บุหลันเคียงรัก - บทที่ 67 แสงสะท้อนจากเฉิงเจียง
เทพอู๋หุยทำเหมือนไม่ได้ยิน และเชิญเทพทั้งสามไปฝั่งตรงข้ามด้วยรอยยิ้ม จักรพรรดิแดงกับฮูหยินลุกขึ้นต้อนรับด้วยรอยยิ้ม โดยเฉพาะฮูหยินที่มีสีหน้ายินดีปรีดา นางกุมมือฝูชางเอาไว้แล้วกล่าวเสียงนุ่มนวลว่า “ลูกเหยียนสยาคนนี้ช่างดื้อรั้นนัก ลงไปโลกเบื้องล่างยังไม่ยอมอยู่ดีๆ ยังสร้างเรื่องยุ่งยากให้กับพวกเจ้าทั้งหลายมากมาย ได้ยินว่าที่วิถีกระบี่ของเทพฝูชางตื่นขึ้นมาในครั้งนี้ก็เพราะปกป้องลูกหญิง ทำให้พวกเราทั้งยินดีทั้งรู้สึกเกรงใจมาก”
พูดแล้วนางก็หันไปกุมมือเสวียนอี่กับจื่อซีเอาไว้ และพิจารณาพวกนางอย่างเอ็นดู
ปกติจักรพรรดิแดงจะนิ่งขรึมไม่ค่อยยิ้ม แต่ว่ากับฮูหยินเขากลับอบอุ่นมาก และกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “อาซิ่ว วันหลังยังมีโอกาสพูดคุยกันอีกมาก วันนี้เทพฝูชางคือประธานของงาน พวกเราอย่าได้ยื้อเขาไว้เลย”
สามีภรรยาและบุตรชายคนโตดื่มคารวะสามจอก ครานี้เสวียนอี่ไม่อยากดื่มก็ต้องดื่มแล้ว ถูกกรอกสุราหลัวฝูชุนไปติดๆ กันสามแก้ว รสชาติสุราประหลาดมาก นางจะแสดงท่าทีรับไม่ได้ออกมาก็กระไรอยู่ ในใจนางไม่รู้ด่าฉีหนานไปกี่ครั้งแล้ว
อู๋หุยที่อยู่ตรงข้ามยิ้มแล้วกล่าวว่า “น้องหญิงเล็กถูกตามใจมาตั้งแต่เล็ก ตอนอยู่ตำหนักหมิงซิ่งความเอาแต่ใจและอวดดีของนางล่วงเกินคนอื่นไปมาก ขอทุกท่านอย่าได้ถือสานาง”
เฮ้อ พี่ชายคนโตคนนี้นี่ช่างไม่เลวเลยจริงๆ ถึงจะดูท่าทางเหมือนกับคนป่วย แต่ว่าเขาไม่ต้องไปอยู่ที่เทียนเป่ย ไม่ต้องหลับใหลพันปีเงียบกริบไร้ข่าวคราว ไม่ได้คิดจะไปไหนก็ไปกะทันหัน นานหลายปีจะได้เจอกันก็แค่ระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่ครั้งเท่านั้น
เสวียนอี่มองสังเกตไปรอบๆ ช้าๆ ก็เห็นจักรพรรดิแดงกำลังยิ้มแย้มพูดคุยกับฝูชาง คนพ่อก็ไม่เลว ไม่ต้องขังตัวอยู่แต่ในตำหนักฉางเซิงตั้งแต่เช้าจรดเย็น ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่ใส่ใจถามไถ่ และยังไม่เจ้าชู้จนทำให้ฮูหยินตัวเองตายอีก
อีกด้าน ฮูหยินของจักรพรรดิแดงกุมมือของจื่อซีเอาไว้อย่างสนิทสนม ส่วนคนแม่ก็…เฮ้อ ท่านแม่
เสวียนอี่พลันหมดอารมณ์และหันไปทางฉีหนานอีกครั้ง เขายังคงพูดคุยอยู่กับจักรพรรดิแดงและมหาเทพอีกหลายคนอยู่ เขาไม่สนใจนางแล้วจริงๆ ใช่หรือไม่
เสวียนอี่พลันรู้สึกเวียนหัว จึงเรียกลมเย็นออกมาเป่าสักครู่ จากนั้นจึงออกไปจากศาลาต้านเย่ว์เงียบๆ
ความชื้นในอากาศเหนือทะเลสาบเฉิงเจียงถูกแสงอาทิตย์ที่สว่างจ้ายามบ่ายสาดส่องจนหายไปหมด คลื่นราวกับกำลังสาดแสงสีทองเสียดแทงตาออกมา จนทำให้นางมึนหัวยิ่งขึ้น ดวงตาก็เริ่มเจ็บ นางเอาหิมะก้อนหนึ่งวางไว้บนศีรษะแล้วรีบหมุนตัวย้อนกลับไปในที่ร่ม หูพลันได้ยินเสียง “ตูม” ดังขึ้น ปลาหลีฮื้อสีทองสองตัวที่จักรพรรดิแดงรุ่นก่อนเลี้ยงไว้กระโดดพ้นเหนือน้ำอย่างหยอกล้อกัน
ปลาหลีฮื้อทีทองสองตัวนี้สวยกว่าครั้งที่แล้วมาก
นางหมุนข้อมือจนทำให้เกิดหิมะสีขาวกลุ่มหนึ่งขึ้น แล้วเริ่มคลึงให้กลายเป็นปลาหลีฮื้อสีทอง ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าดังเหยียบหญ้าดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ นางขี้เกียจเงยหน้าขึ้นแล้วกล่าวว่า “ฉีหนาน ในที่สุดก็นึกถึงข้าได้แล้วหรือ”
เสียงฝีเท้าหยุดลงข้างเก้าอี้สานแต่กลับไม่มีเสียงตอบ แววตาของเสวียนอี่มองไปยังหญ้าสีเขียวชอุ่ม รองเท้าคู่นั้นดูแล้วไม่ใช่ของฉีหนาน จึงไล่มองตามเสื้อสีเขียวตัวยาวขึ้นไปและสบเข้ากับดวงตาสีดำสนิทของฝูชาง
เขาถือกล่องข้าวเอาไว้กล่องหนึ่งและยื่นมาตรงหน้านาง แล้วพูดสั้นๆ ว่า “กิน”
เสวียนอี่เบนหน้าหนีอย่างรังเกียจ “ข้าไม่ชอบกินอาหารบ้านเจ้า”
ฝูชางถอนหายใจแล้วย่อตัวลงพร้อมเปิดกล่องข้าวออก ในนั้นมีขนมโมราเคลือบแป้งน้ำตาลวางเรียงกันอยู่แถวหนึ่ง อีกแถวเป็นขนมดอกท้อชุบแป้งเคลือบน้ำตาล และยังมีชาสุริยันจรัสแสงอีกหนึ่งกา เขากล่าวเสียงเรียบว่า” ขนมบ้านข้าเจ้าก็ไม่ชอบเหมือนกัน”
เสวียนอี่คว้าแขนเสื้อเขาเอาไว้แล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า” ชอบ”
เขาอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ จากนั้นจึงรินชาสุริยันจรัสแสงลงในแก้วหยกขาวพร้อมวางในมือนาง
เสวียนอี่จิบไปคำหนึ่ง และเลือกเอาขนมดอกท้อชุบแป้งเคลือบน้ำตาลชิ้นหนึ่งขึ้นมา ชาดีขนมดี ที่น่าแปลกใจมากก็คือ นางกลับไม่ได้อยากจะทะเลาะกับเขา คิดว่าน่าจะเพราะอารมณ์ไม่ดีจึงยอมปล่อยเขาไป
“ทำไมองค์ชายน้อยถึงไม่มา” ฝูชางจำได้ว่าตอนที่เขียนเทียบเชิญ เขายังจงใจเขียนชื่อขององค์ชายน้องลงในเทียบเชิญด้วย
เสวียนอี่กล่าวเสียงเรียบ “เขากลับเทียนเป่ยไปบำเพ็ญเพียรหลับใหลพันปีต่อแล้ว”
ที่แท้ก็เพราะพี่ชายรีบมารีบไปนี่เอง มิน่า นางถึงได้ดูเงียบขรึมนัก ฝูชางนั่งลงบนพื้นหญ้าและยื่นมือไปหยิบเอาขนมมา แต่ว่ากลับถูกนางขวางเอาไว้ “นี่มันของข้า”
เขานึกถึงกุ้งน้ำแข็งจู๋อินที่ขมจัดครั้งที่แล้วขึ้นมาได้ทันที ข้อมือเขาชะงักไปทันที วันนี้เขาเองก็ดื่มไปไม่น้อย เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างครั้งที่แล้วอีก วันนี้เขาจะไม่ทะเลาะกับนาง
ปลาหลีฮื้อสีทองในทะเลสาบเฉิงเจียงยังคงว่ายเล่นหยอกล้อกัน เสวียนอี่เหม่อลอยอยู่นาน ลูกบอลหิมะวางอยู่บนศีรษะ ตอนนี้นางไม่มึนหัวแล้วแต่ว่า ในใจกลับสับสน แววตาก็มองไปยังฝูชางที่นั่งอยู่ด้านข้างแล้วกล่าวว่า” ศิษย์พี่ฝูชาง ทำไมท่านยังไม่ไป วันนี้ท่านคือประธานของงานนะ”
ฝูชาง “อืม” เสียงนิ่ง แต่ไม่ตอบอะไร
เสวียนอี่กล่าวต่อ “ไม่อย่างนั้นก็พาข้าไปเดินเล่นเถอะ น้ำในทะเลสาบสะท้อนจนทำข้าเจ็บตาไปหมดแล้ว รีบเปลี่ยนไปที่สวยแต่ร่มที่อื่นเถอะ”
ฝูชางลุกขึ้นยืนแล้วประคองเก้าอี้สานไว้พร้อมลากเบาๆ นางก็เคลื่อนตามไป
เสวียนอี่มีความสุขแล้วหัวเราะออกมา “ไปทางนั้น ทางนั้น” นางชี้ไปทางเล็กที่เต็มไปด้วยเงาต้นไม้หนาทึบตรงข้าม
ฝูชางกล่าว “ทางนั้นคือสวนดอกไม้ ฤดูนี้ดอกไม้ร่วงโรยหมดแล้ว ไม่มีอะไรน่าดู”
เสวียนอี่สนใจเขาที่ไหน นางบิดแขนเสื้อเขาจนกลายเป็นเกลียว “รีบไปรีบไป!”
ฝูชางดึงเอาแขนเสื้อที่น่าสงสารของตัวเองออกมา แล้วปรายตามองไปที่นางอย่างจนใจ ดูเหมือนว่าองค์หญิงมังกรจะเมาแล้ว สุราหลัวฝูชุนสามแก้วยังเมาได้ คออ่อนอย่างนางเขาเพิ่งจะเคยเจอเป็นครั้งแรก บนศีรษะนางยังมีหิมะก้อนหนึ่งวางไว้ มันส่ายโคลงเคลงไปมา ดูแล้วก็น่ารักดี เขายื่นมือออกไปหยิบมา นางก็ไม่โมโหและยังใจกว้างอีก “ของเก่านั่นข้าให้ท่าน ไม่ต้องเกรงใจ”
พูดแล้วนางก็คลึงเอาอันใหม่ขึ้นมาวางไว้บนศีรษะใหม่อีก
ฝูชางกลั้นไม่ไหวแล้วหัวเราะออกมา จากนั้นก็ส่ายหัวพร้อมกับคว้านางเข้าไปในทางเล็กที่มีป่าทึบนั่น
ตระกูลหวาซวีไม่ได้เน้นความฟุ่มเฟือย ในสวนดอกไม้ไม่ได้มีต้นไม้ดอกไม้ประหลาดน่าอัศจรรย์อะไร ทั้งยังไม่มีศาลาที่หรูหราโอ่อ่างดงาม เพียงปลูกดอกไม้ต้นไม้มากมายไว้ใต้ศาลาริมน้ำหลังหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้ยังอยู่ในฤดูหนาว บนต้นไม้จึงแทบจะไม่มีดอกไม้อะไร มีเพียงดอกซิ่ง [1] ทางตะวันออกไม่กี่แปลงนั้นที่ยังคงออกดอกอย่างดี
เสวียนอี่ชี้ไปทางนั้น “นั่นไม่ใช่ดอกไม้หรือ ไป ไปดูกัน”
ฝูชางกล่าว “นั่นคือต้นเซียนหวาซิ่งที่ข้าปลูกไว้ตอนอายุห้าพันปี เป็นแค่ของธรรมดา เพิ่งจะผลิดอกเมื่อปีที่แล้ว จนตอนนี้ยังไม่ร่วงโรย”
ปลูกไว้ตั้งแต่อายุห้าพันปี แล้วตอนนี้ต้นไม้นี่อายุเท่าไหร่แล้ว เสวียนอี่นิ่งไป นางคำนวณไม่ถูก กางนิ้วออกมา
“สองหมื่นห้าพันปี” ฝูชางคำนวณให้นางเสร็จสรรพ
เสวียนอี่ถลึงตามองเขาอย่างตกใจ “ท่านแก่ขนาดนี้แล้ว! ”
แก่รึ ฝูชางขมวดคิ้ว แล้วได้ยินนางพูดต่อว่า “อายุท่านเป็นสามเท่าของข้า พอข้าอายุได้หนึ่งแสนปี ท่านก็อายุได้สามแสนปีแล้ว”
…วิชาคำนวณของนางช่างน่าตกใจจนปีศาจยังต้องร้องไห้
เขาไม่สนใจคำพูดเมามายของนางอีก แล้วดึงนางไปในป่าดอกซิ่ง ดอกเซียนหวาซิ่งบ้างก็ขาวราวกับหิมะ บ้างก็เป็นสีแดงขาวตัดกัน กลีบดอกใหญ่ประมาณฝ่ามือและค้อมต่ำลงมา
ฝูชางหาที่เงียบสงบใต้ต้นไม้ เทพรับใช้ที่ดูแลสวนดอกไม้นำพรมปุยเมฆมาให้ ทั้งยังเติมชาและขนมให้อีก เสวียนอี่รู้สึกราวกับร่างนางกว่าครึ่งแทบจะจมลงไปในพรมปุยเมฆแล้ว พรมนี้ทำได้สบายกว่าของที่บ้านนางมาก เห็นได้ชัดว่าเหล่าเทพธิดาทอผ้าลำเอียง
ที่นี่อยู่สูงกว่าทะเลสาบเฉิงเจียงเล็กน้อย ทอดสายตามองไปนอกจากจะเห็นดอกเซียนหวาซิ่ง ยังมีแสงสีทองสว่างจ้าแยงตาจากผิวน้ำ ห่างออกไปเป็นเขาไท่ซานที่สูงสง่าอึมครึม วังจักรพรรดิแดงกว่าครึ่งถูกหมอกบดบังไว้
เสวียนอี่มองนิ่งอยู่พักหนึ่งพลันถามออกมาเบาๆ “ศิษย์พี่ฝูชาง วิถีกระบี่ของตระกูลหวาซีตื่นแล้ว วันหน้าวิชากระบี่กระบองท่านจะยิ่งร้ายกาจขึ้นไปอีกใช่หรือไม่”
องค์หญิงมังกรคนนี้นี่ ทำไมเมามายไปแล้วแต่คำพูดที่กล่าวออกมาก็ยังคงทำให้ไม่สบายใจได้อีก ฝูชางเอาหลังพิงต้นเซียนหวาซิ่งไว้ แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่ผิด หากวาดกระบี่ไป ผมเจ้าได้หายไปหมดแน่”
นางรีบเอาผมทั้งหมดยัดใส่เข้าไปในชุดทันที ชิงเยี่ยนไปเทียนเป่ยแล้ว หากว่าเขาจะโกนหัวนางจริงๆ นางคงไม่มีทางหลบพ้นแน่ สุดท้าย พอนางลุกลี้ลุกลนเข้า หิมะบนหัวก็พลันตกลงมา นางจะยื่นมือไปเก็บ แต่ฝูชางกลับกำไว้ก่อนแล้วและเอามาวางบนหัวนางเบาๆ เขาก้มหน้ามองอยู่พักหนึ่ง ในแววตาเขาก็มีความนุ่มนวลที่นางหวาดกลัวปรากฏขึ้น
เสวียนอี่ปิดตาลงแต่กลับรู้สึกว่าเขาวางนิ้วไว้บนหน้าผากนาง เอาเศษดอกไม้ออกให้นาง
นางค่อยๆ นอนลงแล้วเอาหน้าซุกเข้าไปในพรมปุยเมฆที่นุ่มสบายนั้น ผ่านไปนานถึงได้กล่าวเสียงเบาว่า “แล้ว…ท่านเองก็ต้องหลับใหลพันปีเหมือนกันใช่ไหม”
ฝูชางก้มหน้ามองนาง ในแววตาของนางราวกับปรากฏความเหงาแวบขึ้นมา ในใจเขาพลันรู้สึกเจ็บปวดเหมือนกับวันที่เขาถูกเวทมายา ถูกฉุนจวินแทงทะลุหัวใจ แต่ว่าครั้งนั้นคือความเยือกเย็นหนาวเหน็บ แต่ว่าครั้งนี้กลับเป็นความเร่าร้อน
“…ไม่รีบหรอก” ฝูชางตอบกลับเสียงเบา
นางยิ้มให้เขาแล้วเอากล่องอาหารยื่นไปให้เขา “ให้ท่านกิน”
ฝูชางรู้สึกขบขันขึ้นมา ในใจก็พลันรู้สึกตกใจ เมื่อครู่นี้เขาพูดอะไรออกไปนะ
แสงสว่างครอบคลุมไปทั่วทั้งฟ้า ทะเลเฉิงเจียงที่ห่างออกไปสะท้อนแสงสีที่งดงามออกมา องค์หญิงมังกรบนพรมปุยเมฆทนความเมามายไม่ไหวหลับไป ดอกไม้ร่วงลงมาพรมทั่วร่างนาง
เขาค่อยๆ ดึงเอาผมที่นางยัดเข้าไปในชุดออกมาช้าๆ เขานำผมวางไว้บนมือแล้วสางให้
ที่แท้สิ่งที่น่าตายที่สุดไม่ใช่เวทมายาอะไรนั่นทั้งนั้น การทะเลาะกันทั้งลับและแจ้ง ก็เป็นแค่วันเวลาที่ยาวนานและว่างเปล่าเท่านั้น และที่น่าตายที่สุดก็คือ ทั้งๆ ที่ไม่ชอบใจ แต่กลับถูกดึงดูดเข้าไปยิ่งกว่าเดิม
—
[1] ดอกซิ่ง คือ ดอกแอพริคอต รูปร่างคล้ายดอกซากุระ