน มาถึง”
มือเขาชะงักไปเล็กน้อย จนทำให้สุราหลัวฝูชุนหกลงบนโต๊ะไปหลายหยด เขารีบใช้ปลายนิ้วเช็ดออกแล้ววางกาสุราลงทันที จากนั้นจึงลุกขึ้นไปเตรียมรับนอกศาลาพร้อมกันกับเทพบูรพา ไม่นาน ก็เห็นเทพขุนนางนำเสวียนอี่และฉีหนานเดินเข้ามาตามทางเดินริมทะเลสาบ ขาขวาของนางยังไม่หายดี วันนี้นางนำเอาเก้าอี้สานของที่บ้านมาและกำลังลอยอยู่กลางอากาศ
เทพบูรพาเคยแต่ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับองค์หญิงมังกรของตระกูลจู๋อินแต่ไม่เคยได้พบตัวจริง ดังนั้นพอเห็นนางที่สวมชุดกระโปรงสีสด คลุมผ้าแพรขาวราวกับหิมะ บนผมรัดด้วยวงแหวนสีทองอร่าม แต่ด้วยอายุน้อยทำให้ใบหน้าของนางยังดูเยาว์วัยมาก ทว่ารูปโฉมของนางนั้นงดงามเฉิดฉาย รูปร่างอรชรบอบบาง อนาคตจะต้องเป็นหญิงงามที่หาได้ยากแน่ เขาชื่นชมในใจ
ไม่นานนางกับฉีหนานก็เดิมเข้ามาตรงหน้าพร้อมเทพขุนนาง นางยืนด้วยขาข้างเดียวและคารวะอย่างสง่างามมีมารยาท น้ำเสียงของนางนุ่มนวลราวกับลมเย็นสบายในคืนที่ร้อนอบอ้าว “ท่านเทพบูรพา ศิษย์พี่ฝูชาง เสวียนอี่ตระกูลจู๋อินขอคารวะเจ้าค่ะ”
หางตาของเทพบูรพาเหลือบมองไปทางฝูชาง เจ้าเด็กนี่กลับหลุบตาต่ำและแสดงสีหน้าไร้อารมณ์อย่างเป็นทางการ ก็อดที่จะยิ้มน้อยๆ ออกมาไม่ได้
—
[1] ยามอู่ ช่วงเวลาตั้งแต่ 11.00 น.- 12.59 น.