บุหลันเคียงรัก - บทที่ 68 สีหิมะและพระจันทร์
เมื่อแสงสุดท้ายบนฟ้าถูกความมืดยามรัตติกาลเข้ามาแทนที่ ในที่สุดฉีหนานก็รีบร้อนตามเหล่าเทพรับใช้มาถึงสวนดอกไม้ เขามองเห็นเทพหนุ่มสาวทั้งสองบนพรมปุยเมฆแต่ไกล ภาพนั้นทำหัวใจเขาแทบจะทะลุออกมาจากคอหอย
เทพฝูชางหายตัวไปทั้งบ่าย คนในศาลาต้านเย่ว์ต่างก็ถามหากันใหญ่ ส่วนตัวเขาเองหาองค์หญิงไม่พบ เขารู้ทันทีว่าผิดปกติแล้ว เดิมยังคิดว่าต้องเป็นองค์หญิงแน่ที่เอาแต่ใจไม่ฟังเหตุผลแล้วยื้อเทพฝูชางไว้ แต่แค่ไม่รู้ว่าเทพทั้งสองไปทะเลาะกันที่ไหน สุดท้ายกลับกลายเป็นว่า องค์หญิงน้อยทูลกระหม่อมของเขากลับไปนอนหลับอยู่บนตักชาวบ้านอย่างนั้น วงแหวนทองบนศีรษะนางหลุดลุ่ยลงมา และเทพฝูชางยังถือเอาไว้ในมืออีก
ฉีหนานพลันหยุดเท้าแล้วหมุนตัวอยากจะเดินกลับไปจนทำให้เทพรับใช้ข้างเขางุนงง “อำมาตย์ฉีหนาน องค์หญิงเสวียนอี่อยู่ตรงนั้น ท่านจะไปที่ไหน”
อย่าเสียงดังสิ! ฉีหนานห้ามเขาด้วยน้ำตานองหน้า แต่ว่าก็ยังช้าไป เทพฝูชางอุ้มองค์หญิงแล้วลุกขึ้นเดินมาช้าๆ
ไม่รู้ว่าเกรงองค์หญิงจะตื่นหรืออะไร เขาจึงพยายามเก็บแสงรัศมีเทพรอบกายไป บนใบหน้าของเทพบุตรหล่อเหลางดงามมีความอึดอัดลำบากใจและไม่เป็นธรรมชาติผ่านไปแวบหนึ่งท่ามกลางแสงไฟสลัวและเลือนราง พร้อมกับกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านอำมาตย์ฉีหนาน นาง…ดื่มสุราไปสามแก้ว เพิ่งจะหลับไปได้ไม่นาน ห้องพักแขกอยู่ไม่ไกลนี้นัก ข้าจะนำทางท่านไป”
พูดแล้วเขาก็คิดจะส่งเสวียนอี่ให้ฉีหนาน
ฉีหนานไหนเลยจะกล้ารับมา เขากุมเอวของตัวเองไว้พร้อมกับสีหน้าลำบากใจ “หลายวันนี้ข้าปวดเอว…”
ฝูชางได้แต่ต้องอุ้มเสวียนอี่แล้วหมุนตัวเดินนำหน้า “ท่านอำมาตย์ตามข้ามา”
เดิมท่ามกลางแสงสว่างไประยะหนึ่ง ก็ไปถึงห้องพักแขกที่เงียบสงบ ระเบียงคดหนานมู่ทอดยาวประดับประดาไปด้วยโคมไฟ เทพรับใช้เปิดประตูแล้วใส่กำยานจิ่วเหอหนึ่งกำลงไปในหม้อสำริด เทพีรับใช้ทั้งหลายต่างก็ช่วยกันจัดเตียงนอนให้เรียบร้อย ฝูชางกำลังจะเอาเสวียนอี่ในอ้อมอกวางลงบนเตียง นางกลับขยับตัวกะทันหัน และจามออกมาอย่างแรงกว่าสิบครั้ง
“…กลิ่นอะไร” ดวงตาคู่นั้นของนางแดงก่ำ นางกุมจมูกเอาไว้แล้วกล่าวเสียงแหบแห้ง
เทพรับใช้ทั้งหลายต่างรีบขออภัยทันที “ไม่ทราบว่าองค์หญิงไม่ชอบกลิ่นกำยานจิ่วเหอ พวกข้าจะรีบเอาออกไปเดี๋ยวนี้”
ฉีหนานหัวเราะแล้วกล่าวว่า “องค์หญิงข้ามีนิสัยประหลาด นางไม่ค่อยชอบเครื่องหอมมีชื่อเหล่านั้นเท่าไหร่นัก รบกวนเทพรับใช้ทุกท่านแล้ว”
ฝูชางได้แต่ต้องอุ้มนางออกไปจากประตู เขาเดินวนระเบียงหนานมู่ ลมเยือกเย็นพัดมา สติของเสวียนอี่จึงดีขึ้น ใบหน้าก็แข็งเกร็งขึ้นแล้วกล่าวเสียงแหบว่า “ฉีหนาน ในที่สุดท่านก็เจอข้าแล้วหรือ”
นางดิ้นน้อยๆ ฝูชางจึงวางนางลง ฉีหนานรีบเข้ามาประคองนางนั่งลงที่ระเบียบหนานมู่แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “องค์หญิง ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ต้องโทษข้า ข้ากลับให้ท่านต้องดื่มสุราไปถึงสามแก้ว”
เสวียนอี่เม้มปาก “ข้าหิวน้ำ ข้าปวดหัว”
เทพีรับใช้ได้นำชามาให้นานแล้ว ฉีหนานนวดขมับของนาง “ปวดตรงนี้หรือองค์หญิง” เจ็บอีกหน่อยก็ดี แม่คุณทูนหัวที่อวดดีเอาแต่ใจนัก
เสวียนอี่เจ็บจนต้องรีบหยุดเขาไว้ “เจ้าจะเด็ดหัวข้าออกมาอยู่แล้ว”
นางลูบที่หัว ผมยาวของนางสยายออก วงแหวนสีทองที่รัดผมนางก็หายไป นางกำลังสงสัย ก็มีมือที่ถือวงแหวนสีทองงดงามข้างหนึ่งยื่นมาตรงหน้า ฝูชางกล่าวเสียงเรียบ” หานี่อยู่หรือ”
เสวียนอี่เงยหน้ามองเขา เขามีท่าทางสบายๆ มองอารมณ์ไม่ออก นางรับเอาวงแหวนทองมาแล้วใช้นิ้วทั้งห้าสางผมยาวของนาง พลันกล่าวว่า “ข้าหิวแล้ว”
…หิวเร็วขนาดนี้ ฝูชางปรบมือ ไม่นานเทพรับใช้ก็ยกโต๊ะหินขาวเล็กเข้ามา บนนั้นไม่ได้มีเต้าหู้หรือไข่นกกระทาวางไว้ แต่กลับเป็นอาหารชนิดใหม่
นางเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ “บ้านเจ้าก็มีอาหารดีๆ นี่”
ฝูวางไม่สนใจนาง เขาประสานมือไปทางฉีหนาน “วันนี้ดึกมากแล้ว ไม่มีใครที่ไหนยอมให้แขกต้องกลับบ้านในยามค่ำคืน เชิญทั้งสองพักในห้องรับแขกก่อน ข้าปลีกตัวออกมานานแล้ว ต้องกลับไปที่ศาลาต้านเย่ว์เสียที ขอตัวก่อน”
เสวียนอี่เปิดไปมาแต่กลับไม่มีขนมเมื่อตอนบ่ายจึงรีบกล่าวว่า “เดี๋ยวก่อน! ขนมดอกท้อชุบแป้งเคลือบน้ำตาลกับขนมโมราเคลือบแป้งน้ำตาลของข้าล่ะ ท่านกินไปหมดแล้ว”
นางคิดว่าคนอื่นเขาจะชอบกินขนมกันหมดเหมือนนางหรือ ฝูชางจนใจ จึงสั่งเทพรับใช้ให้ไปทำขนมมาอีกเสียงเบา เขากำลังจะไปก็พลันได้ยินเสียงจากด้านในเรียกเขาเสียงเบาว่า “ศิษย์พี่ฝูชาง”
เขาหมุนตัวกลับไป ฉีหนานหลีกไปห้องรับแขกแล้ว ระเบียงคดยาวนี้มีเพียงแค่นางนั่งอยู่ลำพัง ภายใต้แสงจันทร์ ดวงตาของนางกลับมีความเงียบเหงาและความระวังตัวอย่างหนึ่งปรากฏขึ้นมา นิ่งไปครู่หนึ่ง นางก็กล่าวเสียงเบาว่า “หลับใหลพันปี…ไม่รีบจริงๆ หรือ”
ความเจ็บเสียดในอกพลันรู้สึกขึ้นมาอีกครั้ง ฝูชางเดินกลับไปที่ระเบียงอย่างไม่รู้ตัว เขาสะบัดชุดแล้วนั่งลงข้างกายนางช้าๆ แล้วส่งเสียง “อืม” ออกมา “ไม่รีบ”
เสวียนอี่ยิ้มน้อยๆ แล้วดันเห็ดเหมันต์ที่นางไม่ชอบกินไป “ให้ท่านกิน”
นี่คือวิธีการแสดงความขอบคุณตามแบบฉบับของนาง เขารับไว้ก็ไม่ใช่ จะไม่รับก็ไม่ได้ นิ่งไปนางแต่สุดท้ายก็ยังรับมาวางไว้อีกด้าน
นางกำลังก้มหน้ากินข้าว แต่อย่างไรนางก็เป็นองค์หญิงที่ถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจจนเคย ขนมทุกชิ้นนางจะใช้ปลายตะเกียบคีบแค่คำเล็กๆ กิน นางพลันกล่าวต่อว่า “หากว่าท่านยังบอกจะโกนหัวข้าอีก ข้าจะไปเรียนต่อยตีรำกระบี่กับอาจารย์แล้ว”
“แล้วอย่างไรต่อ” เขามักจะตามความคิดนอกกรอบของนางไม่ทัน จึงปล่อยเลยตามเลยไป
เห็นวงแหวนทองบนผมนางเบี้ยว เขาก็ใช้มือขยับไปจัดให้อย่างไม่ทันคิด และได้ยินนางกล่าวออกมาว่า “แล้วข้าก็จะจัดการอัดท่านด้วยตัวเอง”
ฝูชางหัวเราะออกมา “เจ้านี่นะ”
ข้าอุตส่าห์ใจกว้างยอมยกโทษให้กับการกระทำเลวร้ายแต่ก่อนของเขาแล้ว เจ้านี่ยังคิดจะมายั่วยุนางอีก เสวียนอี่ดันมือเขาออกไป “อย่ามาแตะข้า”
ปริมาณการกินนางไม่มาก กินไปแค่เล็กน้อยก็ไม่กินแล้ว ดันโต๊ะหินสีขาวตัวเล็กไปอีกด้าน แล้วล้วงเอาปลาหลีฮื้อสีทองที่ทำจากหิมะขึ้นมาคลึงต่อ และถามต่ออย่างสบายใจว่า “ขนมยังไม่เสร็จหรือ”
พระจันทร์สีเงินค่อยๆ ลอยสูงเหนือยอดเขาไท่ซาน นิ้วเรียวของนางราวกับกำลังคลึงกลุ่มแสงจันทร์ ไม่รู้ว่าแสงจันทร์ขาวกว่าหรือมือนางขาวกว่า ลมหนาวยามค่ำคืนพัดผ่านระเบียงหนานมู่ เส้นผมนุ่มของนางพลันมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมาตามสายลม เป็นกลิ่นหอมเฉพาะของตระกูลจู๋อินเท่านั้น
ตอนนี้ยามอะไรแล้ว เขาควรกลับไปที่ศาลาต้านเย่ว์ ทิ้งแขกเหรื่อมาเกือบวันเต็ม ช่างไร้มารยาทเสียจริง ฝูชางคิดหาเหตุผลให้ตัวเองได้ร้อยแปดพันเก้า แต่ว่าเขากลับไม่อยากจะใช้เหตุผลไหนสักอย่าง
ที่นี่คือยอดเขาไท่ซานที่เขาคุ้นเคยที่สุด คือบ้านของเขา ระเบียงหนานมู่ที่เขาเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ตอนนี้มีองค์หญิงมังกรเพิ่มขึ้นมาอีกคน นับตั้งแต่ที่รู้จักกันมา พวกเขาแทบจะไม่เคยมีช่วงเวลาที่สงบและอยู่กันอย่างสันติอย่างนี้มาก่อนเลย ตอนนี้เขากลับคาดหวังอยากจะให้ช่วงเวลานี้ยาวนานขึ้นเหมือนกับความเจ็บปวดในอกของเขา
ไม่นานปลาหลีฮื้อสีขาวตัวเล็กน่ารักก็ราวกับกำลังมีชีวิตอยู่บนฝ่ามือของนาง เสวียนอี่ใช้เล็บมือทำเกล็ดปลาหลีฮื้อเกล็ดสุดท้ายเสร็จ นางก็วางปลาหลีฮื้อสีทองน้อยนี้ไว้บนฝ่ามือแล้วหันกลับไปถามเขา “สวยไหม”
แววตาของฝูชางเบนจากปลาหลีฮื้อมาที่ใบหน้าของนาง ก่อนจะเบนสายตาออกไปพร้อมกับ “อืม” ออกมา
เสวียนอี่หัวเราะออกมา “สวยก็ไม่ให้ท่านหรอก”
ความสุขที่น่าประหลาดนั่นราวกับเพลิงชั่วร้ายที่ถูกจุดขึ้น เขากลับไม่รู้ว่าอยากจะจับนางไว้แล้วบีบจนแหลกคามือ หรือว่าคิด…จะกระทำเหลวไหลอะไรบางอย่างที่เวลาปกติเขาไม่มีทางคิดจะทำ
ฝูชางพลันถอยหลังไป โชคดีที่เหล่าเทพรับใช้เพิ่งจะยกเอาขนมที่ทำเสร็จแล้วมาพอดี เขาถอนหายใจแล้วลุกขึ้น “เจ้ากินเถอะ ข้าขอตัวก่อน”
เสวียนอี่โบกมือไปทางเขาอย่างสนิทสนมแล้วกล่าวลา “อย่านอนดึก”
เกรงว่าคงยาก
ฝูชางเดินนิ่งเงียบไปท่ามกลางแสงจันทร์ วันนี้ช่างเป็นวันที่แสนทรมานแทบตายมากที่สุดของเขาเลยจริงๆ