บุหลันเคียงรัก - บทที่ 66 ตัดอย่างไร
ยามอู่ตรง แขกทั้งหมดต่างก็มาถึงกันครบหมดแล้ว นอกจากศิษย์สิบกว่าคนของมหาเทพไป๋เจ๋อ ที่เหลือก็มีเพียงมหาเทพอีกแค่เจ็ดแปดคนเท่านั้น งานเลี้ยงครั้งนี้จัดกันแค่ในวงเล็กๆ
เพราะฉีหนานไม่รู้ว่าให้วิญญาณเพลิงสวรรค์หรือไข่มุกทะเลตะวันตกถึงจะเหมาะสม เขาจึงนำมาด้วยทั้งสองอย่าง วิญญาณเพลิงสวรรค์มีขนาดใหญ่มาก เขาใช้รถคันหนึ่งใส่เฉพาะมันมา พอเอาไปวางในกองของขวัญจึงดูสะดุดตามาก
เขาอารมณ์ดีไม่เลว ทั้งพูดคุยและยิ้มแย้มกับเทพบูรพา เสวียนอี่ก้มหน้าลงแล้วใช้ตะเกียบเขี่ยเมล็ดถั่วจากในจานช้าๆ นางอารมณ์ไม่ดี ไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น
ข้างกายนางคือเทพอายุน้อยแปลกหน้าคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นบุตรชายของมหาเทพคนไหนที่นั่งอยู่ เขากินไปก็หันหน้ามามองนางไป ทำให้เสวียนอี่ยิ่งอารมณ์ไม่ดีมากขึ้นและเบนหัวไปอีกทาง ทันใดนั้นพลันมีแก้วสุราหินแก้วหนึ่งวางลงตรงบนโต๊ะสีขาว เซ่าอี๋กล่าวเสียงนุ่มนวลว่า “มีคำกล่าวกันว่า การเมามายจะขจัดทุกความเศร้าได้ ปลาดุกอุยน้อยดูท่าทางซึมเซาเศร้าหมอง จะเอาสุราหลัวฝูชุนสักแก้วหรือไม่ ใช่แล้ว องค์ชายน้อยไม่ได้มาด้วยกันกับเจ้าหรือ”
เสวียนอี่ดันแก้วกลับไปเงียบๆ “เขากลับเทียนเป่ยไปหลับใหลพันปีต่อแล้ว”
เซ่าอี๋ประหลาดใจ “กลับไปเร็วอย่างนี้ เขาช่างพากเพียรอุตสาหะจริงๆ”
เสวียนอี่เงยหน้าขึ้นมองเขา “ศิษย์พี่เซ่าอี๋ ท่านกับพี่ชายข้ารู้จักกันได้อย่างไร ครั้งที่แล้วได้ยินท่านพูด ข้ายังคิดว่าพวกท่านสองคนมีความสัมพันธ์ต่อกันไม่เลวเสียอีก แต่ตอนนี้ข้ากลับรู้สึกเหมือนไม่ใช่ขึ้นมา ท่านลองเล่ามา ข้าจะได้ช่วยคลายปมของพวกท่านได้”
เซ่าอี๋ดูมึนเมาเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “องค์ชายน้อยไม่ได้บอกเจ้าหรือ”
เสวียนอี่ถอนหายใจออกมา “ข้าไม่อยากฟังเขาพูด ข้าจะฟังท่านพูด”
เซ่าอี๋หัวเราะออกมา “เขายังไม่บอกเจ้าเลย ข้าเองก็ยิ่งไม่สามารถบอกเจ้าได้ หากข้าข้ามหน้าข้ามตาไป คงทำให้องค์ชายน้อยไม่พอใจแน่”
เสวียนอี่เกี่ยวแขนเสื้อเขาเอาไว้เบาๆ แล้วใช้ปลายเล็บข่วนไปมา “ท่านแอบบอกข้าสิ ข้าไม่มีทางให้พี่รู้แน่นอน ดีหรือไม่”
เซ่าอี๋อดใจไม่ได้ใช้มือลูบห่วงทองบนศีรษะนาง “ไม่ดี”
เสวียนอี่ขมวดคิ้ว คราวนี้นางไม่มีอารมณ์จะเล่นละครเสแสร้งกับเขาอีก เตรียมจะจากไป แต่ว่าพลันเห็นจื่อซีก้าวเท้ามาทางนี้อย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่านางจะอารมณ์ไม่ดีนัก นางมีท่าทางเคร่งเครียดมาก นางถลึงตามองเซ่าอี๋แล้วกล่าวว่า “เสวียนอี่ ไปกับข้าตรงนั้น”
เมื่อครู่นี้นางเห็นท่าทางสนิทสนมกันระหว่างเซ่าอี๋และเสวียนอี่ เดิมนางเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับเขาแล้ว รู้สึกว่าเขาไม่ได้เป็นคนเจ้าชู้เสเพลอย่างที่นางคิด ใครจะรู้ว่าเขาเริ่มมายุ่งกับเสวียนอี่อีก เสวียนอี่ยังอายุน้อยไม่เข้าใจอะไรก็ยังว่า แต่นางไม่เชื่อว่าคนฉลาดอย่างเซ่าอี๋จะไม่เรียนรู้อะไรจากบทเรียนที่ผ่านมาบ้าง และยังคิดจะทำให้ตำหนักหมิงซิ่งวุ่นวายต่อไปอีก
เสวียนอี่อยากจะไปจากที่นั่งตรงนี้ใจจะขาด นางกอดแขนจื่อซีเอาไว้แล้วยิ้มออกมาอย่างสดใส “ดีเลย ข้าไปนั่งกับศิษย์พี่หญิง”
จื่อซีชี้ไปทางที่นั่งฝั่งตะวันออก ตรงนั้นพวกกู่ถิงไท่เหยาอยู่กันหมด “เจ้าไปรอตรงนั้น ข้าจะรีบตามไป”
มีศิษย์พี่หญิงคุ้มหัว เสวียนอี่ก็รีบไปทางพวกกู่ถิงอย่างอารมณ์ดี จื่อซีจ้องไปที่เซ่าอี๋แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ศิษย์น้องเซ่าอี๋ ข้าไม่อยากเห็นเรื่องทำนองเดียวกับฝูเหยาและเหยียนสยาในตำหนักหมิงซิ่งอีกแล้ว หวังว่าเจ้าจะระวังกิริยาบ้าง อย่างน้อยต่อหน้าศิษย์น้องเจ้าก็ควรจะทำตัวเป็นศิษย์พี่บ้าง”
เซ่าอี๋ฝืนยิ้ม “ทราบๆ ข้าทราบแล้วศิษย์พี่หญิง”
จื่อซีกล่าวอีกว่า “เจ้ารู้สึกผิด…กับเหยียนสยาอย่างจริงใจจริงๆ หรือ”
เซ่าอี๋ยกแก้วสุรามาจรดริมฝีปากแล้วกล่าวช้าๆ ว่า “จริงสิ ข้ารู้สึกผิดกับนางจริงๆ”
จื่อซีไม่เข้าใจ “ในเมื่อรู้สึกผิดแล้วทำไมยังไม่แก้ไข ทำไมยังทำตัวเหมือนเดิม วันนี้ไปยุ่งกับคนหนึ่ง พรุ่งนี้ไปยุ่งกับอีกคน เจ้าทำตัวอย่างนี้ หากว่าเหยียนสยากลับมาที่แดนเทพแล้วยังจะไปต่อกับเจ้าอีกหรือ”
เซ่าอีไม่เข้าใจยิ่งกว่านาง “ข้ากับเหยียนสยาไปต่ออะไร”
จื่อซีพลันพบว่าเหมือนนางจะเข้าใจอะไรผิดไปแล้ว นางจึงขมวดคิ้วแน่น “เจ้าไปช่วยเหยียนสยา และช่วยนางตัดสัมพันธ์ ไม่ใช่เพื่อจะยอมทำตัวดีๆ และรักเดียวใจเดียวกันนางหรือ”
เซ่าอี๋นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้ววางแก้วสุราลงช้าๆ จากก็ค่อยๆ รินสุราหลัวฝูชุนแล้วกล่าวช้าๆ ว่า “ศิษย์พี่หญิงจิตใจบริสุทธิ์จึงได้คิดถึงข้าในแง่ดีอย่างนั้น ข้ารู้สึกตื้นตันใจมาก แต่ว่า แต่ก่อนระหว่างข้ากับเหยียนสยานั้นเป็นไปไม่ได้ ต่อไปก็ไม่มีทางเป็นไปได้ ศิษย์พี่หญิง ข้าชอบหญิงที่มากรัก แต่ไม่ชอบหญิงที่หลงใหลยึดติด ข้าชอบให้ตอนที่อยู่ด้วยกันก็อยู่กันอย่างมีความสุข ตอนที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันต่างฝ่ายต่างก็ไปมีความสุขกับคนอื่น ข้ามันก็เป็นคนที่ไร้ทางจะเยียวยาอย่างนี้ ศิษย์พี่หญิงอย่าได้คิดถึงข้าดีเกินไปเลย”
“เจ้า…” จื่อซีอึ้งค้างไปนาน และเงียบไปอย่างไร้คำพูด
เซ่าอี๋ยิ้มบางๆ ให้นางแล้วกล่าวเสียงนุ่มว่า “ข้าขอคารวะความบริสุทธิ์และสูงส่งของศิษย์พี่หญิง และขอให้ท่านอย่าได้มาเสียน้ำลายและพลังไปกับการอดทนสั่งสอนข้าเลย ทำอย่างนั้นจะอึดอัดกันเปล่าๆ”
จื่อซีมองเขาค้างอยู่นาน แล้วค่อยๆ กลับไปที่นั่งของตัวเองโดยไม่พูดอะไร
แต่ทว่าแววตาของนางกลับยังคอยแต่จะสอดส่องมองไปที่เงาร่างสีม่วงนั้นอย่างไม่รู้ตัว นางเข้าใจดีแล้วว่าเจ้านี่คือคนสารเลวโดยแท้ และยังเป็นเทพประเภทที่นางรังเกียจที่สุดด้วย นางเตือนตัวเองอย่างหนักซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ว่าสติที่นางเคยภาคภูมิใจกลับไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
นี่มันบ้าชัดๆ มือนางสั่นน้อยๆ นางริมสุราแล้วดื่มลงไปแก้วแล้วแก้วเล่า และเป็นครั้งแรกที่นางอยากจะให้ตัวเองเมามายไปเสียเร็วๆ
เสวียนอี่ใช้ตะเกียบเขี่ยเมล็ดถั่วในจานไปฟังพวกกู่ถิงเล่าเรื่องที่เขากับไท่เหยาไปเที่ยวเล่นกันอย่างสุดเหวี่ยงที่โลกเบื้องล่างไป
คิดว่าเขาน่าจะดื่มไปมาก พูดวกไปวนมาและเน้นย้ำอยู่แต่เรื่องที่โลกเบื้องล่างมีโรงเตี๊ยมอยู่ด้วย ในสายตาของเหล่าเทพ การสร้างตึกโทรมๆ หลังหนึ่งขึ้นมาและด้านในก็สร้างห้องพักที่ทรุดโทรมให้กับคนที่ออกมาเที่ยวด้านนอกได้มีที่ดื่มที่กิน ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก
ระหว่างที่พูด ฝูชางก็ยกกาสุราเดินเข้ามา เขาได้ไปกินสุราคารวะเหล่าผู้อาวุโสมาครบแล้ว เกรงว่าคงดื่มลงไปไม่น้อยกว่าห้าไห ดูแล้วเขายังดูราวกับคนปกติ เขานั่งลงอย่างสง่าลงตรงข้ามโต๊ะหินขาว จัดวางเรียงแก้วสุราแล้วรินสุราให้กับบรรดาเหล่าศิษย์พี่ทั้งหลาย
ไท่เหยาห้ามเขาไว้แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ศิษย์น้องฝูชาง อย่าดื่มมากนัก พวกเราเองก็ดื่มไม่ไหวแล้ว เจ้าดูกู่ถิง”
ฝูชางมองไปยังกู่ถิงที่มีท่าทางเมามาย ใบหน้าก็มีรอยยิ้มออกมา “เขาเป็นพวกคออ่อน แต่กลับชอบเรื่องพวกนี้”
เขามองไปทางเสวียนอี่ นางแทบจะไม่ได้กินอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้านางเลย และยังใช้ตะเกียบจิ้มเต้าหู้เสียจนพรุนเละ นางยังเขี่ยไปเขี่ยมาและจิ้มจนหนังกรอบทะลุเป็นรูหลายรู
เกรงว่าอาหารที่นี่คงจะไม่ถูกปากองค์หญิงมังกรช่างเลือกคนนี้ ฝูชางเข้าไปใกล้ กำลังจะเอ่ยปากพูด นางกลับพลันหันหน้ากลับมาแล้วมองมาที่เขาอย่างเบื่อหน่าย “ศิษย์พี่ฝูชาง รินให้ข้าแก้วหนึ่ง”
นางกลับอยากจะดื่มเหล้า? ไม่ใช่ว่าแค่ได้กลิ่นก็จามแล้วหรือ สุราหลังฝูชุนในวันนี้มีฤทธิ์อ่อนมาก นางไม่แม้แต่จะจามแต่กลับคิดอยากจะเอาสุรา
“เจ้าดื่มได้” ฝูชางถามกลับ แต่กลับรินเหล้าให้นางวางไว้บนโต๊ะแล้ว
“ไม่ได้” เสวียนอี่จับไปที่แก้วสุราหิน นางก็แค่อยากจะทำท่าดู ดูว่าฉีหนานจะสังเกตเห็นเมื่อไหร่ เขามัวแต่คุยกับเทพบูรพา ไม่ยอมหันกลับมามองเลย มีอะไรจะคุยกับเทพบูรพานักหนา!
ฝูชางรู้สึกว่าตัวเขาชักจะเริ่มไม่เข้าใจความคิดประหลาดขององค์หญิงมังกรอีกแล้ว ตั้งแต่ยามอู่ถึงตอนนี้ก็ผ่านมานานแล้ว นางกลับไม่ดื่มไม่กินอะไรแม้แต่น้อย ดูแล้วผิดปกติไป ปกตินางก็มีเลือกอาหารบ้างแต่ก็ไม่ได้รุนแรงอย่างนี้ เขาอดที่จะมองนางไม่ได้ สีหน้าของนางยังคงนิ่งสงบเหมือนกับปกติ แต่แค่เงียบขรึมลง อารมณ์ไม่ดีหรือ
ตรงหน้ากลับมีเทพคนหนึ่งเดินเข้ามา เขามีผิวขาว ใบหน้าคล้ายคนป่วย เขาเดินเข้ามาตรงหน้าศิษย์ทั้งหลายแล้วคารวะพลางอย่างมีมารยาทว่า “เทพฝูชาง เทพธิดาจื่อซี องค์หญิงเสวียนอี่ น้องสาวข้าถูกภัยครั้งนี้จนตกลงไปโลกเบื้องล่าง โชคดีที่มีเทพทั้งหลายให้การช่วยเหลือ อู๋หุยซาบซึ้งใจมาก ขอเชิญท่านทั้งสามไปคุยกันตรงข้าม ท่านพ่อท่านแม่ข้ารอพวกท่านทั้งสามอยู่”
อู๋หุย นี่ไม่ใช่บุตรชายคนโตของจักรพรรดิแดงหรือ
จื่อซีดื่มสุราเริ่มมึนแล้ว แต่ครั้งนี้จะเสียมารยาทไม่ได้ จึงรีบลุกขึ้นไปคารวะพร้อมกันกับศิษย์คนอื่น พลางกล่าวไปว่า “เทพอู๋หุยเกรงใจไปแล้ว วันนั้นคนที่ไปด้วยกันกับพวกเรายังมีเทพเซ่าอี๋…”
นางรีบปิดปากทันที แย่แล้ว ดื่มมากไปจริงๆ กลับพูดถึงเซ่าอี๋ต่อหน้าครอบครัวของเหยียนสยาได้ คนอื่นต่างก็จงใจไม่พูดถึงทั้งนั้น